แจ้งลบกระทู้ แจ้งเมื่อมีคนตอบกระทู้นี้ แนะนำกระทู้นี้ Print

 หัวข้อ 39686: ต้องทำ DCF ด้วยหรือไม่ ?  (จำนวนคนอ่าน 440 ครั้ง)
« เมื่อ: 05/27/23 เวลา 14:10:21 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

การเป็นนักลงทุน VI สิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือต้องสามารถประเมินมูลค่าหุ้นได้
 
ต้องทำ DCF ด้วยหรือไม่ ?
ฺBy Invisible Hand
-- -- -- -- -- -- -- -- -- --
หลายคนอาจจะสงสัยว่า VI จำเป็นต้องทำ model การหา valuation ด้วยวิธี DCF หรือไม่ หากถามผมๆ คิดว่าถ้าทำอาจจะทำให้สบายใจและมั่นใจขึ้นได้แต่คิดว่าไม่จำเป็น แต่ก่อนที่ผมจะสรุปว่าไม่จำเป็นผมจึงต้องอธิบายที่มาของการคิด DCF  คร่าวๆ ก่อนครับ
DCF = กระแสเงินสดในอนาคตเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Present value) + เงินสด (หนี้สิน) สุทธิ  
การทำมูลค่าในอนาคตให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน คือ การ discount ด้วยอัตราดอกเบี้ย discount rate
ถ้า discount rate เท่ากับ 10% เงิน 110 บาทใน 1 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่า 100 บาท ในปัจจุบัน เหตุผลที่เงิน 110 บาทใน 1 ปีข้างหน้ามีมูลค่า 100 บาทในปัจจุบันเนื่องจากหากนำเงิน 100 บาทไปลงทุนโดยได้ผลตอบแทนเท่ากับ 10% เงิน 100 บาทในปัจจุบันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 110  บาทในอีก 1 ปีข้างหน้า
..  
ดังนั้นหากมีใครมาถามเราว่าให้เลือกระหว่างได้เงิน 100 บาทในปีนี้ หรือจะเลือกเงิน 110 บาทในปีหน้า     ภายใต้สมมุติฐานว่าเราสามารถนำเงินลงทุนได้ผลตอบแทน 10% เราจะเลือกแบบไหน  คำตอบที่หลายคนจะตอบก็คือ เลือก 100 บาทวันนี้   เพราะถ้าเป็นปีหน้าเดี๋ยวคนให้เงินจะเปลี่ยนใจไม่ให้แล้ว แต่คำตอบในเชิงการเงินก็คือ เลือกแบบไหนก็ได้ ค่าเท่ากันครับ
..  
ดังนั้นเงิน 100 บาทในปัจจุบัน จะมีมูลค่ามากกว่า 100 บาทในอีก 10 ปีข้างหน้ามาก หรืออาจจะมีมูลค่ามากกว่าเงิน 200 บาทในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วยซ้ำไปครับหากอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนจากการลงทุนสูงมากพอ
..  
หลังจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับการหามูลค่าปัจจุบันหรือ present value แล้ว ตัว discount rate หรือที่ศัพท์ทางการเงินเรียกว่า WACC  โดยถ้าหุ้น 2 ตัวมีปัจจัยทุกอย่างเหมือนกันหมด  หุ้นตัวที่ใช้ discount rate สูงจะมีมูลค่าแบบ DCFต่ำกว่า
สำหรับ discount  rate นั้นขึ้นกับตัวแปรต่างๆ ดังนี้ครับ  
- อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด ส่วนใหญ่จะใช้อัตราดอกเบี้ย ( yield ) ของพันธบัตรอายุ 10 ปีเป็นตัวอ้างอิง    ถ้าดอกเบี้ยสูง  discount rate ก็จะสูง  
- Beta คือ ความผันผวนของราคาหุ้นตัวนั้นๆ เทียบกับความผันผวนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง beta ในทางทฤษฎีการเงินคือเป็นตัววัดความเสี่ยงของหุ้นตัวนั้น โดยตั้งอยู่ในสมมุติฐานว่าหุ้นที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจสูงจะมี beta สูง คือจะมีความผันผวนของราคาสูง  ซึ่งทฤษฎีนี้ใกล้เคียงความจริงหรือไม่ผมคิดว่าก็มีความใกล้เคียงอยู่บ้าง เช่น หุ้นที่มี beta สูงในตลาดไทย เช่น หุ้นไฟแนนซ์  หุ้นรับเหมาก่อสร้าง หุ้นอสังหาฯ วัสดุก่อสร้าง ซึ่งล้วนแล้วมีความเสี่ยงทางธุรกิจสูง  ส่วนหุ้นที่มี beta ต่ำก็มักจะเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจต่ำกว่า หุ้นที่มี beta สูง discount rate ก็จะสูงตามไปด้วยครับ  
ถึงตรงนี้เราได้ 2 ประเด็นแล้วครับว่า ถ้าช่วงไหนดอกเบี้ยในท้องตลาดสูงขึ้น discount rate ที่ใช้คำนวณ DCF ก็จะสูง  ทำให้ราคาหุ้นตามวิธี DCF ก็จะต่ำลง  ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อดอกเบี้ยลดลงและมีแ นวโน้มจะปรับตัวลดลงเมื่อมีข่าวว่าดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น  ดังนั้นในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น  หุ้นมักจะมี p/e ต่ำ แต่ในช่วงดอกเบี้ยขาลง หุ้นจะมี p/e สูง  
ส่วนเรื่อง beta หรือความเสี่ยงนั้น ก็เช่นกันครับ หุ้นที่มีความเสี่ยงหรือ beta สูง ก็จะทำให้ discount rate สูง  ราคาหุ้นตามวิธี DCF ก็จะต่ำลง      ดังนั้นหุ้นที่มี beta หรือความเสี่ยงสูง  ก็ควรจะมี p/e ต่ำกว่าหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ
« แก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อ: 05/27/23 เวลา 14:11:50 by <<GOOD LIFE>> »

