หน้าแรกเว็บบอร์ด หน้าแรกเว็บบอร์ด
   For MD.
   ICU : Interesting Creative Usergroup
   Post reply ( Re: ฆาตกรรมหมู่ในโรงพยาบาล )
ขอเชิญเพื่อนแพทย์พูดคุย แสดงความคิดเห็นครับ
หัวข้อ:
ใส่ชื่อ:
Email:
Add YABBC tags:
Add Smileys: <more...>
ข้อความ:

Disable Smilies




Topic Summary
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 15:38:41

http://www.mediafire.com/?h9adt7mltcnl08k
 
พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขที่รัฐบาลภายใต้การนำของพรร คประชาธิปัตย์กำลังผลักดันตามคำขอร้องแกมบังคับจากกลุ่มคนและแพทย์บางส่วน(ท ี่ไม่ได้รักษาผู้ป่วยแล้ว แต่คอยนั่งชี้นิ้วสั่งงานลูกน้องให้ทำงานแทนตน รับแต่ชอบ ไม่รับผิด) พรบ.นี้มีการชี้นำจากผู้ผลักดันว่า “ไม่หาคนผิด” (แต่ในเนื้อหามีแต่คำว่า ฟ้องร้องแพทย์ อายุความ รู้ตัวผู้กระทำผิด)  “ไม่มีความจำเป็นที่ผู้ป่วยต้องฟ้องร้อง” เพราะมีเงินหลายพันล้านรอให้ผู้บริโภค(กฎหมายนี้อิงจากกฎหมายวิธีพิจารณาคดี ผู้บริโภคที่มองผู้ป่วยว่าเป็นผู้บริโภคการรักษาพยาบาล)มายื่นคำร้องด้วยปาก เปล่าแล้วรับเงินแบบง่าย ๆ (quick cash)  “ไม่ต้องสนว่าจะผิดจะถูก” ขอแต่ชงเงื่อนไขว่าเกิดความเสียหายหลังเดินเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลหรือ คลินิกเล็ก ๆ ก็ตาม  มีการประโคมข่าวความดีงามของกฎหมายนี้อย่างเลิศหรู จัดทำเป็นwebpage อีกทั้งยังทำการตลาดแบบsocial media ด้วยการอาศัยfacebook โฆษณาประชาสัมพันธ์โดยการตีความข้อมูลงานวิจัยแบบบิดเบือน  ที่ร้ายแรงมากคือการกล่าวหาว่า “มีการฆ่าคนตายในโรงพยาบาลของประเทศไทยถึงปีละไม่ต่ำกว่า 65,000 คน” โดยอ้างว่า “ทุกความตายที่เกิดในโรงพยาบาล จะมีถึง 1 ใน 6 ที่เกิดจากความผิดพลาดทางการแพทย์” แม้ผู้จัดsocial mediaดังกล่าวจะไม่ได้อ้างว่าใครเป็นฆาตกร แต่ในทางปฏิบัติ เป็นที่ทราบกันดีว่า “แพทย์”และ“พยาบาล” เป็นหลักในการรักษาพยาบาลผู้ป่วย ดังนั้นตัวเลขดังกล่าวหากพูดให้ชัดก็คือการกล่าวหาว่า “ผู้ป่วยที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลเกือบ 20%เกิดขึ้นเพราะน้ำมือแพทย์พยาบาล”  แถมยังโฆษณาใส่ร้ายแบบทวงบุญคุณว่า “ยังไม่นับรวมความพิการ” ซึ่งถ้าหากคิดแบบบัญญัติไตรยางค์ง่าย ๆ ที่อ้างมาก็น่าจะได้สถิติทำนองว่า ทุกความพิการ 2 คน จะมี 1 คนที่แพทย์พยาบาลเป็นผู้กระทำ!!    
 โฆษณานี้อ้างเอาผลวิจัยของแพทย์ท่านหนึ่งที่จัดทำและนำเสนอในนามกระทรวงสาธา รณสุขไทยเพื่อรายงานต่อ องค์การอนามัยโลกที่อินเดีย แถมยังอ้างว่ากระทรวงมีเจตนาปกปิดไม่เปิดเผยให้คนไทยรับรู้ แต่มูลนิธินำมาเปิดให้แบบwikileak  ความเป็นจริงแล้วงานวิจัยดังกล่าวอาศัยการการศึกษาเวชระเบียนย้อนหลัง (retrospective review) ของโรงพยาบาลใหญ่เพียง 2 แห่ง แล้วได้ข้อสรุปว่า  10% ของผู้ป่วยในเกิด “ภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์” และ 10%เสียชีวิต โดยครึ่งหนึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ป้องกันได้ (preventable)  จะเป็นเพราะขาดความรู้เรื่องระเบียบวิธีการทำวิจัย(Methodolgy) หรือเป็นเพราะเจตนาบิดเบือนเพื่อนำมาเป็นเหตุผลักดันกฎหมายก็ไม่ทราบได้ ทำให้ผู้จัดทำfacebookดังกล่าวสรุปเอาแบบบัญญัติไตรยางค์ชั้นประถมว่า โรงพยาบาล 2 แห่งดังกล่าวสามารถเป็นตัวแทนโรงพยาบาลทั้งประเทศ แถมยังไม่ทราบรายละเอียดของทั้งสองโรงพยาบาลว่าชื่ออะไร มาตรฐานเป็นเช่นไร (เป็นคำถามที่ผู้ทำวิจัย “ต้อง” ออกมาให้คำตอบ) ว่าไปแล้วงานวิจัยนี้มีข้อมูลซ่อนอยู่หลายประเด็น[/url][url][url][/url]
