หน้าแรกเว็บบอร์ด หน้าแรกเว็บบอร์ด
   For MD.
   ICU : Interesting Creative Usergroup
   Post reply ( Re: ขยะใต้พรม พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสธ. )
ขอเชิญเพื่อนแพทย์พูดคุย แสดงความคิดเห็นครับ
หัวข้อ:
ใส่ชื่อ:
Email:
Add YABBC tags:
Add Smileys: <more...>
ข้อความ:

Disable Smilies




Topic Summary
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 02:58:04
จนถึงบัดนี้ (ตุลาคม ๒๕๕๓) ยังไม่ได้ข้อสรุปว่า รัฐบาลโดยรัฐมนตรีสาธารณสุขจะเอาอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับกฎหมายนี้ ซึ่งทางผู้ผลักดันคงนึกไม่ถึงว่าจะโดนต่อต้านอย่างรุนแรงจากบุคลากรสาธารณสุ ขเช่นนี้ ความเชื่อมั่น ไม่กังวล ไม่แคร์และไม่เชื่อว่ากลุ่มบุคลากรสาธารณสุขโดยเฉพาะแพทย์จะรวมตัวกันและดำเ นินกิจกรรมทางการเมืองต่อสู้กับกลไกของมูลนิธิที่ฝังรากลึกมานาน คงเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย จนถึงบัดนี้เวลาล่วงผ่านมาไม่น้อยกว่า ๖ เดือนนับแต่มีการเข้ายื่นต่อสภาเพื่อให้ผลักดันเป็นกฎหมาย ทางมูลนิธิคงนึกไม่ถึงว่ากิจกรรมทางการเมืองของมูลนิธิที่ไม่เคยถูกต่อต้านจ ะถูกเหยียบเบรกหัวทิ่มเช่นนี้  แต่เชื่อว่ามูลนิธิเองก็คงไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด เพราะหากแพ้ นั่นหมายถึงเครดิตที่มีอยู่ เงินทุนที่เคยได้รับการสนับสนุนจะมีปํญหา เพราะทำงานไม่แล้วเสร็จตามเป้าหมายและอาจมีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลครั้งใหญ่ เกิดขึ้น  การผลักดันแรกเริ่มด้วยการพยายามหว่านล้อมถึงหลักการและเหตุผลที่ดูสวยหรูต่ อประชาชนที่ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย เปลี่ยนไปเป็นการขอให้แพทย์ที่อยู่ในกลุ่มสังกัดเดียวกับตนมาเป็นประชาสัมพั นธ์ให้เพื่อทำให้ประชาชนไขว้เขว แพทย์เหล่านี้มีทั้งกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากฐานเสียงของมูลนิธิให้เป็น ใหญ่เป็นโต และมีทั้งที่มีอำนาจบารมีมากพอที่จะสนับสนุนการทำงานของมูลนิธิในทางอ้อม และในที่สุดเปลี่ยนไปเป็นการดิสเครดิตฝ่ายที่คัดค้านด้วยเหตุผลที่ดูไร้น้ำห นักและไม่ใช่ข้อเท็จจริง ไม่ว่าเรื่องนี้จะลงเอยเช่นไร ผู้เขียนรู้สึกว่าปัญหาในการทำความเข้าใจในเนื้อหาของกฎหมายนี้เป็นประเด็นห ลักที่ทำให้หลายคนสับสน อีกทั้งการพยายามโฆษณาชวนเชื่อยิ่งทำให้เรื่องนี้ยากต่อการทำความเข้าใจ จึงขอสรุปเนื้อหาข้อเท็จจริงมาเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 02:58:43
หลักการที่สับสนของกฎหมายนี้และผลกระทบที่จะตามมา  
 ผู้ผลักดันกฎหมายนี้ ตั้งconceptไว้ว่า การรักษาพยาบาล มีความหมายเท่ากับ การให้บริการ การขายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมีผู้ให้บริการคือเหล่าบุคลากรทางการแพทย์เป็นพ่อค้าแม่ค้า (ดังนั้น แพทย์ชายก็น่าจะเรียกว่า “ชายขายบริการ”  ส่วนแพทย์หญิงหรือพยาบาลก็น่าจะเรียกว่า “....” ) และอาศัยสถานพยาบาลหรือคลินิกเป็นโรงงานหรือหน้าร้าน (สถานที่ก่อเหตุ) ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดที่ล้อมาจาก พรบ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคที่ตนมีส่วนผลักดันให้บังคับใช้กับการรักษาพยาบ าลแทนที่จะเป็นสินค้าทั่วไป เช่น รถยนต์ บ้านพัก สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น