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 952  
   
182.53.180.*


« ความเห็นที่ #1 เมื่อ: 05/27/23 เวลา 14:10:43 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

การคิดกระแสเงินสดสุทธิ หรือ   Free cash flow มีสูตรดังนี้ครับ
Free cash flow = กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อมราคา + การเปลี่ยนแปลงในเงินทุนหมุนเวียน + รายจ่ายลงทุนในสินทรัพย์
เงินทุนหมุนเวียน คือ เงินสดที่ต้องใช้ในการซื้อวัตถุดิบเพื่อใช้ในการขายสินค้าและบริการ
รายการการเปลี่ยนแปลงเงินทุนหมุนเวียนจะเป็น ลบ ก็ต่อเมื่อ
 - มีการ  เพิ่มขึ้น ของสินค้าคงคลังและวัตถุดิบ เพราะต้องใช้เงินในการซื้อวัตถุดิบ
 - มีการ เพิ่มขึ้น ของลูกหนี้การค้า    แสดงว่ารายได้ 100 บาท เข้ามาเป็นเงินสดไม่ถึง 100 บาท  
 - มีการ ลดลง ของเจ้าหนี้การค้า   แสดงว่ารายจ่าย 100 บาท ยังไม่ต้องจ่ายทั้งหมด 100 บาทในทันที
การเปลี่ยนแปลงเงินทุนหมุนเวียนจะเป็น บวก ก็ต่อเมื่อ  
 - มีการ ลดลง ของสินค้าคงคลังและวัตถุดิบ แสดงว่าสินค้าที่ขายออกไปมีมากกว่าที่ซื้อวัตถุดิบเข้ามา  
 - มีการ ลดลง ของลูกหนี้การค้า    
 - มีการ เพิ่มขึ้น ของเจ้าหนี้การค้า  
..
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในธุรกิจทั่วๆไป   เมื่อมีการขยายกิจการ คือ มีการผลิตสินค้ามากขึ้น ก็ย่อมจะต้องมีการสั่งวัตถุดิบและมีจำนวนสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้นก็ย่อมทำให้ลูกหนี้การค้ามากขึ้น ดังนั้นธุรกิจทั่วๆ ไปเมื่อมีการขยายกิจการจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเงินทุนหมุนเวียนจะติดลบ คือธุรกิจนั้นๆ  จะต้องใช้เงินสดในกิจการมากขึ้น     ดังนั้นธุรกิจส่วนใหญ่แม้ยอดขายเพิ่มขึ้นและกำไรเพิ่มขึ้น แต่เงินสดที่เข้ามาในบริษัทมักจะต่ำกว่ากำไร แต่ธุรกิจที่เมื่อขยายสาขาหรือมีรายได้เพิ่มขึ้นแต่กลับยิ่งมีเงินสดมากขึ้น    คือธุรกิจค้าปลีก เพราะมีการขายเป็นเงินสด แต่จ่ายเงินให้กับเจ้าหนี้ค่าสินค้าเป็นเงินเชื่อ ดังนั้นวันที่เปิดสาขาใหม่ ก็จะได้เงินสดมาทันทีแต่เงินสดนั้นจะถูกจ่ายให้กับเจ้าหนี้ในอีก 45-60 วัน  ดังนั้นหากมีการคิด DCF ธุรกิจค้าปลีกเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ถ้ากำไรสุทธิต่อปีเท่าๆ กัน    ธุรกิจค้าปลีกจะมีกระแสเงินสดสุทธิ หรือ Free cash flow สูงกว่าธุรกิจอื่นๆ  จึงเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมหุ้นค้าปลีกจึงมี p/e สูงกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ  ที่มีการเติบโตของกำไรเท่าๆ กัน  