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 15:39:09
ประเด็นแรก แพทย์พยาบาลทั่วประเทศทราบดีว่าการลงบันทึกในเวชระเบียนของโรงพยาบาล(โดยเฉพ าะรพ.รัฐนั้น)ขาดความสมบูรณ์และความน่าเชื่อถือมากเพราะภาระงานของบุคลากรทำ ให้ไม่สามารถสรุปรายละเอียดให้ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดได้ ผนวกกับการที่สปสช.บังคับจ่ายเงินตามDRG ทำให้แพทย์มีแรงกดดันจากฝ่ายบริหารที่จะต้องเขียนเวชระเบียนในลักษณะที่ทำให ้รพ.เบิกเงินได้มากที่สุดไว้ก่อน ซึ่งปัญหานี้เป็นเหตุให้ประเทศไทยขาดงานวิจัยที่มีคุณภาพโดยเฉพาะงานวิจัยที ่ต้องการความแม่นยำของข้อมูลและอาศัยข้อมูลจากหลายแห่ง(metaanalysis) มาประกอบ ดังนั้นการรายงานงานวิจัยลักษณะนี้ของประเทศไทยจึงทำได้ลำบากโดยเฉพาะเมื่อต ้องไปนำเสนอในต่างประเทศ ซึ่งจะถูกตั้งคำถาม(ในใจ)โดยผู้ฟังที่มีความรู้และเป็นนักวิชาการที่ไม่ยอมใ ห้ถูกหลอกง่าย ๆ ว่าเชื่อถือได้แค่ไหน
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 15:39:52
ประเด็นที่สอง หากมองว่างานวิจัยนี้น่าเชื่อถือ แต่ตัวแทน(n)มีเพียงแค่ 2 รพ.ในจำนวนหลายพันโรงพยาบาลทั่วประเทศ  หากคิดสัดส่วนตัวเลข 2/1000 เท่ากับ 0.2%  ดังนั้นงานวิจัยนี้มีค่าตัวแทน(n)น้อยกว่า 0.2% อยู่มาก  ซึ่งนักสถิติทราบดีว่า ค่า n นี้น้อยมากจนไม่สามารถเป็นตัวแทนในกลุ่มใหญ่ทั้งประเทศได้เลย ยิ่งจะนำไปอ้างอิงในที่ประชุมระดับโลกยิ่งไปกันใหญ่  มีแพทย์อาวุโสที่ทำงานในต่างประเทศมาค่อนชีวิต ให้ข้อมูลว่า สหรัฐอเมริกาก็มีการศึกษาลักษณะนี้เช่นกันแต่เป็นการศึกษาที่ยากลำบากมากเพร าะต้องให้ได้ค่าตัวแทนที่สูงมาก และต้องใช้เวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปีติดต่อกัน จึงจะพอได้สถิติที่น่าเชื่อถือสำหรับอ้างอิงและนำไปใช้พัฒนาได้ ดังนั้นตัวแทนที่ได้จากเพียงแค่ 2 รพ.กับการนั่งอ่านเวชระเบียนย้อนหลังที่ขาดน้ำหนักในเรื่องของความน่าเชื่อถ ือในข้อมูลของตัวมันเอง จะหมายความว่ากระไร
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 15:40:11
ประเด็นที่สาม  ผู้วิจัยนำเสนอ ศัพท์เฉพาะทางการแพทย์ ว่า “ภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์” หรือเรียกในตำราแพทย์ว่า “Adverse event”  ซึ่งไม่ได้หมายถึงแต่ความผิดพลาดของการรักษาแต่อย่างใด คำนี้ยังหมายรวมถึงผลการรักษาที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง ซึ่งไม่ใช่ความผิดพลาด หรือ ความเสียหาย แต่อย่างใด เช่น กินยาแล้วแพ้ยามีผื่น  ผ่าตัดท้องแล้วเกิดพังผืด ดังนั้นการที่ผู้จัดทำประชาสัมพันธ์ดังกล่าวนำคำนี้มากล่าวอ้างว่าเป็นโรคแพ ทย์ทำ (iatrogenic) หรือ แพทย์ก่อความเสียหาย จึงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ในทางการแพทย์ เป็นการแสดงเจตนาที่วาระซ่อนเร้นในการผลักดันกม.ทุกรูปวิถีทางโดยไม่คำนึงถึ งความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 15:40:28