 ในขณะเดียวกันก็พยายามสร้างคำจำกัดความเกี่ยวกับ “ผลที่อาจเกิดได้จากการรักษาที่เป็นไปตามมาตรฐาน” เช่น ผ่าตัดแล้วติดเชื้อโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือติดเชื้อเพราะผู้ป่วยมีเบาหวานอยู่เดิม ติดเชื้อเพราะแผลสกปรกตั้งแต่เกิดเหตุ ซึ่งทางการแพทย์ไม่เรียกว่า “ความเสียหาย” ให้กลายเป็นความเสียหายตามมาตรา ๕ และ ๖ ของกฎหมายนี้ เพื่อที่จะทำให้ผู้ป่วยสามารถได้รับเงินเยียวยา (หลักล้านบาทขึ้นไป) และพยายามรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจว่า “ความเสียหาย”นี้เป็นอันเดียวกับ ความเสียหายในทางกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้สามารถปรับไปใช้กับคำว่า “ละเมิด” หรือ “Tort” และสามารถนำไปต่อยอดในการฟ้องร้องทางแพ่ง(พ่วงอาญา)ได้อีกชั้นหนึ่ง
 และเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อต้านจากบุคลากรและประชาชน ก็พยายามรณรงค์ในทำนองว่า กฎหมายนี้ไม่พิสูจน์ผิดถูก ไม่เอาโทษใคร จึงตั้งกฎว่า “หากพิสูจน์ไม่ได้ ก็ให้ยกประโยชน์ให้ผู้ร้อง (เพราะผู้ร้องหรือโจทก์คือลูกค้าผู้มารับบริการ และ ลูกค้าย่อมถูกเสมอ!!)  และให้กองทุนนำเงินภาษีอากรมาจ่ายเงินให้กับผู้ร้อง (ม. ๓๐ วรรคสาม) โดยเร็ว”  และเช่นกัน ทางมูลนิธิเองก็รู้ดีว่าการพิสูจน์ทราบดังกล่าวทำได้ยาก และตนไม่มีความรู้เพียงพอ แต่เนื่องจากต้องการเข้ามาควบคุมเงินมหาศาลนี้ และสามารถรับผลประโยชน์ตอบแทนจากงบบริหาร (๑๐ %) ในมาตรา ๒๐ วรรคสอง ซึ่งประมาณการณ์ว่าน่าจะเป็นหลักร้อยล้านหรือพันล้านต่อปีในเวลาไม่นาน จึงอ้างต่อประชาชนว่า “กฎหมายนี้ไม่แพ่งโทษ(?) จึงไม่จำเป็นต้องมีผู้มีความรู้ในวิชาชีพแพทย์เข้ามาเป็นกรรมการให้มากความ (ม. ๗) หากจะมีก็ขอแค่มีพอเป็นพิธีไม่ให้กระดากอาย เช่น ปลัดกระทรวง หรืออธิบดี ซึ่งทางมูลนิธิรู้ดีว่า บุคคลเหล่านี้ไม่มีเวลาว่างมานั่งประชุมเหมือนทีมงานตน”
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 02:59:16
ใครได้ประโยชน์จากกฎหมายนี้
 แม้NGOจะตีฆ้องร้องป่าวว่า ประชาชนและแพทย์ได้ประโยชน์จากกฎหมายนี้ แต่มาลองดูว่าใครกันแน่ที่จะเป็นผู้ได้ประโยชน์ตัวจริง
 (๑) ผู้ร้องที่สามารถทำตนให้เป็นผู้เสียหายตามม. ๕ + ๖ ซึ่งอาจไม่ใช่ผู้เสียหายตัวจริงในมุมมองทางการแพทย์ ดังได้กล่าวแล้ว และกลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดที่จะเข้ามาขอรับเงินจากกองทุ นนี้ โดยกรรมการที่มีคนนอกเข้ามาทำตัวเป็นผู้ทรงความรู้ทางการแพทย์ในมาตรา ๗
 (๒) ผู้ที่สามารถหลุดเข้ามาเป็นบอร์ด กรรมการ อนุกรรมการ ของกองทุน สามารถได้ประโยชน์จากงบบริหาร ๑๐ % (คาดว่าหลักร้อยหรือพันล้านบาท) ตามมาตรา ๒๐ วรรคสอง