ยิ่งธุรกิจใดให้เครดิตลูกหนี้การค้ายิ่งนาน  บริษัทนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงในเงินทุนหมุนเวียนติดลบมากกว่าบริษัทที่ให้เค รดิตลูกหนี้สั้นกว่า     และบริษัทใดที่ขายสินค้าเป็นเงินสด   ก็จะทำให้ใช้เงินทุนหมุนเวียนน้อยกว่ามาก
บริษัทใดที่มีการขายสินค้าโดยใช้เวลานาน ก็จะใช้เงินทุนหมุนเวียนมากกว่าบริษัทที่ขายสินค้าในเวลาอันสั้นกว่า และอย่างที่ผมพูดไปในหน้าก่อนๆ คือ ยิ่งขายได้เร็วก็ทำให้ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนสูง  ดังนั้นสิ่งที่เถ้าแก่คนจีนนิยมทำนานมาแล้วคือ   เน้นการขายเร็วๆ มากๆ เอา volume   ก็เป็นความคิดที่ถูกต้องตามทฤษฎีการเงิน แม้ว่าอาเฮียเหล่านั้นจะไม่ได้เรียน MBA มาก็ตาม  
รายจ่ายในการลงทุนในสินทรัพย์     เป็นรายการ ลบ ในการหา Free cash flow  ยิ่งมีการลงทุนมากๆ   Free cash flow ก็ยิ่งมีโอกาสติดลบมากขึ้น ดังนั้นหุ้นที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการขยายกิจการ ก็จะทำให้  Free cash flow ติดลบมากกว่าหุ้นที่สามารถขยายกิจการโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก     โดยทั่วไปหุ้นในภาคการผลิต  อุตสาหกรรม มักจะต้องใช้เงินลงทุนในการขยายกิจการมากกว่าหุ้นประเภทธุรกิจบริการ เมื่อใช้เงินทุนน้อย  กระแสเงินสดก็จะเป็นบวกได้มากกว่า หุ้นภาคบริการมักจะมีมูลค่าแบบ DCF สูงกว่าหุ้นในภาคการผลิตแม้ว่าจะมีกำไรสุทธิในแต่ละปีหรือปัจจัยอื่นๆใกล้กั น  ดังนั้นหุ้นที่ทำธุรกิจบริการมักจะมี p/e สูงกว่าหุ้นในภาคอุตสาหกรรม
หุ้นที่ต้องใช้เงินลงทุนหมุนเวียน  (เงินสด) จำนวนมากในการเพิ่มยอดขาย มักจะต้องมีการกู้เงินระยะสั้น หรือ Bank O/D จากธนาคารเพื่อมาเป็นเงินทุนหมุนเวียน  และยังอยู่ในธุรกิจที่ต้องลงทุนจำนวนมากเพื่อขยายกำลังการผลิต และยิ่งหุ้นดังกล่าวมีหนี้ในสัดส่วนที่สูงด้วยนั้น   หุ้นประเภทดังกล่าวมักจะมีโอกาสสูงที่จะต้องหาแหล่งเงินทุนอื่นๆ ที่ไม่ใช่การกู้เงินเพื่อชดเชยกระแสเงินสดที่ติดลบในอนาคต  ดังนั้นหุ้นที่มีลักษณะเหล่านี้ร่วมกันจึงมีความเสี่ยงในการเพิ่มทุนสูง เมื่อหุ้นมีการเพิ่มทุนก็ย่อมทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง ดังนั้นหุ้นที่มีความเสี่ยงในการเพิ่มทุนมักจะมี p/e ที่ต่ำกว่าหุ้นที่สามารถเติบโตได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 952  
   