ประเด็นสุดท้าย คือ คำว่า “ภาวะแทรกซ้อนที่ป้องกันได้” หรือ Preventable adverse event นั้นไม่ได้หมายความแต่ว่าความเสียหายที่ป้องกันได้ แต่ยังหมายรวมถึงผลข้างเคียง หรือ ผลกระทบที่อาจหลีกเลี่ยงได้แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นความผิดพลาดหรือการกระทำชั่ วช้าของบุคลากร(malpractice) เช่น การที่ผู้ป่วยต้องนอนในห้องไอซียูแล้วเกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจ  การที่ผู้ป่วยจะไม่เป็นตับแข็งหากหยุดเหล้าตามที่สั่ง การใส่หมวกกันน็อคทุกครั้งที่ขับมอเตอร์ไซด์ การที่หากมีแพทย์พอผู้ป่วยก็จะได้รับการผ่าตัดที่ดีกว่าและเร็วกว่า การนอนบนเตียงนาน ๆ แล้วเกิดแผลกดทับ ซึ่ง(อาจ)ป้องกันได้จริงแต่ต้องหมายถึงการที่มีทรัพยากรในการรักษารวมทั้งบุ คลากรมากพอที่จะป้องกันได้ (ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขประเทศไทยจัดให้ไม่ได้ แต่ไม่กล้าพอที่จะพูดในที่สาธารณะซึ่งน่าจะเรียกว่า malpracticeระดับนโยบาย แต่ปล่อยให้บุคลากรเป็นแพะรับบาป)  การที่ผู้ผลักดันสร้างภาพและเหมาเอาว่าภาวะนี้เป็นความเสียหายที่เกิดจากน้ำ มือชั่วช้าของบุคลากรการแพทย์แต่อย่างเดียวจึงเป็นเรื่องที่เกินจะรับได้เช่ นกัน
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 15:40:40
จะว่าไปแล้วผลงานวิจัยนี้ก็บอกอะไรบางอย่างที่ผู้จัดทำfacebookดังกล่าวเจตน าละเลยไม่พูดถึง คือ “หากมี 10%ที่ตายจากภาวะแทรกซ้อนที่ป้องกันได้ แสดงว่ามีอีกถึง 90%ที่ตายเพราะสุดวิสัยสุดขีดความสามารถในการรักษาพยาบาล”  ดังนั้นทำไมถึงต้องพยายามผลักดันให้มีกฎหมายจ่ายเงินมาก ๆ ง่าย ๆ (Quick cash) จ่ายแบบไม่ต้องพิสูจน์ผิดถูกอะไร เพื่อรองรับ10%นี้ (ซึ่งตัวเลขความเป็นจริงน่าจะน้อยกว่านี้มากนัก)  นึกเหตุผลไม่ออกนอกจากว่าผู้ผลักดันต้องการให้มีกองทุนขนาดใหญ่ไว้ภายใต้การ ควบคุมของกลุ่มตน (แต่ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องนี้มาตลอดในที่สาธารณะ)
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 15:40:53
เราจะเห็นว่าผู้ผลักดันพยายามใช้คำว่า “ความเสียหาย” อะไรก็เสียหาย มองแบบ inside out หรือที่เรียกว่า “จับผิด” อยู่ตลอด พยายามอ้างอิงงานวิจัยแบบ “จับแพะชนแกะ”  ผลอันไม่พึงประสงค์ตามหลังการให้การรักษาพยาบาลหลายอย่างมิได้เป็นความเสียห ายจากการรักษาพยาบาลแต่อย่างใด แต่ก็พยายามใช้คำว่าเสียหายมาตลอดเพื่อประโคมข่าวให้ประชาชนเห็นว่าเป็นเรื่ องเดียวกัน และสร้างภาพให้บุคลากรการแพทย์เป็นยิ่งกว่าฆาตกร (1/6 ที่ตายในโรงพยาบาลเกิดจากน้ำมือบุคลากร!!!) ท่านรมต.หรือผู้บริหารคงเห็นแล้วว่าทำไมบุคลากรระดับกรรมกรของกระทรวงท่านถึ งออกมาต่อต้านพรบ.นี้อย่างรุนแรง และโฆษณาfacebookนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าท่านฉาดใหญ่โดยกลุ่มคนที่พยาย ามโน้มน้าวให้ท่านเห็นดีเห็นงามกับกฎหมายนี้โดยอาศัยท่านเป็นเครื่องมือ และอ้างแต่ว่า “ทำเพื่อประชาชน”   หากตัวเลขนี้เป็นที่ยอมรับได้ของ กระทรวง ก็คงต้องยุบกระทรวงนี้ทิ้งทันทีและส่งเรื่องให้DSIเข้ามาตามจับผู้กระทำผิดโ ดยเร็ว เพราะกระทรวงนี้ล้มเหลวอย่างรุนแรงที่ปล่อยให้คนไทยกว่าล้านคนต่อปีต้องพิกา ร กว่าแสนต่อปีต้องตาย เพราะน้ำมือของบุคลากรของกระทรวงท่านเอง ตายหรือพิการมากกว่าระเบิดที่ภาคใต้หรือสงครามที่ชายแดนเสียอีก   แต่หากไม่เป็นจริงก็คงต้องรอดูว่า กระทรวงนี้จะทำอะไรเพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์และเผยแพร่ความจริงให้ประชาชนไทยได้ ทราบ ก่อนที่สำนักข่าวต่างประเทศร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านจะนำไปประโคมข่าวประชาสั มพันธ์โครงการmedical hubของรัฐบาลนี้
จากคุณ: doctorlawyer โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 15:41:58