 แล้วบุคลากรทางการแพทย์ละจะได้ประโยชน์อะไร เท่าที่อ่านดูรายมาตรา ไม่พบว่ามีมาตราไหนที่ให้ประโยชน์ นอกไปจากคำโฆษณาชวนเชื่อว่า ไม่หาคนผิด ไม่ฟ้องแพทย์ ไม่ลงโทษอาญา ซึ่งจะกล่าวต่อไปว่าเท็จจริงอย่างไร
 ส่วนสถานพยาบาลได้ประโยชน์หรือไม่นั้น ก็ไม่พบว่ามีคุณอะไรต่อสถานพยาบาล แต่กลับมีสิ่งที่ระบุไว้ใน ม. ๒๑ ว่าด้วยการจ่ายเงินสมทบ ดังนี้ “แพทย์หรือสถานพยาบาลใดยิ่งทำงานมาก ก็ยิ่งเสี่ยงมาก ยิ่งต้องจ่ายสมทบมาก ยิ่งมีโอกาสเสื่อมเสียชื่อเสียง”  ดังนั้นหากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ อะไรจะเกิดขึ้นกับระบบสาธารณสุขไทยที่สมเด็จพระราชบิดาทรงวางรากฐานไว้ เพราะเชื่อแน่ว่าวิธีลดผลกระทบดังกล่าวที่ดีที่สุดคือ “คนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย”  
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 02:59:52
ทาสในเรือนเบี้ย!! ย้อนยุคกลับไปสู่ยุคก่อนเลิกทาส
 ทุกวันนี้บุคลากรทำงานเหมือนทาสอยู่แล้ว ผู้ป่วยหรือญาติร้อยพ่อพันแม่ มีทั้งคนดีและไม่ดี มีทั้งมีเหตุผลและเอาแต่ใจ เดินเข้ามาห้องฉุกเฉินตอนตีสอง บอกว่าขอรับยาแก้ปวดเมื่อย หากแพทย์ไม่ให้ก็จะต่อว่าอย่างรุนแรง หาว่ารักษาฟรีเลยดูถูกใช่ไหม จะร้องเรียนแพทย์ต่อสื่อมวลชนว่าใจดำ ไม่มีหัวใจมนุษย์ แต่เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องชิว..ชิว ไปเลย เพราะใน ม. ๔๖ ให้อำนาจของบอร์ดชุดนี้ในการสั่งล้มละลายสถานพยาบาล คลินิก ร้านยา ฯลฯ โดยอ้างว่าไม่ส่งเงินสมทบ หรือ สมทบล่าช้า หรือ ไม่ยอมจ่ายดอกเบี้ยสมานฉันท์ร้อยละ ๒๔ ต่อปี !!(ม. ๒๐) ให้กับกองทุนที่ตนดูแล  ดังนั้นหากกฎหมายค้ำประกันเงินฝากไม่เกินล้านบาทต่อคนมีผลบังคับใช้เมื่อไร แนะนำให้เอาเงินที่เหลือไปฝากไว้ที่กองทุนนี้ ขอดอกเบี้ยสักครึ่งของเบี้ยปรับก็พอแล้ว
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 03:00:37
ผู้ทรงปัญญารู้แจ้งโดยไม่ต้องตั้งสติปัฏฐานสี่
 คณะกรรมการที่จะมาตัดสินผิดถูกในเรื่องการรักษาพยาบาลนั้น เกินกว่าครึ่งหรือเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ ล้วนเป็นบุคคลที่ไม่มีสภาวิชาชีพทางการแพทย์รับรอง คำถามคือคนเหล่านี้มีปัญญารู้แจ้งในเรื่องทางการแพทย์ได้อย่างไร และตั้งแต่เมื่อใด และหากมีทำไม่จึงไม่สวมหัวใจมนุษย์ลงมาช่วยกระทรวงสาธารณสุขในการตรวจรักษาผ ่าตัดผู้ป่วยที่มีจำนวนมากมายทั่วไปประเทศ ในอัตราประชากร ๗๐ล้านคนต่อแพทย์ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ คน และนอกเหนือจากผู้ทรงปัญญารู้แจ้งในม. ๗ แล้ว ยังมีผู้ทรงปัญญารู้แจ้งอีกคือ กรรมการชั่วคราวในมาตรา ๕๐ ที่เต็มไปด้วย NGO จำนวนมาก บุคคลเหล่านี้ล้วนแต่มีอภินิหารและสามารถสั่งการให้สถานพยาบาลปรับปรุงวิธีก ารรักษาตามที่ตนเห็นชอบ มิฉะนั้นจะใช้มาตรการทางการเงินมาเล่นงาน (ม. ๔๒)
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 03:01:45
ระบบศาลเตี้ยที่ถูกต้องตามกฎหมาย