182.53.180.*


« ความเห็นที่ #2 เมื่อ: 05/27/23 เวลา 14:11:00 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

การเติบโตทางธุรกิจ  
เนื่องจากการทำ DCF คือการประมาณกระแสเงินสดในอนาคต ดังนั้นหุ้นที่มีการเติบโตในอนาคตสูง ก็จะมีกระแสเงินสดในอนาคตที่เพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบันมาก ดังนั้นหุ้นที่มีการเติบโตสูงจึงจะมี DCF สูงกว่าหุ้นที่มีการเติบโตต่ำ
..      
ปัจจัยสุดท้ายที่มีผลต่อการคำนวณ DCF ก็คือ มูลค่าเงินสด หรือหนี้สินสุทธิ   ซึ่งก็คือ
เงินสดสุทธิ = เงินสดในบริษัท - หนี้สินระยะยาว - หนี้สินระยะสั้นที่มีดอกเบี้ย
ดังนั้น  ถ้าปัจจัยทุกอย่างเหมือนกันหมด  หุ้นที่มีเงินสดสุทธิเป็นบวกก็จะมี DCF สูงกว่าหุ้นที่มีหนี้สิน
สรุป  
มูลค่าหุ้นตามแบบ DCF  จะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญดังนี้ครับ  
 - อัตราดอกเบี้ย ถ้าดอกเบี้ยต่ำลง   มูลค่า DCFจะสูงขึ้น  
 - ความเสี่ยงของธุรกิจ  ถ้าธุรกิจมีความเสี่ยงสูง DCF ก็จะต่ำ  
 - การให้เครดิตลูกค้ายาวๆ  DCF จะต่ำ  
 - การได้รับเครดิตจากเจ้าหนี้การค้ายาวๆ DCF จะสูง  
 - ขายสินค้าได้เร็ว  มีการเก็บสินค้าคงคลังต่ำ DCF จะสูง  
 - ต้องมีการลงทุนจำนวนมากๆ  ในการขยายกิจการ เมื่อเทียบกับกระแสเงินสดในแต่ละปี DCF จะต่ำ  
 - มีการเติบโตสูง DCF จะสูง  
 - มีหนี้มากๆ  DCF จะต่ำ  
สำหรับ DCF กับ p/e จะมีความสัมพันธ์กัน  หากหุ้น 2 ตัวที่ปัจจุบันมีกำไรสุทธิเท่ากัน  หุ้นตัวที่มีราคาเป้าหมายโดยวิธี DCF สูงกว่า จะมี p/e  ที่เหมาะสมสูงกว่าหุ้นที่มีราคาเป้าหมายโดยวิธี DCF ต่ำกว่า  ดังนั้น   ด้วยย่อหน้าข้างบน  เราสามารถเปลี่ยนคำว่า DCF เป็น p/e ได้เป็น  
 - อัตราดอกเบี้ย  ถ้าดอกเบี้ยต่ำลง   p/e ของหุ้นจะสูงขึ้น  
ื - ความเสี่ยงของธุรกิจ  ถ้าธุรกิจมีความเสี่ยงสูง p/e ก็จะต่ำ  
 - การให้เครดิตลูกค้ายาวๆ p/e จะต่ำ  
 - การได้รับเครดิตจากเจ้าหนี้การค้ายาวๆ p/e จะสูง  
 - ขายสินค้าได้เร็ว  มีการเก็บสินค้าคงคลังต่ำ p/e จะสูง  
 - ต้องมีการลงทุนจำนวนมากๆ  ในการขยายกิจการ เมื่อเทียบกับกระแสเงินสดในแต่ละปี p/e จะต่ำ  
 - มีการเติบโตสูง p/e จะสูง  
 - มีหนี้มากๆ p/e จะต่ำ  
เมื่อเราเข้าใจหลักของ DCF แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องทำ model DCF ก็ได้ เพียงแต่เราต้องเข้าใจว่าธุรกิจที่เราต้องการวิเคราะห์นั้นเป็นอย่างไร มีการเติบโตสูงหรือต่ำ มีความเสี่ยงทางธุรกิจสูงหรือไม่ เมื่อต้องการขยายธุรกิจต้องใช้เงินทุนจำนวนมากหรือไม่ มีหนี้มากหรือน้อยเพียงใด

