Topic Summary
|
จากคุณ: Penguin2004 |
โพสเมื่อวันที่: 10/02/22 เวลา 23:30:16 |
มีน้องท่านหนึ่งฝากมาโพสต์ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องราวของเราที่อยากแชร์เพื่อหวังว่า แม้เพียงแค่หนึ่งคนที่ได้อ่านแล้วหยุดความคิดที่จะจบชีวิตของตัวเอง หรือยังมีความคิดอยาก แต่หยุดความคิดที่จะทำ หรือเตรียมลงมือทำแต่ล้มเลิกความตั้งใจ หรือยังไม่ล้มความตั้งใจแต่เรียกหาคนมาช่วยได้ทัน ก็ถือว่าการแชร์เรื่องราวนี้ของเราประสบความสำเร็จแล้ว ก่อนจะไปถึงเรื่องที่ว่านั่น ขอเริ่มจาก background ชีวิตสั้นๆก่อน อาจจะไม่ละเอียดถึงขั้นรู้นิสัยใจคอ แต่ก็อยากให้รู้ว่า เราคือคนแสนจะธรรมดาเหมือนกับทุกคน เราโตมาในครอบครัวธรรมดา บ้านขนาดธรรมดา ฐานะธรรมดา ไปโรงเรียนธรรมดา มีเพื่อนธรรมดา ปัญหาในบ้าน ปัญหากับคนรอบตัวก็มีเป็นธรรมดา ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ดีระดับธรรมดา พ่อแม่สนับสนุนและเป็นที่ปรึกษาที่ดีแต่มีดุบ้างเป็นธรรมดา พี่น้องรักกัน ถึงแม้จะแยกกันอยู่ทั้งหมด ก็ยังห่วงใยกันเป็นปกติ พื้นฐานนิสัยภายนอกดูเป็นคนร่าเริง ตลกมุขเยอะ เพื่อนเยอะ สนุกสนาน อารมณ์ส่วนใหญ่จะดี แต่ก็ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างแล้วแต่เรื่อง เป็นคนไม่ perfect ขี้เกียจบางครั้ง วันๆก็เรียนไปเรื่อยๆ มีวงจรชีวิตไม่หวือหวา มีเศร้าเป็นบางเวลาแต่ไม่เคยมีความคิดขนาดซึมเศร้า ถึงจะดูบ้าๆบอๆแต่ก็ขยันเรียน ตอนสอบติดแพทย์จำได้ว่าที่บ้านดีใจมาก สบายใจกับอนาคตอันสดใสของลูก การเรียนแม้จะหนักแต่ก็ราบรื่นดี สอบผ่านมาตลอดทุกอย่างที่ต้องการ อยากเรียนต่อเฉพาะทางก็ได้เรียนสาขาที่ชอบ อยากเป็นอาจารย์แพทย์ก็ได้เป็น อยากไปเรียนต่างประเทศก็ได้ไป แต่พอสถานะเปลี่ยนบุคลิกก็เริ่มเปลี่ยน จากสบายๆร่าเริง เป็นอาจารย์ซีเรียส มาคุ ไม่ค่อยมีเมตตา ขี้รำคาญ รู้สึกเหมือนกันว่าเวลาทำงานแล้วคนที่ทำงานด้วยจะกลัว แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกผิด กลับรู้สึกภูมิใจกับความเป๊ะ เยอะ ละเอียด จริงจังของตัวเอง หลังจากไปเรียนต่างประเทศ เริ่มเห็นตัวเองเนื่องจากมีเวลาอยู่คนเดียวค่อนข้างมาก เริ่มรู้สึกตัวว่าที่ผ่านมาไม่มีความสุข แต่คิดไม่ออกว่าเกิดจากอะไร แล้วจะทำยังไง แต่มีสิ่งที่กลับมาคือ นิสัยเก่า ที่ไม่เยอะ ไม่มาคุ ไม่ดุ สนุก มุขเยอะ ได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองแล้วมีความสุข เรืองราวความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นหลังกลับจากต่างประเทศ ถึงแม้นิสัยเดิมจะกลับมาแล้วมีความสุขขึ้น แต่กลับเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันว่างเปล่า เหมือนได้ทุกอย่างพอแล้ว ช่วงชีวิตนี้มันช่างเพอร์เฟคที่สุด เหมือนนักกีฬาได้แชมป์สูงสุดแล้วลาวงการเพราะไม่มีแรงบันดาลใจจะแข่งให้ได้อ ะไรมากกว่าที่ได้มา เริ่มมีความคิดว่าจะเป็นยังไงถ้าไม่ต้องมีชีวิตถ้าหากชีวิตมาสุดเพียงนี้แล้ ว แต่สิ่งที่ตอบไม่ได้ในตอนนั้นคือ ตกลงเราอยากจากโลกนี้ไปเพราะความรู้สึกพอ หรือจริงๆมันไม่เคยพอและแค่อยากจะหลุดพ้นจากวงจรมนุษย์ที่แสนจะเหนื่อยกับกา รหาทางทำให้ชีวิตดีขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุดกันแน่ ตอนที่ 1 Suicidal doesnt always look suicidal: ยิ้มสดใสแต่ใจหม่นหมอง ช่วงโควิดนี้เราได้เจอเพื่อนๆน้อยมาก การที่เป็นมนุษย์ extrovert แล้วต้องห่างจากการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ การสอนนักศึกษาแพทย์ออนไลน์ ประชุมออนไลน์ กินอาหาร delivery มันทำให้เวลาส่วนใหญ่ของเราจมอยู่กับตัวเอง เริ่มดื่ม alcohol มากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมก็ดื่มบ่อยๆแต่ไม่เยอะเพราะหลับก่อน หลังๆกินตลอดทุกวัน ก็เริ่มติด ต้องดื่มไม่งั้นจะหลับยาก ในใจคิดตลอดว่าเมื่อไหร่จะทำงานเสร็จอยากกลับมาดื่มแล้ว จากนั้นก็เพิ่มเป็นดื่มแล้วเติม แล้วเมา ไม่หลับเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับมาdepress นั่งคิดเรื่องลบๆ คิดถึงกระบวนการว่าจะจบทุกอย่างอย่างไรดี เริ่มหาข้อมูล แบบไหนไม่ทรมาน จะหายาจากไหน ถึงเป็นหมอแต่ถ้าสั่งยาเองจะทำยังไงไม่ให้คนผิดสังเกต หมกมุ่นกับเวปไซต์ twitter หัวข้อ suicide วนไปมา แต่กระนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังไปทำงานปกติ ไม่มึน ไม่แฮงค์ ไม่เสียฟังก์ชั่น (มารู้ทีหลังว่าจริงๆเสีย แต่ตอนนั้นคิดไปเองว่าเก่ง ไม่เสีย) ยังรู้สึกสมองไว ขยันปล่อยมุข ทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้หรือสังเกตอะไรหรือถามอะไร ออกแนว high functioning depression ตอนที่ 2 Egg shell: แข็งแต่เปราะบาง ช่วงหลังเริ่มมีผู้ป่วยทัก ว่าคุณหมอดูเหนื่อยๆ เดินเจออาจารย์รุ่นพี่ก็ทักว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกทำไมดูโทรมลง เหนื่อยเหรอ ทั้งที่งานไม่ได้หนักอะไรมากกว่าใคร เริ่มสงสัยว่าสภาพเรากลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกติออกจะกระฉับกระเฉง แข็งแรง แต่ทำไมหลังๆคนทักหลายคนจัง เริ่มทนตัวเองไม่ได้ และคิดว่าถ้าอยู่สภาพนี้อย่าอยู่ดีกว่ามั้ง แต่อีกใจก็คิดว่าหรือเราแค่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไม่อยากอยู่จริงเหรอ หรือต้องหาคนช่วย ต้องรักษามั้ย แต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้แม้กระทั่งเพื่อนสนิท แน่นอนว่าไม่ยอมหาจิตแพทย์ ว่าแต่จะไปหาใครที่ไว้ใจได้ เราศรัทธาใคร คนที่จะให้คำแนะนำ สอน และรับได้ถ้าได้รู้ความแปรปรวน ที่ภายนอกอารมณ์ดีร่าเริง tough กับตัวตนอีกคนภายในที่สุดแสนจะมืดมนและกำลังคิดฆ่าตัวตาย ตอนที่ 3 The right person: คนที่ใช่ ในที่สุดก็คิดออกว่าจะไปคุยกับใคร พี่คนนี้เป็นรุ่นพี่ที่เราเคยพูดคุยปรับทุกข์ด้วยมาก่อนไม่กี่ครั้ง ต่างคนต่างยุ่งเลยไม่ค่อยได้เจอกัน พอคิดได้แล้วก็นึกเสียดายว่าทำไมไม่นึกถึงพี่คนนี้ได้ตั้งนานแล้ว ก็เลยลองทักไปหาแล้วนัดคุยกัน ด้วยความไม่เจอกันนาน การคุยครั้งแรกหัวข้อสนทนาจึงเป็นลักษณะถามไถ่อัพเดทชีวิตทั่วไป แต่ด้วยพี่มีลักษณะพิเศษคือ ตั้งใจฟัง เก็บรายละเอียด บุคลิกแบบ warm and kind ทำให้รู้สึกอยากพูดทุกเรื่องที่เก็บไว้ในใจให้ฟัง ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบไม่ได้เจอกัน วันนั้นจบการสนทนาด้วยความรู้สึกสบายใจมากที่ได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง เหมือนเจอคนที่ใช่ แต่เหมือนไม่จบเพราะยังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญที่สุดที่อยากพูด ตอนที่ 4 Down to the rabbit hole: ติดในโพรงลึกและซับซ้อน คนรู้จักยังคงทักเรื่องหน้าเหนื่อยอยู่ตลอด เพราะหลังๆดื่มหนักมาก เว้นเฉพาะคืนที่มีออกตรวจผู้ป่วยตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ทุกวันที่ดื่มคือสมองปิดตั้งแต่ตอนเย็นจนหลับ ไม่มีใจอยากจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เวลาผ่านไปแบบนี้หลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งได้ยามอร์ฟีนมาฟรี (ขอไม่บอกรายละเอียดว่าได้มาอย่างไร แต่ไม่ได้ใช้ความเป็นแพทย์เบิกยามาเอง) ตั้งใจจะเอาไปวางที่ทำงานแต่กลับเผลอถือกลับบ้าน มอร์ฟีนที่แสนจะดึงดูดสายตาตั้งอยู่ที่เดิมหลายวัน รู้สึกอยากเอามันออกไปจากตรงนั้น แต่ก็ไม่อยากเอาไปทิ้งเลยค่อยๆแกะออกมาทีละเม็ด แล้วคิดว่าจะทำอย่างไรกับมอร์ฟีนในมือที่ถือไว้ประมาณ5นาทีแล้ว สมองที่ดับในตอนนั้นไม่ได้คิดถึงชีวิตที่ผ่านมา ไม่ได้คิดถึงคนที่รักเรา ไม่ได้คิดถึงผลที่จะเกิดตามมาถ้าเราไม่อยู่บนโลกแล้ว 5นาทีนั้นมีแค่ตัวเองและมอร์ฟีน แต่จิตใต้สำนึกที่ย้อนแย้งก็มีความรู้ทางการแพทย์ว่ากินโดสแค่นี้ไม่ตาย กินเถอะ ลองกินดูเลย ถ้าวิธีนี้ไม่ทรมานเท่าไหร่คราวหน้าจะได้ปรับขนาดขึ้น นาทีที่ 6 ที่เอามอร์ฟีนใส่ปากและกินน้ำตามมันง่ายดีจัง ตอนที่ 5 Side effects: ผลข้างเคียง หนึ่งชั่วโมงหลังกิน มอร์ฟีนเริ่มออกฤทธิ์ ตาเริ่มพร่า คลื่นไส้ ใจสั่น ชีพจรช้า ปวดท้อง เวียนหัว คอแห้งแต่เหงื่อแตก มือเท้าเย็น หน้ามืดจะเป็นลมคาดว่าความดันต่ำ แต่ยังรู้ตัวดีและนึกขำตัวเองว่าไม่น่ากินเข้าไปเลย นอกจากไม่ตายแล้วยังทรมาน โงหัวไม่ขึ้นแต่ก็ไม่หลับ จะล้วงคอออกมาดีมั้ย แต่ก็ไม่ทำ ปล่อยให้ยาดูดซึมไปเรื่อยๆแต่ก็คิดไปด้วยว่าเมื่อไหร่จะหมดฤทธิ์ซะที กินน้ำเยอะๆละกัน หรือจะโทรเรียกใครมาช่วยดี แต่ไม่โทรดีกว่า เพราะถ้าตายก็ดี ไม่ตายเดี๋ยวยาก็หมดฤทธิ์ คืนนั้นทั้งคืนเลยวนเวียนกับการกินน้ำ ลุกไปปัสสาวะแบบหน้ามืดๆ เวียนหัว ทรมานสุดๆ ยังดีที่เลือกวันศุกร์เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ เลยมีเวลานอนทั้งวัน เริ่มฝืนกินอาหารได้ตอนเย็นๆ คืนวันเสาร์หลับสนิท แต่เช้าวันอาทิตย์ยังเวียนหัวมากอยู่ แต่กระนั้นเรากลับไม่รู้สึกกลัวการกระทำของตัวเอง แถมยังคิดว่าเปลี่ยนไปหายาอีกตัวที่แรงกว่าเดิมดีกว่า มอร์ฟีนนี่มันไม่เวิร์คเลย วันจันทร์ตื่นมาทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ ไปทำงาน ไปเจอผู้คน ไปสอนหนังสือ จบพิธีการลองกินยาฆ่าตัวตายอย่างเงียบเหงาคนเดียวแบบเสียร่างกายไปโดยเปล่าป ระโยชน์ ทั้งที่รู้ว่าไม่ตาย งงตัวเองว่า ก็แล้วจะกินเข้าไปทำไม ตอนที่ 6 The rescuer comes in time: หน่วยกู้ชีพมาทันเวลา หลังเหตุการณ์วันนั้นก็กลับสู่วงจรเดิมๆ คือดื่มหนัก คิดค้นหายา หาวิธี หาสถานที่ อ่านไปถึง case report แล้วก็ได้วิธีที่คิดว่าดีที่สุด สบายสุด เร็วสุด สถานที่ที่ดีที่สุด แต่เหมือนมีอะไรดลใจให้นึกถึงรุ่นพี่คนเดิม และเข้าใจว่าพี่ก็อาจจะรู้สึกได้เหมือนกันว่าวันนั้นที่คุยกันมันยังไม่จบ เลยได้นัดคุยกันอีกรอบ ครั้งนี้บทสนทนาไม่เหมือนเดิม มันมีความรู้สึกตึงๆ คำถามจากพี่ที่ละเอียดและลึกขึ้น แต่เราก็ตอบไม่ชัดเจนเหมือนเดิม ยังปากแข็งไม่ยอมเข้าประเด็นสำคัญ เฉไฉตลกโปกฮา จนทำให้รุ่นพี่เริ่มงงว่าตกลงเป็นหรือไม่เป็นอะไรกันแน่ จะเลิกคุยดีมั้ย มานั่งคุยไร้สาระทำไมเสียเวลาทั้งสองฝ่ายรึเปล่า ซึ่งต้องขอบคุณพี่ที่ skill เหนือชั้นด้วยเทคนิค ถ้าไม่ยอมพูดจะไปแล้วนะ เพราะนี่เป็นเทคนิคการเคาะที่ใช้ได้ดีมากกับคนปากแข็ง และทำให้เราเกิดอาการสมองกลับ คือกลับมาคิดว่า ตกลงเราจะปล่อยพี่เค้าไปแล้วก็วนเองแบบเดิมคนเดียวไม่มีใครช่วย หรือจะยอมเปิดใจให้พี่เค้าช่วยดีๆ พอคิดได้ดังนั้นก็ร้องไห้หนักต่อหน้าพี่ ซึ่งก็นับเป็นการร้องไห้ต่อคนอื่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีตามสไตล์คน keep cool ที่ร้องไห้เพราะเหมือนโดนแฮคระบบป้องกันความเป็นส่วนตัว แต่แปลกที่พอโดนแฮคจนรั่วแล้วก็โล่งเลย แล้วก็ร้องเพราะกลัวโดนทิ้งมากด้วยก็เลยรีบพูดออกเป็นฉากๆว่าในใจมีอะไร เรื่องที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ คิดหาวิธีว่าจะจบยังไง แต่วันนั้นยังไม่ยอมเล่าเรื่องกินมอร์ฟีน เก็บไว้ก่อนกลัวพี่จะตกใจ หลังจากเล่าเกือบหมดเปลือกในวั้นนั้นก็ได้รับการสอนวิธีคิด วิธีวางใจ การมองใจตัวเอง ความสำคัญการมีชีวิต และการลองศึกษาธรรมะ ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าว่าเป็นจุดเปลี่ยนอย่างไร รวมถึงแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์ เพราะน่าจะเป็นโรคซึมเศร้า จากวันนั้นมาก็เบาขึ้นมาก เริ่มตั้งสติได้ว่านั่นสิจะตายเร็วทำไม การเอาเวลาไปหาวิธีมีชีวิตอยู่เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นมันมีคุณค่ามากก ว่าการเอาเวลาไปคิดว่าจะตายยังไงดี แล้วสมองที่ติดๆดับๆก็เริ่มสว่างคงที่มากขึ้น นึกถึงคนที่รักเรา ชีวิตที่ผ่านมา คิดถึงความพยายามของตัวเอง คิดถึงความสุขระหว่างการเดินทางของชีวิตจนมาถึงจุดนี้ พอนึกถึงคืนนั้นขึ้นมาก็หลอนทุกครั้งและรู้สึกโชคดีที่วันนั้นไม่ตายและยังไ ม่ทันหาวิธีตายจนสำเร็จ
