โรคเก๊าท์
เกิดจากภาวะที่กรดยูริคในเลือดมีปริมาณสูงเกินไป
เกินกว่าที่จะสามารถอยู่ในเลือด
ในรูปสารละลายได้
จึงมีการตกตะกอนสะสมอยู่ตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในที่ที่มีอากาศเย็นกว่าบริเวณอื่น
เช่น
ตามข้อ ทำให้ข้ออักเสบ หรือ ตามศอก นิ้ว ติ่งหู ตาตุ่ม หลังเท้าทำให้เกิดปุ้มก้อนเกิดขึ้น
อาการแสดง
อาการของเก๊าท์ที่สำคัญคือ
ข้ออักเสบ มักเกิดที่บริเวณนิ้วหัวแม่เท้า, ข้อเท้า
เป็นต้น โดยข้อที่อักเสบ
จะบวม
แดง ร้อน และปวดมาก ชัดเจน (ถ้าข้อที่ปวด ไม่บวม แดง
ร้อน หรือมีอาการไม่ชัดเจนให้สงสัยไว้
ก่อนว่าไม่ใช่เก๊าท์)
โดยมากมักเป็นข้อเดียว และมีอาการอักเสบอยู่ประมาณ 5-7 วัน
อาการจะค่อย
ๆ ทุเลาไปได้เอง จนหายสนิท ระหว่างที่ไม่มีอาการ จะไม่มีความผิดปกติใด ๆ
ให้เห็น
เมื่อข้ออักเสบขึ้นใหม่
จะมีอาการเช่นเดิมอีก อาการจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นมากขึ้น
อาการข้ออักเสบจะเป็นมากขึ้นหลายข้อมากขึ้น
เป็นนานและรุนแรงขึ้น รวมทั้งเกิดปุ่มก้อนของยูริค
สะสมมากขึ้น
ผู้ป่วยระยะนี้มักมีไตวายร่วมด้วย
สาเหตุของเก๊าท์
เกิดเนื่องจากร่างกายมีกรดยูริคสูงเกิน เป็นเวลานาน สำหรับผู้ชาย ระดับยูริคจะสูงตั้งแต่
ในช่วงวัยรุ่น
แต่ผู้หญิงด้วยฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศ จะไม่สูง แต่จะสูงเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว
ระดับยูริคที่สูงจะไม่ทำให้เกิดอาการ
แต่จะสะสมตกตะกอน ไปเรื่อย ๆ จนเริ่มมีอาการทางข้อเมื่อกรดยูริค
ในเลือดสูงไปประมาณ
10-20 ปีแล้ว
ยูริคในเลือดที่สูงกว่าร้อยละ
90 เกิดจากร่างกายผลิตเอง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องให้ผู้ป่วย
โรคเก๊าท์งดอาหารใด
ๆ ที่มียูริคสูงเลยและการกินอาหารที่มียูริคสูง (ที่คนทั่วไปเข้าใจกันเช่น
เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก)
ก็ไม่ได้ทำให้
เกิดโรคเก๊าท์แต่อย่างใด และเนื่องจากโรคเก๊าท์มักเป็นในผู้ป่วยที่มีอายุค่อนข้างมาก
ซึ่งมักจะมีโรคอื่นร่วมด้วย
เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ซึ่งจำเป็นต้องงดอาหารหวาน อาหารเค็มอยู่แล้ว
การให้ผู้ป่วยเก๊าท์งดอาหารอีก
จะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถกินอาหารอะไรได้เลย (ยกเว้นไปกินแกลบ กินหญ้า)
เป็นการทรมานผู้ป่วยเปล่า
ๆ
การรักษาเก๊าท์แบ่งเป็น
2 ช่วง ได้แก่
1.
การรักษาข้ออักเสบ ในช่วงนี้แพทย์จะใช้ยาลดการอักเสบของข้อก่อน
โดยใช้ยา โคลชิซิน หรือยาแก้ปวดลดอักเสบ
หรือใช้ร่วมกัน
เพื่อลดอาการปวดข้อและอักเสบ ยาโคลชิซินโดยทั่วไปแนะนำให้ใช้ ไม่เกินวันละ
3-4 เม็ด
โดยกินยาทุก
4 ชั่วโมง จนกว่าจะหายปวด
การใช้ยาตามคำแนะนำของต่างประเทศที่ว่าให้กินทุก
1 ชั่วโมงจนหายปวดหรือจนเกิดผลข้างเคียงคือท้องเสียนั้น
ไม่สมควรอย่างยิ่ง
เพราะข้อไม่เคยหายอักเสบก่อนท้องเสียเลย ดังนั้นผู้ป่วยจะท้องเสียทุกรายและมีความรู้สึก
ที่ไม่ดีต่อการใช้ยานี้
การกินยาไม่เกิน 3-4 เม็ดต่อวัน โอกาสเกิดผลข้างเคียงนี้ น้อยมาก
ผู้ป่วยเก๊าท์ในระยะข้ออักเสบ
ห้ามนวด! เด็ดขาด เพราะจะทำให้ข้ออักเสบเป็นรุนแรงขึ้น หายช้าลงได้
2.
การลดกรดยูริคในเลือด โดยใช้ยาลดกรดยูริค ในผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบมากกว่า
1 ครั้ง ควรให้ยาลดกรดยูริคถ้าทำได้
การกินยาดังกล่าวจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องสม่ำเสมอไปนานหลายปี
ทั้งนี้เพื่อลดระดับยูริคในเลือดลง
ทำให้ตะกอนยูริคที่สะสมอยู่ละลายออกจนหมด
ผู้ป่วยจะสามารถหายจากโรคเก๊าท์ได้
-
ยาลดกรดยูริค มีผลข้างเคียงที่แม้จะพบไม่มากแต่สำคัญ คือทำให้เกิดผื่นแพ้ยารุนแรง
และลอก เป็นอันตรายมาก
การกินยาไม่สม่ำเสมอ
กิน ๆ หยุด ๆ เสี่ยงต่อการแพ้ยามาก ดังนั้นผู้ป่วยที่ไม่สามารถจะกินยาสม่ำเสมอได้
ไม่แนะนำให้กินยา
-
เนื่องจากผู้ป่วยที่เป็นเก๊าท์ ให้การวินิจฉัยโดยลักษณะอาการทางคลินิค ไม่ได้อาศัยการเจาะตรวจยูริคในเลือด
ดังนั้นผู้ที่เจาะเลือดแล้วมียูริคสูง
ไม่ได้บอกว่าเป็นเก๊าท์ ถ้าไม่มีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์มาก่อน ไม่จำเป็นต้องรักษา
มีผู้เข้าใจผิดอยู่มาก โดยให้กินยาลดกรดยูริคเมื่อตรวจพบเพียงแต่ยูริคในเลือดสูง
เพราะยูริคในเลือดสูง ไม่ได้เป็นเก๊าท์ทุกราย
แต่การกินยาจะเสี่ยงต่อการแพ้ยาข้างต้นได้
โดย
นพ.มานพ พิทักษ์พากร อายุรแพทย์