 พรบ.ฉบับ NGO นำเสนอ (ไม่ใช่ฉบับรัฐบาลที่มีDNAแฝงอยู่) ยังดึงเอาพรบ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคมาใช้ ด้วยการร้องปากเปล่า ไม่ต้องวางเงิน และสั่งให้มีการจ่ายสินไหมชดเชยความเสียหายทางจิตใจ ดังนั้นสิ่งที่จะตามมาคือ เราจะเห็นผู้ร้องขอเงิน แสดงความทุกข์อย่างแสนสาหัส สุดจะบรรยาย เพื่อให้ได้สินไหมก้อนนี้ในอัตราที่สูงที่สุด และเช่นกัน เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ก็ยกประโยชน์ให้โจทก์ (ม. ๓๐ วรรคสาม)  นอกจากนี้กฎหมายนี้ยังอนุญาตให้บอร์ดทำตัวเป็นศาลโดยเอา ปพพ. และ ปวพ. มาปรับใช้ในการจ่ายสินไหม แทนการใช้ดุลพินิจโดยศาลเอง (ม. ๓๐)  ดังนั้นจึงเป็นที่น่าหวั่นเกรงว่าในอนาคต เราจะขาดแคลนผู้พิพากษาไปอีก เพราะบอร์ดชุดนี้มีอำนาจทั้งสั่งปรับ สั่งล้มละลาย สั่งจำคุก และหยิบเอา ปพพ.มาใช้โดยไม่ต้องจบนิติศาสตร์ เนติบัณฑิต และไม่ต้องสอบเป็นผู้พิพากษา
 ของแถมจากกฎหมายนี้คือ อนุญาตให้เอาคำสั่งทางปกครองของศาลปกครองมาใช้บังคับทางแพ่งโดยไม่ต้องร้องต ่อศาลแพ่ง เพื่อให้สถานพยาบาลล้มละลายได้ รวมทั้งการยึดทรัพย์ ปิดสถานพยาบาล (ม. ๒๑)  
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 03:03:07
การพัฒนาระบบความปลอดภัยฉบับ “สมพงษ์ เลือดทหาร”
 โฆษณาชวนเชื่ออีกอย่างของNGOที่พูดเป็นmotto ประจำไปแล้วคือ “กฎหมายนี้จะช่วยเพิ่มระบบความปลอดภัยให้ผู้ป่วย” ใครฟังก็ต้องชอบใจ เพราะที่ผ่านมาNGOรณรงค์ให้ประชาชนไม่ไว้วางใจบุคลากรทางการแพทย์และสภาวิชา ชีพได้สำเร็จแล้ว (คล้ายกรณีม็อบการเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการเคลื่อนไหว) เราลองมาดูระบบความปลอดภัยที่NGOเสนอให้กับประชาชนว่ามีอะไรบ้าง  
 (๑) การตัดสินผิดถูกในเรื่องทางการแพทย์ตามม. ๕ และ ๖ ทำโดยกรรมการในมาตรา ๗ ที่เต็มไปด้วยคนที่ไม่ต้องจบสายวิชาชีพทางการแพทย์ และตัดสินความถูกต้องทางการแพทย์ด้วยวิธียกมือเสียงข้างมาก (ม. ๑๑)  (ดังนั้นเมื่อกฎหมายนี้ผ่านสภา น่าจะได้เห็นหลักสูตร “การเตรียมตัวเป็นNGO” เชื่อแน่ว่าจบมาแล้วจะมีงานทำ รายได้ดี มีอำนาจเหนือปลัด เหนือนักการเมือง แต่ไม่ต้องเลือกตั้ง ไม่ต้องถูกตรวจสอบ มีอาชีพรองรับมากมาย เช่น บอร์ดอัยการ บอร์ดผู้พิพากษา บอร์ดบัญชี บอร์ดตำรวจ บอร์ดวิศวกร บอร์ดสถาปนิก สารพัดบอร์ดวิชาชีพ หวังว่าบอร์ดเหล่านี้คงสามารถพัฒนาระบบความถูกต้องปลอดภัยให้กับวิชาชีพเหล่ านี้ได้ดียิ่งขึ้น และเมื่อกม.นี้ผ่าน แพทยสภา ทันตแพทยสภา สภาการพยาบาล สภาวิชาชีพทางการแพทย์ สภาวิชาชีพอัยการ ตำรวจ ผู้พิพากษา เหล่านี้คงต้องถูกยุบในไม่ช้า เพราะไม่มีงานจะทำ
 (๒) บอร์ดที่มียีนNGOเป็นยีนเด่นสามารถออกคำสั่งให้สถานพยาบาลดำเนินกิจการในทาง ที่ตนเห็นว่าถูกต้องชอบพอ โดยอาศัยม. ๔๒ที่มีอำนาจเงินมาใช้บังคับ เหมือนกับที่สปสช.กระทำกับสถานพยาบาลและบุคลากรทั่วประเทศในทุกวันนี้ ดังนั้นเมื่อกม.นี้ผ่าน สำนักงานประกอบโรคศิลป์ กระทรวงสาธารณสุข สารพัดองค์กรของรัฐที่ควบคุมมาตรฐานสถานพยาบาล คงตกงานเป็นแถว
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 03:04:47
