« เมื่อ: 10/02/22 เวลา 23:30:16 » |
|
มีน้องท่านหนึ่งฝากมาโพสต์ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องราวของเราที่อยากแชร์เพื่อหวังว่า แม้เพียงแค่หนึ่งคนที่ได้อ่านแล้วหยุดความคิดที่จะจบชีวิตของตัวเอง หรือยังมีความคิดอยาก แต่หยุดความคิดที่จะทำ หรือเตรียมลงมือทำแต่ล้มเลิกความตั้งใจ หรือยังไม่ล้มความตั้งใจแต่เรียกหาคนมาช่วยได้ทัน ก็ถือว่าการแชร์เรื่องราวนี้ของเราประสบความสำเร็จแล้ว ก่อนจะไปถึงเรื่องที่ว่านั่น ขอเริ่มจาก background ชีวิตสั้นๆก่อน อาจจะไม่ละเอียดถึงขั้นรู้นิสัยใจคอ แต่ก็อยากให้รู้ว่า เราคือคนแสนจะธรรมดาเหมือนกับทุกคน เราโตมาในครอบครัวธรรมดา บ้านขนาดธรรมดา ฐานะธรรมดา ไปโรงเรียนธรรมดา มีเพื่อนธรรมดา ปัญหาในบ้าน ปัญหากับคนรอบตัวก็มีเป็นธรรมดา ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ดีระดับธรรมดา พ่อแม่สนับสนุนและเป็นที่ปรึกษาที่ดีแต่มีดุบ้างเป็นธรรมดา พี่น้องรักกัน ถึงแม้จะแยกกันอยู่ทั้งหมด ก็ยังห่วงใยกันเป็นปกติ พื้นฐานนิสัยภายนอกดูเป็นคนร่าเริง ตลกมุขเยอะ เพื่อนเยอะ สนุกสนาน อารมณ์ส่วนใหญ่จะดี แต่ก็ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างแล้วแต่เรื่อง เป็นคนไม่ perfect ขี้เกียจบางครั้ง วันๆก็เรียนไปเรื่อยๆ มีวงจรชีวิตไม่หวือหวา มีเศร้าเป็นบางเวลาแต่ไม่เคยมีความคิดขนาดซึมเศร้า ถึงจะดูบ้าๆบอๆแต่ก็ขยันเรียน ตอนสอบติดแพทย์จำได้ว่าที่บ้านดีใจมาก สบายใจกับอนาคตอันสดใสของลูก การเรียนแม้จะหนักแต่ก็ราบรื่นดี สอบผ่านมาตลอดทุกอย่างที่ต้องการ อยากเรียนต่อเฉพาะทางก็ได้เรียนสาขาที่ชอบ อยากเป็นอาจารย์แพทย์ก็ได้เป็น อยากไปเรียนต่างประเทศก็ได้ไป แต่พอสถานะเปลี่ยนบุคลิกก็เริ่มเปลี่ยน จากสบายๆร่าเริง เป็นอาจารย์ซีเรียส มาคุ ไม่ค่อยมีเมตตา ขี้รำคาญ รู้สึกเหมือนกันว่าเวลาทำงานแล้วคนที่ทำงานด้วยจะกลัว แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกผิด กลับรู้สึกภูมิใจกับความเป๊ะ เยอะ ละเอียด จริงจังของตัวเอง หลังจากไปเรียนต่างประเทศ เริ่มเห็นตัวเองเนื่องจากมีเวลาอยู่คนเดียวค่อนข้างมาก เริ่มรู้สึกตัวว่าที่ผ่านมาไม่มีความสุข แต่คิดไม่ออกว่าเกิดจากอะไร แล้วจะทำยังไง แต่มีสิ่งที่กลับมาคือ นิสัยเก่า ที่ไม่เยอะ ไม่มาคุ ไม่ดุ สนุก มุขเยอะ ได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองแล้วมีความสุข เรืองราวความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นหลังกลับจากต่างประเทศ ถึงแม้นิสัยเดิมจะกลับมาแล้วมีความสุขขึ้น แต่กลับเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันว่างเปล่า เหมือนได้ทุกอย่างพอแล้ว ช่วงชีวิตนี้มันช่างเพอร์เฟคที่สุด เหมือนนักกีฬาได้แชมป์สูงสุดแล้วลาวงการเพราะไม่มีแรงบันดาลใจจะแข่งให้ได้อ ะไรมากกว่าที่ได้มา เริ่มมีความคิดว่าจะเป็นยังไงถ้าไม่ต้องมีชีวิตถ้าหากชีวิตมาสุดเพียงนี้แล้ ว แต่สิ่งที่ตอบไม่ได้ในตอนนั้นคือ ตกลงเราอยากจากโลกนี้ไปเพราะความรู้สึกพอ หรือจริงๆมันไม่เคยพอและแค่อยากจะหลุดพ้นจากวงจรมนุษย์ที่แสนจะเหนื่อยกับกา รหาทางทำให้ชีวิตดีขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุดกันแน่ ตอนที่ 1 Suicidal doesnt always look suicidal: ยิ้มสดใสแต่ใจหม่นหมอง ช่วงโควิดนี้เราได้เจอเพื่อนๆน้อยมาก การที่เป็นมนุษย์ extrovert แล้วต้องห่างจากการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ การสอนนักศึกษาแพทย์ออนไลน์ ประชุมออนไลน์ กินอาหาร delivery มันทำให้เวลาส่วนใหญ่ของเราจมอยู่กับตัวเอง เริ่มดื่ม alcohol มากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมก็ดื่มบ่อยๆแต่ไม่เยอะเพราะหลับก่อน หลังๆกินตลอดทุกวัน ก็เริ่มติด ต้องดื่มไม่งั้นจะหลับยาก ในใจคิดตลอดว่าเมื่อไหร่จะทำงานเสร็จอยากกลับมาดื่มแล้ว จากนั้นก็เพิ่มเป็นดื่มแล้วเติม แล้วเมา ไม่หลับเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับมาdepress นั่งคิดเรื่องลบๆ คิดถึงกระบวนการว่าจะจบทุกอย่างอย่างไรดี เริ่มหาข้อมูล แบบไหนไม่ทรมาน จะหายาจากไหน ถึงเป็นหมอแต่ถ้าสั่งยาเองจะทำยังไงไม่ให้คนผิดสังเกต หมกมุ่นกับเวปไซต์ twitter หัวข้อ suicide วนไปมา แต่กระนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังไปทำงานปกติ ไม่มึน ไม่แฮงค์ ไม่เสียฟังก์ชั่น (มารู้ทีหลังว่าจริงๆเสีย แต่ตอนนั้นคิดไปเองว่าเก่ง ไม่เสีย) ยังรู้สึกสมองไว ขยันปล่อยมุข ทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้หรือสังเกตอะไรหรือถามอะไร ออกแนว high functioning depression ตอนที่ 2 Egg shell: แข็งแต่เปราะบาง ช่วงหลังเริ่มมีผู้ป่วยทัก ว่าคุณหมอดูเหนื่อยๆ เดินเจออาจารย์รุ่นพี่ก็ทักว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกทำไมดูโทรมลง เหนื่อยเหรอ ทั้งที่งานไม่ได้หนักอะไรมากกว่าใคร เริ่มสงสัยว่าสภาพเรากลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกติออกจะกระฉับกระเฉง แข็งแรง แต่ทำไมหลังๆคนทักหลายคนจัง เริ่มทนตัวเองไม่ได้ และคิดว่าถ้าอยู่สภาพนี้อย่าอยู่ดีกว่ามั้ง แต่อีกใจก็คิดว่าหรือเราแค่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไม่อยากอยู่จริงเหรอ หรือต้องหาคนช่วย ต้องรักษามั้ย แต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้แม้กระทั่งเพื่อนสนิท แน่นอนว่าไม่ยอมหาจิตแพทย์ ว่าแต่จะไปหาใครที่ไว้ใจได้ เราศรัทธาใคร คนที่จะให้คำแนะนำ สอน และรับได้ถ้าได้รู้ความแปรปรวน ที่ภายนอกอารมณ์ดีร่าเริง tough กับตัวตนอีกคนภายในที่สุดแสนจะมืดมนและกำลังคิดฆ่าตัวตาย ตอนที่ 3 The right person: คนที่ใช่ ในที่สุดก็คิดออกว่าจะไปคุยกับใคร พี่คนนี้เป็นรุ่นพี่ที่เราเคยพูดคุยปรับทุกข์ด้วยมาก่อนไม่กี่ครั้ง ต่างคนต่างยุ่งเลยไม่ค่อยได้เจอกัน พอคิดได้แล้วก็นึกเสียดายว่าทำไมไม่นึกถึงพี่คนนี้ได้ตั้งนานแล้ว ก็เลยลองทักไปหาแล้วนัดคุยกัน