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 952  
   
182.53.180.*


« ความเห็นที่ #3 เมื่อ: 05/27/23 เวลา 18:50:23 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

#การประเมินมูลค่า
  -ถ้าต้องการลงทุนอะไรสักอย่าง เช่นหุ้น หรือที่ดิน หรือบ้าน เราต้องประเมินว่า มูลค่ามันมีค่าเท่าไหร่ ถูกหรือแพง การประเมิน ประกอบด้วยตัวแปรสองตัว คือ ผลตอบแทนประจำปี และอัตราเติบโตของผลกำไร สองอย่างนี้ ต้องเอามาคิดคำนวณดูว่า เป็นอย่างไรกัน แต่อัตราการเติบโตของผลกำไร จะเป็นตัวสำคัญที่สุด สำคัญมากกว่า ผลตอบแทน
สมการในการคำนวณคือ
 
  -มูลค่า = ผลตอบแทน X ( 8.5 + 2xอัตราการเติบโตของผลกำไร)
 
  -ถ้าหากว่า ต้องการซื้อบ้านให้เขาเช่า ซื้อมา 100 บาท ให้เขาเช่า ได้ปีละ 4 บาท ดังนั้น บ้านหลังนี้ จะมีมูลค่าประมาณ = 4 x (8.5+ 2x0) = 4x8.5 =34 บาท ไม่ใช่จำนวน 100 บาท ซื้อเมื่อไหร่ ก็ขาดทุนเมื่อนั้น เงินหายไปประมาณ 66 บาททันที  
 
   -ดังนั้น ถ้าใครมีความคิดว่าจะซื้อคอนโดราคา 4 ล้านบาท แล้วปล่อยเช่าเดือนละ 14000 บาท หรือผลตอบแทนประมาณ 4% แต่ผ่อนธนาคารดอกเบี้ย 3.5% เท่ากับเอาดอกเบี้ยมาจ่ายค่าเช่า ในเวลา 15-20 ปี ก็จะได้คอนโดฟรีๆ ตามหนังสือคนที่มีพ่อสองคนสอน ใครคิดแบบนี้ ตอนตายมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์ เพราะแต่ละวัน ต้องสวดมนตร์อ้อนวอนพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ ให้ช่วยเหลือ  
 
  -แต่ถ้าหากว่า เราสามารถขึ้นค่าเช่าได้ปีละ 3% สมการนี้จะเปลี่ยนไปทันทีนิดหน่อย  
   มูลค่าจะประมาณ = 4x(8.5 + 2x3) = 4x14.5 = 58% ดังนั้น บ้านหลังนี้ มูลค่าประมาณ 58 บาท ถ้าหากว่า จ่ายเงินซื้อไป เมื่อไหร่จะขาดทุนทันที 42 บาท  
 