สร้างหลักประกันในการเลี้ยงดูประชาชนตลอดชีพ
 นอกเหนือการรักษาฟรี ไม่มีเกี่ยงแล้ว ยังมีกลไกการให้เงินเลี้ยงดู (แถมการส่งเสริมการฟ้องร้อง) ดังนี้
(๑) เงินช่วยเหลือเบื้องต้น แบบด่วนได้ภายในไม่เกิน ๖๐ วัน ตามม. ๒๗ และเมื่อได้แล้ว ทุกคนต้องได้เงินก้อนต่อไปอีกสี่ก้อน
(๒) เงินชดเชยแบบทันใจ ตามม. ๓๐ ภายใน ๙๐ วัน (เฉพาะสองก้อนนี้ ไม่ต่ำกว่าหลักล้านบาท) หากได้ไม่มากพอตามที่ต้องการ ก็จะฟ้องแพ่งและอาญา แต่ไม่คืนเงินก้อนแรก แต่หากฟ้องแล้วตนแพ้ก็สามารถเปลี่ยนใจมารับเงินก้อนนี้ใหม่ได้อีก ตามม. ๓๔
(๓) เงินสะสมปันผลตามม. ๓๗ แบบไม่มีอายุความแน่นอน (นับแต่รู้ความเสียหาย) รับได้หลายครั้งจนกว่าจะตาย หากไม่ให้ก็จะฟ้องทั้งแพ่งและอาญา แต่ไม่คืนเงินสองก้อนแรก
(๔) เงินค่าทำสัญญาประนีประนอมใหม่หลังฉีกสัญญาเดิมไปแล้วตามม. ๓๘ หากให้ก็จะทำสัญญาประนีประนอมฉบับใหม่ (ม. ๓๙) หากไม่ให้ก็จะฟ้องทั้งแพ่งและอาญา แต่ไม่คืนเงินที่ได้ไปแล้ว
(๕) เงินค่าไถ่อิสรภาพ (Blackmail) ตามม. ๔๕ มิฉะนั้นจะร้องต่อศาลว่า “ผู้มีพระคุณที่ลงมือรักษาตนเองหรือญาติ” ไม่ยอมสำนึกผิด(ไหนว่าจะไม่หาคนผิด?)  ไม่ยอมเยียวยา ห้ามศาลลดโทษอาญา
 กฎหมายประชานิยมฉบับไหน ๆ ในโลกก็ไม่ดีเท่ากฎหมายที่ NGO สาขาประเทศไทยเสนอ เชื่อแน่ว่า NGO เหล่านี้คงมีตำแหน่งใหญ่โตในเวทีNGOโลกในไม่ช้า และนี่อาจจะเป็นกลไกการพัฒนาระบบความปลอดภัยแฝงที่พยายามนำเสนอ คือ “การให้เงินตลอดชีพ” เพื่อให้มีความปลอดภัยทางการเงินตลอดชีวิต รับรองว่า “คงไม่มีผู้ป่วยรายไหน ยอมพิการ ยอมตาย (แต่ยอมเจ็บนี่ไม่แน่)” เพื่อให้ได้เงินก้อนนี้  แต่ไม่รับรองว่าจะมีกรณี “ค้าประโยชน์จากความเจ็บ ความพิการ ความตาย ของญาติตนเอง” โดยผู้อนุบาล สามีภรรยาที่เลิกกันไปแล้ว หรือทายาทที่สาบสูญไปนานตามม. ๒๕ วรรคสอง
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 03:05:14
กฎหมายที่อายุความทางแพ่งยาวนานกว่าคดีอาญา ยิ่งกว่าคดีคอรัปชั่นทุจริต หรือ ฆ่าคนตายโดยเจตนา
 แทบทุกมาตราที่มีบัญญัติเรื่องอายุความ จะใช้คำว่า ทันทีที่รู้สึกตัว “รู้ถึงความเสียหาย”แทนคำว่า “นับแต่เกิดการกระทำ” หรือหนักไปกว่านั้น ในฉบับ NGO แท้ ๆ ยังระบุให้อายุความสะดุดหยุดลง (ม. ๓๘ วรรคสอง) แทนที่จะเป็น อายุความสะดุดหยุดอยู่ (ม. ๒๖) ซึ่งอันแรกจะเป็นการนับหนึ่งใหม่ อันหลังเป็นการนับต่อจากของเดิม นอกจากนี้ยังมีอายุความหยุดแล้วหยุดอีกตามม. ๔๐  
 หากต้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามอายุความเจ็ดชั่วตระกูลนี้    สถานพยาบาล คลินิก ร้ายขายยา ต้องเก็บเอกสารทุกอย่างไว้ตลอดชีพของลูกค้า (ผู้รับบริการ) มิฉะนั้นอาจโดนปรับดอกเบี้ย ๒๔ % หรือหากเจ้าของกิจการ(ผู้อำนวยการ รมต. ปลัด ผู้บริหาร) หรือลูกจ้าง (บุคลากร)ละสังขารไปแล้ว อาจมีการตามไปสอบถามในสุขาวดี ก็เป็นได้ หรือหากไม่ได้เพราะอภิญญายังไม่แก่กล้า ก็ยกประโยชน์ให้ผู้ร้องตามมาตรา ๓๐
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 03:06:22
บอกว่าไม่แพ่งโทษใคร แต่บัญญัติเรื่องการเอาผิดเต็มไปหมด