http://www.mediafire.com/?h9adt7mltcnl08k
จากคุณ: Mr.LOVE  - ผอ.รพช.&GP โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 15:43:29
กั๊ดดาฟี่  Grin
จากคุณ: Eagle : อะไรกันก็มะยู้ =.='' โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 15:46:01
Embarassed  ตอนนี้จนทสาสุขระบบการรักษาก็เหมือนกะลังจะโดนฆาตกรรมหมู่   Embarassed
จากคุณ: doctor know กลุ่มฮารด์คอร์ โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 16:30:44

อ่านได้ขาดมากๆครับ Grin  
 
เป็นบทความที่มีเหตุมีผลที่นายเชื้อโรคและหล่อไม่ชอบฟัง Sad
 
 
ปล ขออภัยแม่ยกพ่อยกปชปทุกท่านที่กระผมอดจะด่าคนพรรณนี้ไม่ได้แล้ว Tongue
จากคุณ: anantom โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 16:38:01
"ความเป็นจริงแล้วงานวิจัยดังกล่าวอาศัยการการศึกษาเวช ระเบียนย้อนหลัง (retrospective review) ของโรงพยาบาลใหญ่เพียง 2 แห่ง แล้วได้ข้อสรุปว่า  10% ของผู้ป่วยในเกิด “ภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์” และ 10%เสียชีวิต โดยครึ่งหนึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ป้องกันได้ (preventable)"  
 
