Thaiclinic.com

Thaiclinic Logo bannermedbiblewelcomeclr.gif (19991 bytes)
Main PageWhat's NewMedical BibleClinic OnlineHealth ConferenceQuestion-MallThaiclinic Newsfoldspaceup.gif (292 bytes)Contact Me,Dr.OU

หวัด โรคหน้าหนาว
ไข้หวัด common cold , flu , influenza , หนาว น้ำมูก เด็ก กุมาร

 

หวัด โรคหน้าหนาว

หวัดเป็นโรคภัยที่พบบ่อยที่สุด ในหน้าหนาวเลยทีเดียว และก็ยุคนี้เป็นยุคสมัยที่เราควรจะมีความรู้ทางด้านโรคภัยไข้เจ็บมากพอสมควร และควรที่จะรักษาตนเองเบื้องต้นได้ และควรที่จะไปหาซื้อยาเองเบื้องต้นได้ โดยอาจปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยาให้ช่วยอีกแรงหนึ่งนะครับ เรามาทำความรู้จักกันเลยครับ

เชื้อหวัดคืออะไร

เชื้อหวัดเป็นเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เล็กที่สุด เล็กกว่าเชื้อแบคทีเรียนับเป็น ร้อยเป็นพันเท่า ติดต่อทางไอจามน้ำมูก และเชื้อมักอยู่ในอากาศ เมื่อเราอ่อนแอ หรืออากาศเย็นและได้รับเชื้อก็ติดหวัดได้ เชื้อหวัดเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ แบ่งเป็นกลุ่มไวรัสหลักๆ ประมาณ 9 ชนิด แต่ละชนิดยังแยกไปอีกนับสิบสายพันธุ์ รวมกันแล้วจึงมีเกิน 100 ชนิด ( เนื่องจากมีมากชนิด จึงไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันหวัด ) เชื้อ เหล่านี้ทำให้เกิดโรคต่างกันไป ขึ้นกับสายพันธ์และ ความอ่อนแอของผู้ติดเชื้อ เช่น ไรโนไวรัส ( Rhinovirus ) อาจทำให้เกิดหวัดธรรมดา คันจมูกน้ำมูกไหล ไอ จามในผู้ใหญ่ แต่เชื้อเดียวกันนี้อาจทำให้เป็นปอดอักเสบติดเชื้อ คือมีไข้ ไอหอบเหนื่อย และอาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ในเด็กเล็กๆเป็นต้น ไวรัสบางตัวก็ทำให้เป็นหวัดคัดจมูกธรรมดา อาจมีเจ็บคอ คออักเสบ หรืออาจมี หลอดลมอักเสบ ซึ่งจะมีอาการไอมากตลอดเวลา และอาจรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบ ด้วยซึ่งจะมีอาการ ไข้ไอ หอบ เป็นต้น ไวรัสบางชนิดเช่นเชื้อไข้หวัดใหญ่ อินฟลูเอนซ่าไวรัสบี ( Influenza virus B ) อาจทำให้มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เพลียลุกไม่ไหว หรืออาจมีแค่เจ็บคอมีน้ำมูกเฉยๆก็ได้ 

อาการของหวัดเป็นอย่างไร และอาการอย่างไรที่อันตรายควรพบแพทย์

อาการของหวัดที่ไม่อันตราย ได้แก่ จาม มีน้ำมูก ไหล คันจมูก คันตา อาจมีเจ็บคอนิดหน่อย มึนศรีษะหรือปวดหัวนิดหน่อย อาจมีปวดเมื่อยนิดหน่อย ไอบ้าง มีเสมหะหรือไอแห้งๆก็ได้ แต่เสมหะใส ไม่มีเขียวเหลืองหรือมีหนองมีเลือด มีไข้ได้แต่ไม่สูงมาก

อาการที่บอกว่าอาจจะอันตราย ควรพบแพทย์ 
คือ มีไข้สูงมาก มีปวดศรีษะมาก หรือมีคลื่นไส้อาเจียนด้วย ( แสดงว่าอาจมีหวัดลงกระเพาะอาหาร ) ไอมากจนเจ็บอก หรือเหนื่อย หรือไอบ่อยมากทุกห้าถึงสิบนาทีก็ว่าได้ 
( แสดงว่าอาจเป็นปอดอักเสบ ) หรือไอเสียงก้องคล้ายเสียงหมาเห่า
( แสดงว่าอาจมีหลอดลมอักเสบและหลอดลมมีอาการเกร็งตีบตัว ) หรือเสมหะเขียวหนอง หรือมีเลือด ( แสดงว่า อาจมีติดเชื้อแบคที่เรียแทรกซ้อน ) หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก ( แสดงว่าอาจเป็นปอดอักเสบ ) ปวดหู หูอื้อ บ้านหมุน ( แสดงว่าอาจมีเนื้อเยื่อในจมูกบวมมาก จนทำท่าจะลามไปเป็นหูชั้นกลางอักเสบ ) ปวดเมื่อยตามตัวมาก ฟังดูก็หนักมากแล้ว ที่ต้องย้ำคือถ้าเป็นหวัดในเด็กเล็กเช่นต่ำกว่า 6 ขวบก็ควรไปหาหมอ เพราะเด็กจะประมาทไม่ได้

ถ้าอาการเป็นไม่มากจะรักษาตัวอย่างไร

ประการแรกคือพยายามพักผ่อนให้มากที่สุด ทำตัวให้อบอุ่น อะไรที่รู้ว่าไม่ดีกับเราก็ให้เลี่ยง เช่นบางคนจะรู้ตัวเลยว่า โดนเย็นไม่ได้ โดนพัดลมไม่ได้ กินน้ำเย็นไม่ได้ ก็ให้เลี่ยง เนื่องจากต้องพักผ่อนให้มาก จึงควรทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่นพวกแป้งและน้ำตาล เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม น้ำหวาน น้ำผลไม้ อาหารที่ย่อยยากและไม่ควรทานในช่วงนี้ได้แก่ ของเผ็ด ผัก ของมัน หรือเนื้อสัตว์ ( ทานเล็กน้อยอาจพอได้ ) หรืออาหารที่มีแก็สมีลม เช่น ถั่ว น้ำอัดลม (ถ้าจะทานก็ได้ แต่ควรเขย่าหรือคนจนลมหมดไม่มีแก็ส ) ที่ควรทานอาหารย่อยง่าย เพราะว่าบางคนจะมีกระเพาะอาหารอักเสบได้เมื่อเป็นหวัด ที่เรียกว่าหวัดลงกระเพาะ จะมีอาการท้องอืดเฟ้อได้ง่าย หรือในกรณีที่จะนอนพักผ่อน ก็ไม่ได้เดินย่อยอาหารก็ท้องอืดเฟ้อได้เช่นกัน 

ยาที่ควรหามาทานได้มีอะไรบ้าง

เชื้อหวัดไวรัส ไม่มียาฆ่า เชื้อจะหายเองโดยภูมิต้านทานในร่างกายของเราในเวลาประมาณ 5-10วัน ยาที่ใช้เป็นแต่ยาบรรเทาอาการ ที่คุณหมอนิยมเรียกว่าการรักษาแบบประคับประคองเท่านั้น 

1. แก้ปวดลดไข้ ที่ปลอดภัยที่สุดคือ พาราเซ็ตตามอล 500 มิลลิกรัม เรียกง่ายว่า พารา ทาน 1-2 เม็ดทุก 6 ชั่วโมงได้ ในผู้ใหญ่ที่หนักประมาณ 50 กิโล ยาตัวนี้จะเป็นยาแก้ปวด และลดไข้ ใช้ได้ ทั้งแก้ปวดหัว ปวดเมื่อย ปวดฟัน ปวดประจำเดือน ปวดแผลฟกช้ำกระแทก แก้ปวดได้ทุกอย่าง ยกเว้นสามอย่างเท่านั้น คือปวด อุจจาระและปัสสาวะ ปวดใจอกหัก ที่แก้ไม่ได้ ที่สำคัญคือยานี้ไม่กัดกระเพาะทานตอนท้องว่างได้ยิ่งดียิ่งออกฤทธิ์เร็ว และยานี้ไม่ลดน้ำมูกเลย ไม่ช่วยเรื่องคัดจมูกเลย ลดไข้และแก้ปวดเท่านั้น ยาลดไข้อีกตัวคือแอสไพริน ไม่แนะนำเพราะกัดกระเพาะ ปวดท้องได้ และจะซ้ำเติมทำให้เลือดออกในกระเพาะได้ และซ้ำเติมโรคไข้เลือดออกได้ 