 มุมมองของผู้ผลักดันกม.นี้ มองว่า บุคลากรทางการแพทย์ ล้วนแต่ผู้ต้องสงสัย ผู้ก่อเหตุร้าย ที่กระทำขึ้นภายในสถานพยาบาล โดยมีสภาวิชาชีพคอยสนับสนุน ดังนั้นต้องนำตัวมาลงโทษ ดังนี้  
(๑) ม. ๒๕-นับแต่รู้ตัวผู้กระทำผิด (ผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย)
(๒) ม. ๓๗-นับแต่รู้ตัวผู้กระทำผิด
(๓) ม. ๔๕-ให้สำนึกผิด(ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าตนผิดหรือไม่) ต่อผู้ร้องขอเงิน หาไม่แล้วจะไม่ลดโทษอาญา  
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 03:07:26
เงินของข้าใครอย่าแตะ-อ้อยเข้าปากช้าง
 เงินนี้มีที่มาที่สำคัญตามม. ๒๒ คือ เงินภาษีอากรของผู้เสียภาษี (ไม่เกิน ๑๐ % ของประชากร) กับเงินที่สถานพยาบาลเอกชนสมทบ (ความเป็นจริงคือเงินของประชาชนที่สถานพยาบาลบวกเพิ่มในค่ารักษา) ส่วนเงินบริจาคคงไม่มีใครใจดีให้ นอกนั้นก็อาจมีดอกเบี้ยมหาโหด (๒๔%ต่อปี) ที่รีดนาทาเร้นมาจากสถานพยาบาลอีกเช่นกัน (ซึ่งก็คือเงินภาษีและเงินผู้ป่วยเอง)  นอกเหนือจะไปจ่ายเป็นค่าตึก ค่ารถประจำตำแหน่ง ค่าเบี้ยประชุมหลักหมื่นต่อสองสามชั่วโมง (บอร์ด สปสช.) ค่าน้ำมันรถ ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเครื่องบินไปดูงาน ค่าสนับสนุนการวิจัยของเครือข่ายตนเอง ทุนแก่เครือข่ายเพื่อจ้างทำวิจัยหรือร่างกฎหมายการแพทย์ ค่าสนับสนุนสื่อมวลชนในสังกัด แล้ว ห้ามใครมาแตะต้อง แม้แต่กระทรวงการคลังที่เป็นคนส่งเงินนี้มาสมทบ เพราะม. ๒๒ วรรคสอง บอกว่าห้ามเอาเงินคืน ให้แล้วให้เลย และม. ๒๓ อนุญาตให้นำไปหาประโยชน์อื่นใดได้เพิ่มเติมภายใต้ความเห็นชอบของกท.การคลัง (ซึ่งไม่มีเวลามากพอที่จะมาตรวจสอบ) เช่น ซื้อหุ้นแบบกบข. อุดหนุนสินค้าบริการของเครือข่ายพรรคพวกตนเอง
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 03:08:58
บทสรุป – พรบ. เงิน เงิน เงิน
 อ่านแล้วอ่านอีก ก็ไม่เข้าใจว่า พรบ.นี้จะบรรลุหลักการและเหตุผลที่โฆษณาสวยหรูได้อย่างไร หากจะมีใครได้ประโยชน์ชัด ๆ ก็คงไม่พ้น ผู้ผลักดันที่ได้หลายเด้ง เริ่มจากการได้เป็นบอร์ด กรรมการ อนุกรรมการ มีตำแหน่งมีหน้ามีตา แถมได้เงินมากกว่าบุคลากรที่หลังขดหลังแข็ง ทำงานแล้วโดนด่า เมื่อบอร์ดอนุมัติเงินให้ผู้ร้อง เขาและเธอเหล่านั้นก็จะกลายเป็นวีรสตรีวีรบุรุษในสายตาผู้ร้องขอ ซึ่งจะตามมาด้วยรางวัลบุคคลตัวอย่าง และแถมท้ายด้วยการเดินเข้าสภาผู้ทรงเกียรติด้วยการอ้างอิงผลงานอภิมหาประชาน ิยม แบบที่นักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลต้องมาขอเป็นลูกศิษย์เรียนวิชา ส่วนประชาชนแน่นอนว่าได้เงินก้อนใหญ่ เพียงแค่เดินเข้าสถานพยาบาลแล้วตั้งข้อสงสัยเรื่องการรักษาพยาบาลไว้ก่อน (จับผิดการทำงาน) โดยไม่ต้องไปสนใจปัญหาข้อจำกัด ความขาดแคลนของระบบ  กระทรวงสาธารณสุขน่าจะได้รางวัลดีเด่น “รักษาฟรี งบประมาณจำกัด มาตรฐานสูง ไร้ปัญหา  แต่หากเสียหายก็เลี้ยงดูตลอดชีพ โดยไม่ต้องพิสูจน์ผิดถูก” เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
 
หมายเหตุ อ่านประกอบกับร่างพรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ฉบับ ครม.เสนอ
       NGO หมายถึง NGO สายสาธารณสุขบางคน
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 03:38:57
download full version
 
http://www.mediafire.com/?oelgwonm150m7qc
จากคุณ: anantom โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 06:16:44
ขอทำนายว่า "เวชศาสตร์ป้องกัน(ตัวเอง)" จะเป็นสาขาที่หมอต้องเรียนทุกคน
 
 
แพทยสภาต้องกำหนดระเบียบใหม่ ผู้ใดจะใช้คำนำหน้าว่า"นายแพทย์" แพทย์หญิง" และได้รับอนุญาตให้ใช้ใบประกอบโรคศิลป ต้องได้รับปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตและทำการตรวจผู้ป่วยปีละไม่น้อยกว่า 3 เดือน หรือไม่น้อยกว่า 480 ชั่วโมงต่อปี  
 
ผู้บริหารกระทรวงและNGO ที่อ้างเป็นหมอจะได้ลงมาเสี่ยงตรวจผป บ้างครับ
จากคุณ: Eagle:ให้มันได้อย่างนี้เซ๊ะT_T โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 07:09:00
^
^
^
^
 Cheesy Cheesy
จากคุณ: Mr.LOVE  - ผอ.รพช.&GP โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 07:46:05
ถ้ายังตรวจ  ไม่ว่าจะละเอียดยังไง
 
โอกาสโดนร้องเรียนก็มี   Cool
จากคุณ: yim2009 @ ต้านพ.ร.บ. โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 13:52:22
Cool
 
จากคุณ: doctor know ไม่เอาพรบ โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 14:15:07
Angry Undecided Cry
จากคุณ: doc.n.cat โพสเมื่อวันที่: 10/08/10 เวลา 21:08:50
ณ เวลานี้ ตาชั่งเอียง
 
แพทย์เลยเป็น แพะรับบาป เสมอ
จากคุณ: Doctors never smile โพสเมื่อวันที่: 10/11/10 เวลา 16:10:20
on 10/08/10 เวลา 06:16:44, anantom wrote:
ขอทำนายว่า "เวชศาสตร์ป้องกัน(ตัวเอง)" จะเป็นสาขาที่หมอต้องเรียนทุกคน
 
 
แพทยสภาต้องกำหนดระเบียบใหม่ ผู้ใดจะใช้คำนำหน้าว่า"นายแพทย์" แพทย์หญิง" และได้รับอนุญาตให้ใช้ใบประกอบโรคศิลป ต้องได้รับปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตและทำการตรวจผู้ป่วยปีละไม่น้อยกว่า 3 เดือน หรือไม่น้อยกว่า 480 ชั่วโมงต่อปี  
 
ผู้บริหารกระทรวงและNGO ที่อ้างเป็นหมอจะได้ลงมาเสี่ยงตรวจผป บ้างครับ

 
  Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley
 agree.......................................................
จากคุณ: dogdoc โพสเมื่อวันที่: 10/20/10 เวลา 11:36:00
Grinขอบคุณครับผม Grin
จากคุณ: wit_cana โพสเมื่อวันที่: 10/31/10 เวลา 11:04:26
Cry
จากคุณ: wit_cana โพสเมื่อวันที่: 10/31/10 เวลา 11:10:40
ตามมาเพราะ  พรบ  เจ้าปัญหา   ไม่ใช่หมอแต่ขอแสดงความคิดเห็นค่ะ   ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ พรบ.ฉบับนี้  ถ้าขืนใช้  อีกหน่อย  คนไข้ก้อไม่กล้าไปหาหมอเพราะกลัวการรักษา   หมอก้อกลัวที่จะรักษา  ทำไมไม่ทำประชาพิจารณ์กับประชาชนในทุกกลุ่มให้กว้างขวางกว่านี้   อย่าใช้เหตุผลของคนบางกลุ่ม หรือเฉพาะกลุ่ม แล้วบอกว่าเพื่อประชาชนเลย
จากคุณ: wit_cana โพสเมื่อวันที่: 10/31/10 เวลา 11:12:47
ตามมาเพราะ  พรบ  เจ้าปัญหา   ไม่ใช่หมอแต่ขอแสดงความคิดเห็นค่ะ   ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ พรบ.ฉบับนี้  ถ้าขืนใช้  อีกหน่อย  คนไข้ก้อไม่กล้าไปหาหมอเพราะกลัวการรักษา   หมอก้อกลัวที่จะรักษา  ทำไมไม่ทำประชาพิจารณ์กับประชาชนในทุกกลุ่มให้กว้างขวางกว่านี้   อย่าใช้เหตุผลของคนบางกลุ่ม หรือเฉพาะกลุ่ม แล้วบอกว่าเพื่อประชาชนเลย
จากคุณ: wit_cana โพสเมื่อวันที่: 10/31/10 เวลา 11:12:58
ตามมาเพราะ  พรบ  เจ้าปัญหา   ไม่ใช่หมอแต่ขอแสดงความคิดเห็นค่ะ   ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ พรบ.ฉบับนี้  ถ้าขืนใช้  อีกหน่อย  คนไข้ก้อไม่กล้าไปหาหมอเพราะกลัวการรักษา   หมอก้อกลัวที่จะรักษา  ทำไมไม่ทำประชาพิจารณ์กับประชาชนในทุกกลุ่มให้กว้างขวางกว่านี้   อย่าใช้เหตุผลของคนบางกลุ่ม หรือเฉพาะกลุ่ม แล้วบอกว่าเพื่อประชาชนเลย
จากคุณ: wit_cana โพสเมื่อวันที่: 10/31/10 เวลา 11:19:53
เอ่อ  ขอโทษด้วยค่ะ  ดับเบิ้ลโพสไปหน่อย
 