  -แต่ถ้าหากว่า มูลค่าบ้านเพิ่มปีละ 7% เช่น บ้านหลังหนึ่ง ราคาตอนนี้ ราคา 100 บาท แต่อีกสิบปีข้างหน้า จะราคา 200 บาท หรือเพิ่มเท่าตัว การเพิ่มเท่าตัวในสิบปี จะมีการเติบโตประมาณ 7.2% ดังนั้น อัตราการเติบโต รวมจะมีค่าประมาณ 7.2+3=10.2 เมื่อเอามาเข้าสมการจะได้มูลค่าที่แท้จริงคือ
 
   มูลค่า = 4x(8.5+ 2x 10.2) = 4x (8.5 + 20.4) = 4x28.9 = 115.6  
 
   -การซื้อบ้านแบบนี้ เป็นการลงทุน ที่มีส่วนลด เป็นเสื้อเกราะของเราประมาณ 15.6% และมีผลตอบแทนรวม คือ 4+10.2= 14.2%  
 
   -อย่าดูถูกผลตอบแทน 14.2% ผลตอบแทนแบบนี้ ห้าปี มันจะโตขึ้นเท่าตัวหนึ่ง  
 
  -เรื่องแบบนี้ มีข้อควรระวัง คือถ้าเป็นบริษัท ที่อัตราโต 14.2% ต่อปี บริษัทนี้จะมีขนาดเป็นสองเท่าทุกห้าปี หมายความว่า ครึ่งหนึ่งของพนักงาน จะมีอายุงานไม่ถึง 5 ปี และฐานลูกค้าก็ค่อนข้างใหม่ การจัดสรรภายในก็ยุ่งยาก วุ่นวาย บริษัทต้องขยายสำนักงาน หรือโครงการทุก 5 ปี และยิ่งกว่านั้น บริษัทแบบนี้ ก็จะดึงดูดให้คู่แข่งขันตัวเจ๋งๆเข้ามาร่วมด้วย ต้องระวังข้อเท้าอคิรีสเอาไว้ แต่ถ้าทำการลงทุนเงียบๆ เป็นความลับ เหมือนสูตรลับของโคคาโคล่า ก็ยังสามารถทำเงินได้เรื่อยๆ  
 
  -หน้าที่ของเรา  คือการมองหาการลงทุนที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาที่จ่ายไป ถ้าเราคำนวณมูลค่าไม่ได้ เรายินดีที่จะอยู่นิ่งๆ  เราสามารถอยู่นิ่งๆได้นานมากกว่า 10ปี โดยไม่ทำอะไรเลย การอยู่นิ่งๆ ไม่มีผลตอบแทนอะไรเลย ในเรื่องของการลงทุน เราเรียกว่า "ทศวรรษที่หายไป" ผลลัพท์ก็คือ ผลตอบแทนโดยรวมจะลดไปประมาณ 2% ของที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้เท่านั้นเอง  
 
  -และด้วยวิธีการนี้ ถึงแม้เราจะขาดทุนไป 50% ผลตอบแทนระยะยาว ของเราจะลดไปแค่ 2% เช่นเดียวกัน จากเป้าหมาย 10% ต่อปี จะเหลือ 8% ต่อปี
 
  -วิธีนี้ สามารถใช้คำนวณเรื่องพันธบัตร เงินฝากในธนาคาร หรือสหกรณ์ การซื้อหุ้นกู้ในตลาดหลักทรัพย์ การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งในประเทศ และนอกประเทศได้  
 
  -ด้วยการคิดแบบนี้ ปีที่แล้ว มีบางคนทำกำไรได้ 200 ล้านภายในปีเดียว โดยอาศัยเงินเฟ้อเป็นตัวทำกำไร
 
  -บางที การเรียนในมหาวิทยาลัย อาจจะต้องสอนเรื่องการลงทุน การเก็งกำไร การหนีจากลงทุนที่แย่ๆ ไม่ได้เรื่อง ว่างเปล่า เป็นวิชาเลือกของนักศึกษา โลกเราในปัจจุบัน ขับเคลื่อนด้วยเงิน ถ้าไม่มีเงิน ก็ไม่มีชีวิต  
ส่งโดย: 6699
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1520  
   