ขนาดโรงพยาบาลใหญ่2แห่ง ยังขนาดนี้ แล้วโรงพยาบาลเล็ก “ภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์” จะน้อยกว่า หรือมากกว่า 10% ของผู้ป่วย
หากเห็นว่าผลงานของหมอ(คนที่ผมไม่อยากเอ่ยชื่อให้เสียความรู้สึก)คนนั้นแย่ ก็น่าจะหาทางยกเลิกผลงานวิจัยที่ไม่ถูกต้อง และขอวุฒิฯที่นำผลงานวิจัยที่ไม่ถุกต้องคืน
แล้วบอกผป ว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือข้อโกหก
 
ผมอยากเห็นแพทย์เราวิพากษ์มากกว่าวิจารย์ครับ Grin Grin Grin
จากคุณ: yim โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 17:15:03
on 02/24/11 เวลา 15:40:53, doctorlawyer wrote:
แต่หากไม่เป็นจริงก็คงต้องรอดูว่า กระทรวงนี้จะทำอะไรเพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์และเผยแพร่ความจริงให้ประชาชนไทยได้ ทราบ ก่อนที่สำนักข่าวต่างประเทศร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านจะนำไปประโคมข่าวประชาสั มพันธ์โครงการmedical hubของรัฐบาลนี้

 
โครงการ medical hub คงล่มนะครับ ถ้าต่างชาติทราบว่า คนไทยตายด้วยตัวเลขเยอะขนาดนี้  Roll Eyes
(ท่านจุรินทร์จะทำยังไงน้อ  Tongue)
 
 
กระทู้ที่ควรอ่านเพิ่มเติมครับ  Smiley
 
หัวข้อ 10471: "มะเร็ง" ต่างหาก เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทยและชาวโลก  
 
หัวข้อ 10487: ขอข้อมูลด่วนจากหมอ yim ครับ
 
หัวข้อ 10521: แถลงการณ์ประณามผู้ผลักดันร่างพรบ.คุ้มครองผู้เสียหาย
 
หัวข้อ 10594: แถลงการณ์กรณีคนไข้ไทยตายจากความผิดพลาดที่ป้องกันได้ 65,000 คนต่อปี
 
หัวข้อ 10658: "หมอสรรธวัช" จวกยับเครือข่ายผู้ป่วย ปล่อยข้อมูลมั่ว !
 
 หัวข้อ 10740: เครือข่ายผู้เสียหายฯ เดินหน้าสู้ดัน พ.ร.บ.คุ้มครองฯ ต่อเนื่อง..
 

จากคุณ: DKS008 โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 17:15:16
ผมว่าพวกเราเป็นเหยื่อที่ถูกฆาตกรรมหมู่ต่างหากล่ะครับ Shocked
 
ขนาดนี้ยังถูกสังคมประนามกับข้อเท็จไร้ความจริงอันนี้ Shocked
 
ฆาตกรตีหัวแล้วเข้าบ้าน อย่างไร้ยางอายและความรับผิดชอบ Shocked
จากคุณ: หมอ shit โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 19:05:03
พอดีเพิ่งเปิดเจอเชื้อโรคประชุมสภา บอกต่อไปนี้ห้ามคนไข้รอเกิน 2 ชั่วโมง อยากจะหัวเราะให้กลิ้ง เร่งตรวจขนาดนี้มาตี 5 ยังได้กลับบ่าย 2  
 
พรบนี้ผ่านจะยิ่งมันกว่านี้มากมาย
จากคุณ: Eagle : อะไรกันก็มะยู้ =.='' โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 19:40:21
on 02/24/11 เวลา 19:05:03, หมอ shit wrote:
พอดีเพิ่งเปิดเจอเชื้อโรคประชุมสภา บอกต่อไปนี้ห้ามคนไข้รอเกิน 2 ชั่วโมง อยากจะหัวเราะให้กลิ้ง เร่งตรวจขนาดนี้มาตี 5 ยังได้กลับบ่าย 2  
 
พรบนี้ผ่านจะยิ่งมันกว่านี้มากมาย

 
 