|
จากคุณ: Penguin2004 |
โพสเมื่อวันที่: 10/02/22 เวลา 23:30:48 |
ตอนที่ 7 The beginner: เป็นคนใหม่ แน่นอนว่าคนมีอีโก้อย่างเราจะยอมไปหาจิตแพทย์ได้อย่างไร (อันนี้ไม่แนะนำเลย เสี่ยงมาก วางอีโก้แล้วไปพบแพทย์ด้วยจะดีกว่า) สรุปก็เลยเลือกทางเดียวคือ ศึกษาธรรมะ แม้จะอิดออดในใจแต่ลึกๆเราก็รู้ดีว่าศาสนาเป็นสิ่งดีมีคุณค่าในตัวเอง น่าจะลองดูก่อน แต่คนห่างศาสนาห่างวัดแบบเราจะเริ่มศึกษาธรรมะอย่างไรดี ซึ่งพี่ก็ได้สอนหลายอย่าง ทั้งพาไปพบพระอาจารย์ ซึ่งก็ได้รับคำสอน ได้แง่คิดอย่างดีมากเกี่ยวกับคุณค่าของชีวิต และยังแนะนำให้ถือศีล5 ซึ่งตอนแรกฟังดูเหมือนยากมาก เพราะต้องเลิก alcohol ระวังการพูดจาไม่ดีใส่คนอื่น แต่พอตั้งใจแล้วก็ง่ายขึ้นเรื่อยๆ จริงๆคือการทำชีวิตปกติ เช่นการพูด ก็ระมัดระวัง มีสติก่อนพูด ซึ่งข้อนี้จริงๆแล้วยากแต่ก็ยังดีกว่าตอนไม่ตั้งใจ ส่วนเลิกเหล้าคือง่ายมาก แค่ตั้งใจว่าจะไม่กินก็ไม่ต้องกินตั้งแต่วันนั้น สำหรับการหยุดดื่ม alcohol นั้นจัดว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เนื่องจาก alcohol ที่มากเกินควบคุมนั้นนอกจากทำให้ขาดสติแล้ว ยังกระตุ้นอาการซึมเศร้าอีกด้วย หลังจากหยุดดื่ม สมองกลับมาปลอดโปร่งขึ้นชัดเจน ที่เหลือก็ฝึกสมองที่โปร่งแล้วให้รู้จักคิดให้ถูกวิธี ด้วยความเชื่อที่ว่า โรคทางความคิดถ้ามีคนสอนให้รู้จักนำพาความคิดไปให้ถูกทิศทางจนเราสามารถนำพา ได้ด้วยตนเองในที่สุด โรคนั้นก็น่าจะดีขึ้นไม่มากก็น้อย ระหว่างนี้ก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากพี่คนเดิม กัลยาณมิตรคนสำคัญที่ดูแลอยู่ห่างๆแบบ standby พี่คงคิดว่าเผื่อมันเกิดคลั่งอะไรขึ้นมา ถามว่า แล้วพ่อแม่ คนในครอบครัวที่บอกว่ารัก หายไปไหนทำไมไม่อยู่ในตัวละครเรืองนี้ เราก็จะขอถามกลับว่า มีกี่คนที่ป่วยจนอยากฆ่าตัวตายแล้วยอมบอกแม่? ตอนที่ 8 Become a habit: นิสัยใหม่ การไปวัดฟังธรรมครั้งแรกๆไปกับพี่ๆและมีเพื่อนไปด้วยเสมอ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไปแล้วสบาย หลังๆชวนใครก็ไม่ค่อยได้ เพราะไปเช้ามาก และเริ่มอยากไปทุกสัปดาห์ก็เลยไปคนเดียว แรกๆก็เขินกลัวประหลาด แต่มองไปมองมาก็มีคนเยอะแยะที่มาคนเดียว เวลาไปก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากไปฟังธรรม ธรรมที่ว่านั้น อาจารย์ทางธรรมสอนว่าคือ ธรรมโอสถ ซึ่งแปลตรงตามตัว คือธรรมะที่ใช้รักษาโรค โดยเฉพาะโรคของใจ ถ้าถามเราว่าการศึกษาและนำธรรมะมาใช้กับชีวิตทำไมถึงรักษาโรคทางใจได้ คำตอบง่ายๆคือเพราะธรรมะเป็นวิถีแห่งความจริงตามธรรมชาติที่ถูกต้องเสมอ หากได้ดำเนินชีวิตและความคิดตามวิถีของธรรมแล้วก็จะพบว่า นี่คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตและความคิดดำเนินไปในทางถูกต้อง ไม่หลงไปกับความผิดเพี้ยนของจิตที่อยู่ในร่างที่ลอยไปตามกระแสโลกแบบไร้ทิศท าง หลังจากเริ่มไปวัดฟังธรรมบ่อยๆจนกลายเป็น routine ตื่นมาได้โดยไม่ค่อยง่วง และศึกษาธรรมอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังมีโอกาสได้ไปทำความสะอาดวัดซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเช่น กวาดลานวัด ล้างพื้น ล้างห้องน้ำวัด ก็ถือว่าได้ทำสิ่งที่ยากที่คนทั่วไปจะทำใจทำได้ ประโยชน์ที่ได้นี้ก็เพื่อละความเป็นตัวตน รวมถึงการเคลื่อนไหวซ้ำๆก็เหมือนการทำสมาธิไปในตัว นานเข้าก็เริ่มเห็นผลขึ้นเรื่อยๆ คนอื่นอาจจะไม่เห็น แต่ตัวเองเห็น เรื่องที่เคยวนเวียนมันยังคงอยู่ไม่ได้หายไปทั้งหมด แต่เสียเวลาไปกับความคิดนั้นน้อยลง รวมถึงความสามารถในการวนดีขึ้น คือสามารถ move on ไปได้ทั้งที่ยังวนๆอยู่แบบนั้นโดยไม่กระวนกระวายเหมือนเมื่อก่อน วนก็วนไป ไม่เป็นไรก็อยู่ไปแบบนี้แหละ นานๆทีมีแอบโผล่มาบ้างแต่เป็นเพราะเราไปดึงมาคิดเอง ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่คิดแบบควบคุมไม่ได้ สุดท้ายการไปวัด ทำบุญ การฝึกจิต การปฏิบัติสมาธิ และการมีทัศนคติที่ดี ต่อตัวเองและผู้อื่น ก็กลายเป็นสิ่งที่ทำเป็นนิสัยโดยอัตโนมัติแบบไม่ฝืนเหมือนช่วงแรกๆ แล้ววันหนึ่งเราก็กล้าเปิดเผยออกมากับรุ่นพี่คนนั้นว่า ได้ลองกินยามอร์ฟีนไปแล้วด้วยนะ side effect อย่างเยอะ ไม่ใช่แค่ suicidal thought แต่เป็น suicidal attempt พี่ดูช็อคแบบเก็บอาการ คงไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดมาถึงเพียงนี้ ตอนที่ 9 Become a rescuer: เป็นหน่วยกู้ภัย บทบาทหนึ่งของการเป็นอาจารย์แพทย์คือการรับฟังปัญหาของนักศึกษาแพทย์และแพทย ์ที่เรียนต่อเฉพาะทาง เมื่อก่อนไม่เคยมีใครมาคุยเรืองซึมเศร้าด้วยเลย แต่พักหลังนี้ ได้ฟังเรื่องราวของคนหลายคน ซึ่งอาจเป็นได้ว่าการเรียนออนไลน์ในยุคโควิดทำให้นักศึกษาเครียดมากขึ้น มีจำนวนคนที่ป่วยมากขึ้น แต่ก็เชื่อว่าเป็นเพราะแรงดึงดูดคนที่เหมือนกัน ทำให้ได้มาเจอกัน แต่ละคนก็มีปัญหาต่างๆกันไป แต่ส่วนใหญ่ที่คล้ายกันคือ ปรับตัวเข้ากับสังคมคนเก่งไม่ได้ ท้อแท้ รู้สึกตัวเองไม่เก่งพอเสียใจที่โดนตำหนิ ไม่ก็ตำหนิตัวเอง หรือหมด passion ในการเป็นแพทย์ เรียนก็หนัก ทำงานก็เหนื่อย รับผิดชอบสูง และต้องอาศัยแรงใจมหาศาลในการเรียนให้จบ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้ดีทั้งที่ใจยังป่วยอยู่แบบนี้ จากการที่เราเองเคยผ่านช่วงเวลาที่ต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นควบคู่ไปกั