223.205.216.*


« ความเห็นที่ #4 เมื่อ: 05/30/23 เวลา 15:15:57 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 05/27/23 เวลา 18:50:23, 6699 wrote:
#การประเมินมูลค่า
  -ถ้าต้องการลงทุนอะไรสักอย่าง เช่นหุ้น หรือที่ดิน หรือบ้าน เราต้องประเมินว่า มูลค่ามันมีค่าเท่าไหร่ ถูกหรือแพง การประเมิน ประกอบด้วยตัวแปรสองตัว คือ ผลตอบแทนประจำปี และอัตราเติบโตของผลกำไร สองอย่างนี้ ต้องเอามาคิดคำนวณดูว่า เป็นอย่างไรกัน แต่อัตราการเติบโตของผลกำไร จะเป็นตัวสำคัญที่สุด สำคัญมากกว่า ผลตอบแทน
สมการในการคำนวณคือ
 
  -มูลค่า = ผลตอบแทน X ( 8.5 + 2xอัตราการเติบโตของผลกำไร)
 
  -ถ้าหากว่า ต้องการซื้อบ้านให้เขาเช่า ซื้อมา 100 บาท ให้เขาเช่า ได้ปีละ 4 บาท ดังนั้น บ้านหลังนี้ จะมีมูลค่าประมาณ = 4 x (8.5+ 2x0) = 4x8.5 =34 บาท ไม่ใช่จำนวน 100 บาท ซื้อเมื่อไหร่ ก็ขาดทุนเมื่อนั้น เงินหายไปประมาณ 66 บาททันที  
 
   -ดังนั้น ถ้าใครมีความคิดว่าจะซื้อคอนโดราคา 4 ล้านบาท แล้วปล่อยเช่าเดือนละ 14000 บาท หรือผลตอบแทนประมาณ 4% แต่ผ่อนธนาคารดอกเบี้ย 3.5% เท่ากับเอาดอกเบี้ยมาจ่ายค่าเช่า ในเวลา 15-20 ปี ก็จะได้คอนโดฟรีๆ ตามหนังสือคนที่มีพ่อสองคนสอน ใครคิดแบบนี้ ตอนตายมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์ เพราะแต่ละวัน ต้องสวดมนตร์อ้อนวอนพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ ให้ช่วยเหลือ  
 
  -แต่ถ้าหากว่า เราสามารถขึ้นค่าเช่าได้ปีละ 3% สมการนี้จะเปลี่ยนไปทันทีนิดหน่อย  
   มูลค่าจะประมาณ = 4x(8.5 + 2x3) = 4x14.5 = 58% ดังนั้น บ้านหลังนี้ มูลค่าประมาณ 58 บาท ถ้าหากว่า จ่ายเงินซื้อไป เมื่อไหร่จะขาดทุนทันที 42 บาท  
 
  -แต่ถ้าหากว่า มูลค่าบ้านเพิ่มปีละ 7% เช่น บ้านหลังหนึ่ง ราคาตอนนี้ ราคา 100 บาท แต่อีกสิบปีข้างหน้า จะราคา 200 บาท หรือเพิ่มเท่าตัว การเพิ่มเท่าตัวในสิบปี จะมีการเติบโตประมาณ 7.2% ดังนั้น อัตราการเติบโต รวมจะมีค่าประมาณ 7.2+3=10.2 เมื่อเอามาเข้าสมการจะได้มูลค่าที่แท้จริงคือ
 
   มูลค่า = 4x(8.5+ 2x 10.2) = 4x (8.5 + 20.4) = 4x28.9 = 115.6  
 
   -การซื้อบ้านแบบนี้ เป็นการลงทุน ที่มีส่วนลด เป็นเสื้อเกราะของเราประมาณ 15.6% และมีผลตอบแทนรวม คือ 4+10.2= 14.2%  
 