ด้วยความไม่เจอกันนาน การคุยครั้งแรกหัวข้อสนทนาจึงเป็นลักษณะถามไถ่อัพเดทชีวิตทั่วไป แต่ด้วยพี่มีลักษณะพิเศษคือ ตั้งใจฟัง เก็บรายละเอียด บุคลิกแบบ warm and kind ทำให้รู้สึกอยากพูดทุกเรื่องที่เก็บไว้ในใจให้ฟัง ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบไม่ได้เจอกัน วันนั้นจบการสนทนาด้วยความรู้สึกสบายใจมากที่ได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง เหมือนเจอคนที่ใช่ แต่เหมือนไม่จบเพราะยังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญที่สุดที่อยากพูด ตอนที่ 4 Down to the rabbit hole: ติดในโพรงลึกและซับซ้อน คนรู้จักยังคงทักเรื่องหน้าเหนื่อยอยู่ตลอด เพราะหลังๆดื่มหนักมาก เว้นเฉพาะคืนที่มีออกตรวจผู้ป่วยตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ทุกวันที่ดื่มคือสมองปิดตั้งแต่ตอนเย็นจนหลับ ไม่มีใจอยากจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เวลาผ่านไปแบบนี้หลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งได้ยามอร์ฟีนมาฟรี (ขอไม่บอกรายละเอียดว่าได้มาอย่างไร แต่ไม่ได้ใช้ความเป็นแพทย์เบิกยามาเอง) ตั้งใจจะเอาไปวางที่ทำงานแต่กลับเผลอถือกลับบ้าน มอร์ฟีนที่แสนจะดึงดูดสายตาตั้งอยู่ที่เดิมหลายวัน รู้สึกอยากเอามันออกไปจากตรงนั้น แต่ก็ไม่อยากเอาไปทิ้งเลยค่อยๆแกะออกมาทีละเม็ด แล้วคิดว่าจะทำอย่างไรกับมอร์ฟีนในมือที่ถือไว้ประมาณ5นาทีแล้ว สมองที่ดับในตอนนั้นไม่ได้คิดถึงชีวิตที่ผ่านมา ไม่ได้คิดถึงคนที่รักเรา ไม่ได้คิดถึงผลที่จะเกิดตามมาถ้าเราไม่อยู่บนโลกแล้ว 5นาทีนั้นมีแค่ตัวเองและมอร์ฟีน แต่จิตใต้สำนึกที่ย้อนแย้งก็มีความรู้ทางการแพทย์ว่ากินโดสแค่นี้ไม่ตาย กินเถอะ ลองกินดูเลย ถ้าวิธีนี้ไม่ทรมานเท่าไหร่คราวหน้าจะได้ปรับขนาดขึ้น นาทีที่ 6 ที่เอามอร์ฟีนใส่ปากและกินน้ำตามมันง่ายดีจัง ตอนที่ 5 Side effects: ผลข้างเคียง หนึ่งชั่วโมงหลังกิน มอร์ฟีนเริ่มออกฤทธิ์ ตาเริ่มพร่า คลื่นไส้ ใจสั่น ชีพจรช้า ปวดท้อง เวียนหัว คอแห้งแต่เหงื่อแตก มือเท้าเย็น หน้ามืดจะเป็นลมคาดว่าความดันต่ำ แต่ยังรู้ตัวดีและนึกขำตัวเองว่าไม่น่ากินเข้าไปเลย นอกจากไม่ตายแล้วยังทรมาน โงหัวไม่ขึ้นแต่ก็ไม่หลับ จะล้วงคอออกมาดีมั้ย แต่ก็ไม่ทำ ปล่อยให้ยาดูดซึมไปเรื่อยๆแต่ก็คิดไปด้วยว่าเมื่อไหร่จะหมดฤทธิ์ซะที กินน้ำเยอะๆละกัน หรือจะโทรเรียกใครมาช่วยดี แต่ไม่โทรดีกว่า เพราะถ้าตายก็ดี ไม่ตายเดี๋ยวยาก็หมดฤทธิ์ คืนนั้นทั้งคืนเลยวนเวียนกับการกินน้ำ ลุกไปปัสสาวะแบบหน้ามืดๆ เวียนหัว ทรมานสุดๆ ยังดีที่เลือกวันศุกร์เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ เลยมีเวลานอนทั้งวัน เริ่มฝืนกินอาหารได้ตอนเย็นๆ คืนวันเสาร์หลับสนิท แต่เช้าวันอาทิตย์ยังเวียนหัวมากอยู่ แต่กระนั้นเรากลับไม่รู้สึกกลัวการกระทำของตัวเอง แถมยังคิดว่าเปลี่ยนไปหายาอีกตัวที่แรงกว่าเดิมดีกว่า มอร์ฟีนนี่มันไม่เวิร์คเลย