 Huh  แล้วหน่วยงานราชการอื่น  ทีไปธุระที่ดินไปแต่เช้าเย็นยังไม่เรียกเลยอะฮับ  เฮ้อ เงินเดือนก็ฐานราชการเหมือนกัน  Tongue Tongue
จากคุณ: Dr.Shone@Loveน้องติ๊นา โพสเมื่อวันที่: 02/24/11 เวลา 20:58:21
Quote:
บอกต่อไปนี้ห้ามคนไข้รอเกิน 2 ชั่วโมง

 
นัดมาวันรุ่งขึ้น Grin
จากคุณ: Dr.Mai โพสเมื่อวันที่: 02/25/11 เวลา 03:59:06

ขนาดโรงพยาบาลใหญ่2แห่ง ยังขนาดนี้ แล้วโรงพยาบาลเล็ก “ภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์” จะน้อยกว่า หรือมากกว่า 10% ของผู้ป่วย
หากเห็นว่าผลงานของหมอ(คนที่ผมไม่อยากเอ่ยชื่อให้เสียความรู้สึก)คนนั้นแย่ ก็น่าจะหาทางยกเลิกผลงานวิจัยที่ไม่ถูกต้อง และขอวุฒิฯที่นำผลงานวิจัยที่ไม่ถุกต้องคืน
แล้วบอกผป ว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือข้อโกหก
 
ผมอยากเห็นแพทย์เราวิพากษ์มากกว่าวิจารย์ครับ Grin Grin Grin [/quote]
 
เอ่อ...ผมว่ามามั่วแล้วครับ
ตอนนี้สถานการณ์เปนไงน่าจะรู้นะครับ
เหมือนกับคุนเป็นหมออยู่ ER แล้วเจอคนไข้เป็นไข้ ไอ หอบมาก O2 sat drop 40 , confusion
คุนจะใส่ ET-tube ป่ะล่ะ
 
รึว่าคุนจะเลือกให้ ATB ก่อน
 
ประเด็นที่เราควรแก้อยู่ตรงไหนตอนนี้...อย่าหลงลำพอง ยึดอยู่ด้านเดียว
ตอนนี้ใจคุนน่าจะยอมรับชัดเจนแล้วว่ามั่วจริง เพียงแต่อยากบ่ายเบี่ยง ไม่ให้มากระทบกับส่วนที่ตนเห็นพ้องต้องกัน
 
ถ้าจะให้วิพากย์จิงๆนะ ถ้าจะตรงๆก็คือเพิ่มสวัสดิการและมีเงินเดือนสำหรับผู้ที่ไม่มีรายได้ซะ หรือผู้ที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ น่าจะยุติธรรมที่สุด แต่...ภาษีเราคงต้องเพิ่มตาม จะยอมมั๊ยล่ะ
จะมาเสียเงินไปกะ พรบ.ที่ไม่ชัดเจน และส่งผลกระทบต่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้เกิดความลังเลในการช่วยเหลือทำไม ทำไมถ้าคิดจะทำเพื่อประชาชนแล้ว ทำไมต้องเลือกแค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งล่ะ
 
ส่วนที่บอกว่าขนาดรพ.ศูนย์ยัง 10% แล้วรพ.ช.จะขนาดไหน
เดาว่าคุนคงคิดว่ามากกว่าแน่นอนล่ะสิ เพราะคุนยังคงยึดว่าบ้านนอกต้องล้าหลังในเมืองใช่ป่ะ
เอ่อ...ตื่นได้ละนะครับ ผมก็เป็นคนบ้านนอกนะ พ่อผมปั่นสามล้อมาก่อน จนครับ แต่ไม่เคยดูถูกใคร แต่ผมก็สอบมา เรียนมาในอดีต ก็ชนะเด็ก กทม.เยอะนะ รพ.ช.ที่ผมเคยอยู่ก็มีระบบระเบียบ ไม่เยินเหมือนตอนมาเทรนที่รพ.ศูนย์เนี่ย
 
คิดกว้างๆเถอะนะ
 
ส่วนถ้าหากเกิดจากแพทย์เป็นผู้ให้การรักษาผิดพลาดจริงก็ ไปไล่เบี้ยกันตามกฎหมายสิ และควรเป็นศาลที่พิพากษากรณีพิพาททางการแพทย์โดยเฉพาะว่ามะ เพราะถ้าทำผิดจริง ก็ควรรับไปตามความผิด จึงจะเกิดการกระตุ้นให้แพทย์ทุกคนอยู่ในความไม่ประมาท
 