   -อย่าดูถูกผลตอบแทน 14.2% ผลตอบแทนแบบนี้ ห้าปี มันจะโตขึ้นเท่าตัวหนึ่ง  
 
  -เรื่องแบบนี้ มีข้อควรระวัง คือถ้าเป็นบริษัท ที่อัตราโต 14.2% ต่อปี บริษัทนี้จะมีขนาดเป็นสองเท่าทุกห้าปี หมายความว่า ครึ่งหนึ่งของพนักงาน จะมีอายุงานไม่ถึง 5 ปี และฐานลูกค้าก็ค่อนข้างใหม่ การจัดสรรภายในก็ยุ่งยาก วุ่นวาย บริษัทต้องขยายสำนักงาน หรือโครงการทุก 5 ปี และยิ่งกว่านั้น บริษัทแบบนี้ ก็จะดึงดูดให้คู่แข่งขันตัวเจ๋งๆเข้ามาร่วมด้วย ต้องระวังข้อเท้าอคิรีสเอาไว้ แต่ถ้าทำการลงทุนเงียบๆ เป็นความลับ เหมือนสูตรลับของโคคาโคล่า ก็ยังสามารถทำเงินได้เรื่อยๆ  
 
  -หน้าที่ของเรา  คือการมองหาการลงทุนที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาที่จ่ายไป ถ้าเราคำนวณมูลค่าไม่ได้ เรายินดีที่จะอยู่นิ่งๆ  เราสามารถอยู่นิ่งๆได้นานมากกว่า 10ปี โดยไม่ทำอะไรเลย การอยู่นิ่งๆ ไม่มีผลตอบแทนอะไรเลย ในเรื่องของการลงทุน เราเรียกว่า "ทศวรรษที่หายไป" ผลลัพท์ก็คือ ผลตอบแทนโดยรวมจะลดไปประมาณ 2% ของที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้เท่านั้นเอง  
 
  -และด้วยวิธีการนี้ ถึงแม้เราจะขาดทุนไป 50% ผลตอบแทนระยะยาว ของเราจะลดไปแค่ 2% เช่นเดียวกัน จากเป้าหมาย 10% ต่อปี จะเหลือ 8% ต่อปี
 
  -วิธีนี้ สามารถใช้คำนวณเรื่องพันธบัตร เงินฝากในธนาคาร หรือสหกรณ์ การซื้อหุ้นกู้ในตลาดหลักทรัพย์ การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งในประเทศ และนอกประเทศได้  
 
  -ด้วยการคิดแบบนี้ ปีที่แล้ว มีบางคนทำกำไรได้ 200 ล้านภายในปีเดียว โดยอาศัยเงินเฟ้อเป็นตัวทำกำไร
 
  -บางที การเรียนในมหาวิทยาลัย อาจจะต้องสอนเรื่องการลงทุน การเก็งกำไร การหนีจากลงทุนที่แย่ๆ ไม่ได้เรื่อง ว่างเปล่า เป็นวิชาเลือกของนักศึกษา โลกเราในปัจจุบัน ขับเคลื่อนด้วยเงิน ถ้าไม่มีเงิน ก็ไม่มีชีวิต  

 
จากสมการ ถ้าย้ายผลตอบแทนมาหารราคาจะได้ PE
ราคา/ผลตอบแทน=8.5 +(2*อัตราการเติบโตของผลกำไร)
 
หากไม่มีการเติบโตเลยจะได้ PE=8.5
 
ในสมการนี้ให้เติบโตของกำไรในระยะยาวได้สูงสุดที่ 7% เท่ากับว่าPEสูงสุดที่สามารถยอมรับได้คือ 22.5 เท่า
 
การประเมินมูลค่าหุ้น ให้ PE มากสุดไม่ควรเกินนี้
(อ้างอิงตาม Benjamin Graham)
 
 
 

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 952  
   
125.25.235.*


Page(s) : 1 


แจ้งลบกระทู้ แจ้งเมื่อมีคนตอบกระทู้นี้ แนะนำกระทู้นี้ Print



Reply this Topic reserved for registed member only. Register



  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by