ข้ออ้างที่บอกว่าเพื่อคนไข้ ซึ่งคือประชาชน  แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นรู้เรื่องด้วย  การที่ประเทศไทยเรา ไม่สามารถพัฒนาได้เท่าเทียมปรเทศที่เจริญแล้ว  มันยังพอรับได้  แต่ถ้าจะผลักดันให้ระเบียบหรือกฎหมาย ที่ไม่สมควร   รังแต่จะทำให้จิตใจของคนไทยด้อยพัฒนาลงไป    อยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยไม่ดีกว่าหรือ
จากคุณ: p2tc โพสเมื่อวันที่: 11/04/10 เวลา 09:43:30
เห็นใจทั้งด้านผู้ป่วย และแพทย์   สิ่งที่ต้องการวันนี้น่าจะเป็นการยกระดับความรู้ในการดูแลตัวเองของผู้ป่วย   และ doctor-patient relationship ที่ดีขึ้น
 
การพยายามหาคนกลาง (ที่ไม่มีทางกลางได้จริงๆหรอก นอกจากศาล?) คงไม่ช่วยพวกเรามาก  ช่วยเหลือตนเองก่อนด้วยความรอบคอบ  กล้าทำ กล้ารับ  เขียนรายละเอียดให้ครบถ้วนที่สุดก็พอช่วยได้ส่วนหนึ่ง  ในตอนนี้
 
แต่ถ้า พรบ. ดันผ่านจริง ผมว่า
1. เลิกทำ
2. ตรวจแพงๆ เน้นคนไข้เยอะๆไม่ต้องละเอียดแล้ว เอาเงินไปทำประกัน เอาเวลาไปศาล
3. หาทางประจบเลียขา NGO ซักคน เพื่อความปลอดภัย
4. รีบสอบ u smile ไปรักษาคนประเทศอื่น
 
สู้ๆทุกคนครับ
จากคุณ: Guten_Tag โพสเมื่อวันที่: 11/16/10 เวลา 16:55:12
ประเทศไทย  โดยทั่วไประบบเรายังไม่ดี ผู้บริหารไม่ดี มีคอรัปชั่นสูง พวกเราไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง ตอนนี้ผมเรียนต่อต่างประเทศ  ผมเข้าใจแล้ว ว่า ทำไมการแพทย์เราเป็นอย่างนี้
1. ต่างประเทศเสียค่าประกันสุขภาพแพงมาก เดือนหนึ่งเป็นหมื่นบาทต่อคน (ประกันพื้นฐาน)เขาเลยมีเงินมากพอที่จะให้บริการประชาชน อย่างเกินมาตรฐาน ไม่ต้องมาพูด indication อะไรมากมาย อย่าง เคสอุบัติเหตุ ส่งไปเลยครับ whole body ct. ผ่าตัดได้เลย ไม่ต้องรอ จนคนไข้แย่แล้วแบบบ้านเรา
 
2. แพทย์บ้านเราพอแก่ตัว เก่งแล้ว กลับทิ้งงานของตัวเองไปทำงานบริหาร ซึ่งต่างประเทศไม่ใช่ครับ ยิ่งแก่ยิ่งต้องทำงานครับ ยิ่งมีคุณค่าในงานที่ทำ งานบริหารต้องพวกจบ mba ครับ
 
3. จากข้อสอง เพราะฉะนั้นภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาในต่างประเทศจึงค่อนข้างต่ำ เพราะมีแพทย์อาวุโสคอยดูแล ไม่ต้องติดประชุมเหมือนบ้านเรา Undecided Wink
จากคุณ: Constantine โพสเมื่อวันที่: 02/28/11 เวลา 15:02:48
on 10/08/10 เวลา 06:16:44, anantom wrote:
ขอทำนายว่า "เวชศาสตร์ป้องกัน(ตัวเอง)" จะเป็นสาขาที่หมอต้องเรียนทุกคน
 
 
แพทยสภาต้องกำหนดระเบียบใหม่ ผู้ใดจะใช้คำนำหน้าว่า"นายแพทย์" แพทย์หญิง" และได้รับอนุญาตให้ใช้ใบประกอบโรคศิลป ต้องได้รับปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตและทำการตรวจผู้ป่วยปีละไม่น้อยกว่า 3 เดือน หรือไม่น้อยกว่า 480 ชั่วโมงต่อปี  
 
ผู้บริหารกระทรวงและNGO ที่อ้างเป็นหมอจะได้ลงมาเสี่ยงตรวจผป บ้างครับ

+ให้ 1000 ครับ Grin


  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by