2. ยาลดน้ำมูก ทีควรหามาทานได้ มีทั้งแบบที่ง่วงและไม่ง่วง ที่ง่วงแต่ได้ผลดี คือยาแก้แพ้ คลอเฟนนิลามีน มีชี่อเรียกย่อว่า ซีพีเอม ( Chlorphenilamine : CPM ) เม็ดละประมาณ 4 มิลิกรัม ทาน 1 เม็ดออกฤทธิ์ได้ประมาณ 4-8 ชั่วโมง แต่บางคนง่วงมาก จึงไม่ควรขับรถทุกชนิดหลังทาน เพราะอาจหลับในได้ ยาตัวนี้ก็ราคาถูก แสนดี ไม่กัดกระเพาะ กินท้องว่างได้ยิ่งออกฤทธิ์เร็วดีอีกด้วย ยาลดน้ำมูกที่ไม่ง่วงมีหลายตัวแต่ราคาแพงกว่าตกเม็ดละประมาณเกิน 6 บาท บางคนได้ผลบางคนไม่ได้ผล บางตัวต้องกินไปหลายวัดจึงจะออกฤทธิ์ได้เต็มที่ ยาประเภทนี้ให้ปรึกษา เภสัชกรที่ร้าน เพราะมีหลายราคา พวกนี้ไม่กัดกระเพาะ ควรทานตอนท้องว่างจะได้ออกฤทธิ์เร็ว

3. ยาลดอาการคัดจมูก ยาแก้ไอ ยาอม สามารถจะใช้ได้โดยปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยาเช่นกัน 

4. ยาแก้อักเสบฆ่าเชื้อ ควรจะใช้เมื่อมีอาการเจ็บคอมากขึ้นมาก หรือมีน้ำมูกเขียวเหลือง หรือเป็นหวัดมา 3-4 วัน แล้วยิ่งเจ็บคอมากขึ้น ควรอยู่ในความดูแลแพทย์หรือเภสัชกรเช่นกัน ถ้าจะทานควรทานติดต่อกันอย่างน้อย 5-7 วันเพื่อไม่ให้เชื้อดื้อยา ที่ทานได้อีกตัวหนึ่งคือฟ้าทะลายโจรเพราะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเป็นยาสามัญประจำบ้านเช่นกัน แต่ทานประมาณ 5-7 วันเช่นกัน และไม่ทานต่อเนื่องเป็นเดือนเป็นปี

5. การทานวิตามินซี ไม่มีรายงานชัดเจนว่ารักษาหวัดได้ แต่บางคนก็เชื่อเช่นนั้น จะทานก็ได้ แต่ไม่มากเกินไป หรือจะทานน้ำส้ม น้ำมะนาวก็ได้ครับ 

อย่าลืมไปดูว่าอาการอะไร ที่รุนแรงและควรไปพบแพทย์ และอย่าลืมว่าเด็กเล็กเป็นหวัดก็ควรพบแพทย์เช่นกัน ครับ 

ที่สำคัญคือป้องกัน และอย่าไปไกล้คนเป็นหวัดครับ หวังว่าคงจะได้รับความรู้กันอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องลองเป็นดูก่อน นะครับ

โดย น.ท. นพ. จักรพงศ์ ไพบูลย์ อายุรแพทย์

Main PageWhat's NewMedical BibleClinic OnlineHealth ConferenceQuestion-MallThaiclinic Newsfoldspacebottom.gif (372 bytes)Contact Me,Dr.OU

This web is created and designed by หมออู๋
14 January 2002

Copyright (c) 1998-2001, ThaiClinic.com. All Right Reserved.