« ความเห็นที่ #4 เมื่อ: 05/30/23 เวลา 15:15:57 » |
|
on 05/27/23 เวลา 18:50:23, 6699 wrote:#การประเมินมูลค่า -ถ้าต้องการลงทุนอะไรสักอย่าง เช่นหุ้น หรือที่ดิน หรือบ้าน เราต้องประเมินว่า มูลค่ามันมีค่าเท่าไหร่ ถูกหรือแพง การประเมิน ประกอบด้วยตัวแปรสองตัว คือ ผลตอบแทนประจำปี และอัตราเติบโตของผลกำไร สองอย่างนี้ ต้องเอามาคิดคำนวณดูว่า เป็นอย่างไรกัน แต่อัตราการเติบโตของผลกำไร จะเป็นตัวสำคัญที่สุด สำคัญมากกว่า ผลตอบแทน สมการในการคำนวณคือ -มูลค่า = ผลตอบแทน X ( 8.5 + 2xอัตราการเติบโตของผลกำไร) -ถ้าหากว่า ต้องการซื้อบ้านให้เขาเช่า ซื้อมา 100 บาท ให้เขาเช่า ได้ปีละ 4 บาท ดังนั้น บ้านหลังนี้ จะมีมูลค่าประมาณ = 4 x (8.5+ 2x0) = 4x8.5 =34 บาท ไม่ใช่จำนวน 100 บาท ซื้อเมื่อไหร่ ก็ขาดทุนเมื่อนั้น เงินหายไปประมาณ 66 บาททันที -ดังนั้น ถ้าใครมีความคิดว่าจะซื้อคอนโดราคา 4 ล้านบาท แล้วปล่อยเช่าเดือนละ 14000 บาท หรือผลตอบแทนประมาณ 4% แต่ผ่อนธนาคารดอกเบี้ย 3.5% เท่ากับเอาดอกเบี้ยมาจ่ายค่าเช่า ในเวลา 15-20 ปี ก็จะได้คอนโดฟรีๆ ตามหนังสือคนที่มีพ่อสองคนสอน ใครคิดแบบนี้ ตอนตายมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์ เพราะแต่ละวัน ต้องสวดมนตร์อ้อนวอนพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ ให้ช่วยเหลือ -แต่ถ้าหากว่า เราสามารถขึ้นค่าเช่าได้ปีละ 3% สมการนี้จะเปลี่ยนไปทันทีนิดหน่อย มูลค่าจะประมาณ = 4x(8.5 + 2x3) = 4x14.5 = 58% ดังนั้น บ้านหลังนี้ มูลค่าประมาณ 58 บาท ถ้าหากว่า จ่ายเงินซื้อไป เมื่อไหร่จะขาดทุนทันที 42 บาท -แต่ถ้าหากว่า มูลค่าบ้านเพิ่มปีละ 7% เช่น บ้านหลังหนึ่ง ราคาตอนนี้ ราคา 100 บาท แต่อีกสิบปีข้างหน้า จะราคา 200 บาท หรือเพิ่มเท่าตัว การเพิ่มเท่าตัวในสิบปี จะมีการเติบโตประมาณ 7.2% ดังนั้น อัตราการเติบโต รวมจะมีค่าประมาณ 7.2+3=10.2 เมื่อเอามาเข้าสมการจะได้มูลค่าที่แท้จริงคือ มูลค่า = 4x(8.5+ 2x 10.2) = 4x (8.5 + 20.4) = 4x28.9 = 115.6 -การซื้อบ้านแบบนี้ เป็นการลงทุน ที่มีส่วนลด เป็นเสื้อเกราะของเราประมาณ 15.6% และมีผลตอบแทนรวม คือ 4+10.2= 14.2% -อย่าดูถูกผลตอบแทน 14.2% ผลตอบแทนแบบนี้ ห้าปี มันจะโตขึ้นเท่าตัวหนึ่ง -เรื่องแบบนี้ มีข้อควรระวัง คือถ้าเป็นบริษัท ที่อัตราโต 14.2% ต่อปี บริษัทนี้จะมีขนาดเป็นสองเท่าทุกห้าปี หมายความว่า ครึ่งหนึ่งของพนักงาน จะมีอายุงานไม่ถึง 5 ปี และฐานลูกค้าก็ค่อนข้างใหม่ การจัดสรรภายในก็ยุ่งยาก วุ่นวาย บริษัทต้องขยายสำนักงาน หรือโครงการทุก 5 ปี และยิ่งกว่านั้น บริษัทแบบนี้ ก็จะดึงดูดให้คู่แข่งขันตัวเจ๋งๆเข้ามาร่วมด้วย ต้องระวังข้อเท้าอคิรีสเอาไว้ แต่ถ้าทำการลงทุนเงียบๆ เป็นความลับ เหมือนสูตรลับของโคคาโคล่า ก็ยังสามารถทำเงินได้เรื่อยๆ -หน้าที่ของเรา คือการมองหาการลงทุนที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาที่จ่ายไป ถ้าเราคำนวณมูลค่าไม่ได้ เรายินดีที่จะอยู่นิ่งๆ เราสามารถอยู่นิ่งๆได้นานมากกว่า 10ปี โดยไม่ทำอะไรเลย การอยู่นิ่งๆ ไม่มีผลตอบแทนอะไรเลย ในเรื่องของการลงทุน เราเรียกว่า "ทศวรรษที่หายไป" ผลลัพท์ก็คือ ผลตอบแทนโดยรวมจะลดไปประมาณ 2% ของที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้เท่านั้นเอง -และด้วยวิธีการนี้ ถึงแม้เราจะขาดทุนไป 50% ผลตอบแทนระยะยาว ของเราจะลดไปแค่ 2% เช่นเดียวกัน จากเป้าหมาย 10% ต่อปี จะเหลือ 8% ต่อปี -วิธีนี้ สามารถใช้คำนวณเรื่องพันธบัตร เงินฝากในธนาคาร หรือสหกรณ์ การซื้อหุ้นกู้ในตลาดหลักทรัพย์ การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งในประเทศ และนอกประเทศได้ -ด้วยการคิดแบบนี้ ปีที่แล้ว มีบางคนทำกำไรได้ 200 ล้านภายในปีเดียว โดยอาศัยเงินเฟ้อเป็นตัวทำกำไร -บางที การเรียนในมหาวิทยาลัย อาจจะต้องสอนเรื่องการลงทุน การเก็งกำไร การหนีจากลงทุนที่แย่ๆ ไม่ได้เรื่อง ว่างเปล่า เป็นวิชาเลือกของนักศึกษา โลกเราในปัจจุบัน ขับเคลื่อนด้วยเงิน ถ้าไม่มีเงิน ก็ไม่มีชีวิต |
| จากสมการ ถ้าย้ายผลตอบแทนมาหารราคาจะได้ PE ราคา/ผลตอบแทน=8.5 +(2*อัตราการเติบโตของผลกำไร) หากไม่มีการเติบโตเลยจะได้ PE=8.5 ในสมการนี้ให้เติบโตของกำไรในระยะยาวได้สูงสุดที่ 7% เท่ากับว่าPEสูงสุดที่สามารถยอมรับได้คือ 22.5 เท่า การประเมินมูลค่าหุ้น ให้ PE มากสุดไม่ควรเกินนี้ (อ้างอิงตาม Benjamin Graham)
|
|
"Whether you think you can, or you think you can't--you're right."
-- Henry Ford--
|
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member
จำนวนความเห็น: 953
|
|
125.25.235.* |
|
|
|