ดังนั้นตอนนี้ ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะมีองค์กรที่เป็นกลางตัดสินคดีความทางการแพทย์ ทนายฟรี ค่าใช้จ่ายไม่ต้อง ว่าป่ะ
 
ส่วนค่าเลี้ยงดูในระหว่างฟ้องร้องก็มีสวัสดิการให้เป็นเดือนๆ ชัดเจนแค่พอค่าเดินทาง กับใช้ชีวิต ส่วนผลการตัดสินจะเปนไงก็ค่อยตามนั้น
 
ผมเชื่อว่าหากคนเราทำงานหนัก ใช้ความรู้เยอะ ก็ควรได้รับผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นหากคนเราทุกคนคิดว่าตัวเองมีค่า หากเจ็บป่วยหรือตายมาสมควรได้รับเงินทดแทนมากๆ ก็ทำประกันไว้เยอะๆสิครับ เบี้ยเท่าไหร่ก็แล้วแต่ที่คุนทำงานหาเงินมาได้ แล้วแบ่งเป็นค่าเบี้ยประกัน ก็แค่นั้นป่ะ ในสังคมอิสระชน
 
แต่พอคนนึงช่วย แต่ดันไม่รอด อาจจะเพราะขาดความรู้ที่เพียงพอ รึทรัพยากรไม่พร้อม สมควรมั๊ยที่จะกล่าวโทดคนที่ช่วยเรา แค่ใจที่อยากจะช่วยก็ขอบคุนมากแล้วว่าป่ะ
 
จากคุณ: ดญ.ดอกแก้ว โพสเมื่อวันที่: 02/25/11 เวลา 23:16:20
ชัดเจน ตรงประเด็นค่ะ
ถ้าฆาตรกรรมหมู่มากอย่างนั้นจริง สั่งปิดโรงบานทั่วประเทศ ให้ DSI เข้ามาสอบ
ถ้าเป็นเท็จ จับคนปากเปราะมาลงโทษซะ
 
จากคุณ: drvcmu โพสเมื่อวันที่: 03/17/11 เวลา 12:02:07
ผมอยากให้แพทยสภา วิจัยเรื่องการจำกัดจำนวนผู้ป่วยที่แพทย์ต้องตรวจในแต่ละชั่วโมง เพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เราอาจทำผิดพลาดได้ เอาประเด็นนี้เป็นหลักในการต่อสู้ดีไหมครับ (ถ้ากฎหมายนี้ผ่านไปได้)
จากคุณ: kritnjn โพสเมื่อวันที่: 04/05/11 เวลา 13:55:03
สมัยเรียนแพทย์มาผมยังไม่เคยทำคะแนนสอบได้ 100% เต็มเลย ตรวจคนไข้ 100 คนสงสัยต้องมีมั่วบ้างแน่เลยเรา ต่อไปมั่วไม่ได้แล้ว เขาจะให้เราทำได้เต็มเลยหรอเนี่ย 90 ก็ว่ายากแล้วนะ 555
จากคุณ: MaximuS สู้ๆ^^ โพสเมื่อวันที่: 04/21/11 เวลา 22:44:37
ผมเลิกหวังอะไรจากระบบราชการหร่วยๆนี้แล้วครับ
ใครยังหวังอยู่ นะ ว่ามันจะดีขึ้น
ผมจะบอกว่า คุณซื้อหวย แล้วหวังให้ถูกรางวัลแจกพ๊อต ยังง่ายกว่า
 
ผมเกิดแล้วตายอีกสิบชาติ มันก้อจะยังมีระบบราชการแบบหร่วยๆแบบเน้ครับ
ตราบเท่าที่ประเทศนี้ ยังมีนักการเมืองแย่ๆ และมีประชาชนที่เอาแต่ได้
จากคุณ: Pruksachart-csp โพสเมื่อวันที่: 05/25/11 เวลา 21:11:41
ต้องกระจายบทวิพากษ์นี้สู่มวลชนครับ  Smiley
ขออนุญาตนำlinkไปเผยแพร่นะครับ  Wink
จากคุณ: watbote โพสเมื่อวันที่: 07/26/23 เวลา 18:28:49
Smiley


  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by