บอีกร่างที่ซึมเศร้า ทำให้เราเข้าใจทุกคนที่เข้ามาคุยไม่มากก็น้อย พยายามให้คำปรึกษาโดยใช้ประสบการณ์ของตัวเอง คำสอนของรุ่นพี่ รวมถึงคำสอนจากครูบาอาจารย์ทางธรรม เราก๊อปปี้มาเยอะมากเพื่อช่วยคนอื่นต่อ ถึงแม้จะไม่ได้พูดออกแนวธรรมะมากนัก เพราะนักศึกษายังวัยรุ่น แต่เชื่อว่าหลักธรรมที่เป็นหลักการทั่วไปของชีวิตก็น่าจะใช้สอนได้เกือบทุกส ถานการณ์อยู่แล้ว ระยะหลังเริ่มติดตลกกับเรืองของตัวเอง เริ่มกล้าเล่าให้นักศึกษาฟังว่าพี่เองก็เคยมี depression แต่ไม่กล้าพอที่จะยอมไปหาจิตแพทย์เพราะกลัวถูกวินิจฉัยว่าตัวเองป่วย กลายเป็นหมอเองที่ทำตัวเหมือนคนไข้ที่เก็บอาการไว้จนหนักแล้วไม่ยอมมาหาหมอแ ต่แรก เพราะกลัวโดนวินิจฉัยว่าเป็นโรค ต้องนับถือน้องๆที่เป็นโรคซึมเศร้า ที่กล้ายอมรับ กล้าเปิดใจ กล้าเล่าเรื่องตัวเอง และกล้ารับการรักษากับแพทย์อย่างถูกต้องจนตัวเองดีขึ้น ตอนที่ 10 Pay it forward: ได้เวลาแบ่งปัน บทส่งท้ายนี้จะกล่าวถึงใจความสำคัญของเรืองที่แชร์ในแต่ละตอน สำหรับโรคซึมเศร้าและความคิดที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่นั้นสามารถเกิดกับใครก็ได ้แม้จะดูเป็นคนไม่มีทุกข์เป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีกองทุกข์อะไรที่ชัดเจน มีชีวิตราบรื่น หน้าที่การงานดี ได้รับการชื่นชมในสังคม คนภายนอกหรือแม้กระทั่งครอบครัวหรือเพื่อนสนิทอาจจะดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่ าคนคนนั้นมีอาการซึมเศร้าอยู่ภายใน การพยายามจบชีวิตนั้นอาจก่อให้เกิดความทุกข์ที่มากกว่าเดิม เคราะห์ร้ายอาจจะเกิดความเจ็บป่วยทางกายถาวรโดยที่ยังไม่ตาย ขอให้ตั้งสติก่อนทำ ถ้าแม้เวลานั้นไม่มีสติก็พยายามรวบรวมจิตให้สั่งกาย ฝืนมือแขนขาให้รีบเก็บอาวุธลงโดยเร็ว (ซึ่งเราเองก็เก็บไม่ทัน) ช่วงที่มีอาการเราจะไม่สามารถผ่านไปได้ด้วยตัวเองคนเดียว การเจอคนที่ใช่ซักคนที่เข้ามาให้การช่วยเหลือจะทำให้หลุดพ้นได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม คนบางคนมีนิสัยที่เก็บทุกอย่างไว้กับตัว ไม่เปิดใจไม่เปิดปากว่าตัวเองอาการหนักแค่ไหน คนที่ตั้งใจเข้ามาช่วยอาจจะไม่เข้าใจ ทำตัวไม่ถูก หรือรู้สึกเสียเวลาเปล่าประโยชน์ สุดท้ายอาจจะไม่เหลือใครช่วยเพราะไม่มีใครเข้าใจ ดังนั้นหากสติหลุดไปไกลแล้ว มืดมนมากแล้ว ควรยอมปล่อยร่างของตัวเองเพื่อให้ใครซักคนเข้ามาช่วยแม้เราจะไม่เต็มใจ ขอให้นึกถึงการรักษาแผนปัจจุบัน การไปพบจิตแพทย์เพื่อรักษาเป็นเรื่องสำคัญที่เราเองก็ยอมรับว่า การไม่ไปพบแพทย์เพราะความอีโก้สูงของตัวเองนั้นมีความเสี่ยงที่จะจบชีวิตตัว เองได้สำเร็จ จริงๆแล้วแพทย์หรืออาชีพอื่นที่ high performance ทั้งหลายเป็นกลุ่มหนึ่งที่เวลาป่วยทางใจ เป็นทุกข์ หรือมีโรคซึมเศร้าแล้วไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวแล้วไม่ยอมรับ ศรัทธาคนยาก ไม่เชื่อเรื่องการรักษากับจิตแพทย์ และไม่เชื่อเรื่องการหาสิ่งยึดเหนี่ยวใจให้สงบจากภายใน ซึ่งเราเองก็เป็นแบบนั้น แต่ต้องเตือนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ไปทางอื่นแล้วจะรอด ไปหาหมอก่อนแล้วพอเริ่มมีสติมาค่อยคิดว่าจะทำอะไรเพิ่มให้ดีขึ้นได้บ้าง จะดีกว่า สุดท้ายถ้าไม่มีใครช่วยจริงๆ และไม่ยอมไปหาจิตแพทย์แน่ๆ แต่ยังพอมีสติเหลืออยู่บ้าง มีหลายทางที่ทำให้หลุดพ้นได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องอดทนและมีความสม่ำเสมอในการทำ การเจริญสติทำให้เกิดหลักยึดนำพาความคิดไปในทางที่ถูกต้อง เนื่องด้วยสติเป็น key สำคัญของการรักษาทุกสภาวะทางใจ มีคนกล่าวว่า การแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นก็จะช่วยให้ตัวเราเองหลุดพ้นเร็วขึ้นเช่นกัน จึงอยากขอให้เรื่องราวของเราเป็นตัวอย่าง เป็นแรงบันดาลใจให้คนที่กำลังซึมเศร้าแต่ปฏิเสธตัวเอง เป็นความหวังของคนมืดมนว่าทุกอย่างมันดีขึ้นได้จริงถ้าไปถูกทาง แม้ว่าทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และอาจจะรู้สึกว่าที่เราเล่ามาไม่เห็นจะมีทุกข์อะไรขนาดนั้นก็เลยผ่านมาได้ไ ม่ยากรึเปล่า แต่เชื่อเถอะว่าเราก็ไม่ได้ผ่านมาง่ายๆ แต่อย่างน้อยเมื่อเรามีแรงมากขึ้นก็อยากหาโอกาสที่จะส่งต่อความหวังนั้นให้แ ก่ผู้อื่น เราคงไม่กล้าบอกให้ทุกคนเผชิญกับความจริงแล้วทำเหมือนซึมเศร้าเป็นเรื่องปกต ิ หรือกล้าเปิดเผยตัวว่าตัวเองป่วย เพราะเราเองก็ยังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นนั้นเช่นกัน ใครแข็งแกร่งแล้วแชร์มาบ้าง อยากอ่าน เราแค่อยากเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังคิดจะจบชีวิตตัวเอง ให้หลุดพ้นจากความคิดเหล่านั้นโดยเร็ว และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่สร้างประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่น ขอบคุณพี่(และแฟนพี่)ที่เป็นกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลืออย่างเข้าใจและมีเมตตา ขอบคุณแทนพ่อแม่และครอบครัวที่รักเรา ที่ช่วยให้พวกเค้าไม่เสียเราไป ความซาบซึ้งที่เราได้มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้พี่อาจจะไม่เข้าใจเพราะเป็นฝ ่ายให้ แต่เราคงจะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนไปตลอดเมื่อมีโอกาส อย่างน้อยก็ในชาตินี้ สุดท้ายนี้อาจจะมีคนอ่านแล้วพอรู้หรือเดาได้ว่าเราเป็นใคร แต่ถึงเราจะแชร์เป็นวิทยาทานแต่เราก็ยังเขินที่จะให้ใครรู้ตัวตนที่แท้จริง ถึงรู้คร่าวๆแล้วก็ขอเถอะนะ ช่วยเก็บไว้ในใจอย่ามาถามหรือทักเราเลย เราไม่อยากอ้ำอึ้งแล้วโกหกเสียงสูงว่า ไม่ใช่เร๊า
|
จากคุณ: positive |
โพสเมื่อวันที่: 11/13/22 เวลา 11:02:32 |
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
|