วันจันทร์ตื่นมาทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ ไปทำงาน ไปเจอผู้คน ไปสอนหนังสือ จบพิธีการลองกินยาฆ่าตัวตายอย่างเงียบเหงาคนเดียวแบบเสียร่างกายไปโดยเปล่าป ระโยชน์ ทั้งที่รู้ว่าไม่ตาย งงตัวเองว่า ก็แล้วจะกินเข้าไปทำไม ตอนที่ 6 The rescuer comes in time: หน่วยกู้ชีพมาทันเวลา หลังเหตุการณ์วันนั้นก็กลับสู่วงจรเดิมๆ คือดื่มหนัก คิดค้นหายา หาวิธี หาสถานที่ อ่านไปถึง case report แล้วก็ได้วิธีที่คิดว่าดีที่สุด สบายสุด เร็วสุด สถานที่ที่ดีที่สุด แต่เหมือนมีอะไรดลใจให้นึกถึงรุ่นพี่คนเดิม และเข้าใจว่าพี่ก็อาจจะรู้สึกได้เหมือนกันว่าวันนั้นที่คุยกันมันยังไม่จบ เลยได้นัดคุยกันอีกรอบ ครั้งนี้บทสนทนาไม่เหมือนเดิม มันมีความรู้สึกตึงๆ คำถามจากพี่ที่ละเอียดและลึกขึ้น แต่เราก็ตอบไม่ชัดเจนเหมือนเดิม ยังปากแข็งไม่ยอมเข้าประเด็นสำคัญ เฉไฉตลกโปกฮา จนทำให้รุ่นพี่เริ่มงงว่าตกลงเป็นหรือไม่เป็นอะไรกันแน่ จะเลิกคุยดีมั้ย มานั่งคุยไร้สาระทำไมเสียเวลาทั้งสองฝ่ายรึเปล่า ซึ่งต้องขอบคุณพี่ที่ skill เหนือชั้นด้วยเทคนิค ถ้าไม่ยอมพูดจะไปแล้วนะ เพราะนี่เป็นเทคนิคการเคาะที่ใช้ได้ดีมากกับคนปากแข็ง และทำให้เราเกิดอาการสมองกลับ คือกลับมาคิดว่า ตกลงเราจะปล่อยพี่เค้าไปแล้วก็วนเองแบบเดิมคนเดียวไม่มีใครช่วย หรือจะยอมเปิดใจให้พี่เค้าช่วยดีๆ พอคิดได้ดังนั้นก็ร้องไห้หนักต่อหน้าพี่ ซึ่งก็นับเป็นการร้องไห้ต่อคนอื่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีตามสไตล์คน keep cool ที่ร้องไห้เพราะเหมือนโดนแฮคระบบป้องกันความเป็นส่วนตัว แต่แปลกที่พอโดนแฮคจนรั่วแล้วก็โล่งเลย แล้วก็ร้องเพราะกลัวโดนทิ้งมากด้วยก็เลยรีบพูดออกเป็นฉากๆว่าในใจมีอะไร เรื่องที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ คิดหาวิธีว่าจะจบยังไง แต่วันนั้นยังไม่ยอมเล่าเรื่องกินมอร์ฟีน เก็บไว้ก่อนกลัวพี่จะตกใจ หลังจากเล่าเกือบหมดเปลือกในวั้นนั้นก็ได้รับการสอนวิธีคิด วิธีวางใจ การมองใจตัวเอง ความสำคัญการมีชีวิต และการลองศึกษาธรรมะ ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าว่าเป็นจุดเปลี่ยนอย่างไร รวมถึงแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์ เพราะน่าจะเป็นโรคซึมเศร้า จากวันนั้นมาก็เบาขึ้นมาก เริ่มตั้งสติได้ว่านั่นสิจะตายเร็วทำไม การเอาเวลาไปหาวิธีมีชีวิตอยู่เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นมันมีคุณค่ามากก ว่าการเอาเวลาไปคิดว่าจะตายยังไงดี แล้วสมองที่ติดๆดับๆก็เริ่มสว่างคงที่มากขึ้น นึกถึงคนที่รักเรา ชีวิตที่ผ่านมา คิดถึงความพยายามของตัวเอง คิดถึงความสุขระหว่างการเดินทางของชีวิตจนมาถึงจุดนี้ พอนึกถึงคืนนั้นขึ้นมาก็หลอนทุกครั้งและรู้สึกโชคดีที่วันนั้นไม่ตายและยังไ ม่ทันหาวิธีตายจนสำเร็จ
|
|
|
ส่งโดย: Penguin2004
สถานะ: Executive Member
จำนวนความเห็น: 3609
|
|
49.228.105.* |
|