หน้าแรกเว็บบอร์ด หน้าแรกเว็บบอร์ด
   For MD.
   ICU : Interesting Creative Usergroup
   Post reply ( Re: ++++เหตุผลที่ทำให้ท่านลาออก จากราชการ++++ )
ขอเชิญเพื่อนแพทย์พูดคุย แสดงความคิดเห็นครับ
หัวข้อ:
ใส่ชื่อ:
Email:
Add YABBC tags:
Add Smileys: <more...>
ข้อความ:

Disable Smilies




Topic Summary
จากคุณ: enicidem โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 19:38:38
อยากสอบถามหน่อยครับ ไม่ว่าท่านจะยังอยู่ในระบบ หรือลาออกไปแล้วสาเหตุที่ลาออกจากราชการเพราะอะไรครับ เช่น  แรงกดดันจากญาติ  ตรวจ OPD ไม่ไหว  อยากกลับบ้าน  ไปเรียนต่อ เบื่อการทำงานในรพช ปัญหาเพื่อนร่วมงาน ปัญหาเรื่องระบบrefer อยากไปทำเอกชน ฯลฯ แบบว่าอยากรู้
จากคุณ: poopoo โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 19:49:14
เรียนต่อครับ
 
หาทุนไม่ได้ครับ (ทั้งๆที่อยากได้มาก) Grin
จากคุณ: หมอหมู โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 20:05:41

เรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ....  ยาวหน่อย ตอนนั้น อัดอั้นใจ ...  
 
 
จำไม่ได้ว่า รอบที่เท่าไหร่แล้ว .. ใครเคยอ่าน ก็ อ่านอีกรอบละกัน    Grin
 
 
 
 
ทำไม ผมถึงลาออกจากราชการ
 
 
การลาออกจากราชการ เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมี ข้าราชการคนไหน ที่ตั้งใจไว้ว่า เข้ามารับราชการแล้ว จะลาออก .. ส่วนใหญ่ ก็ตั้งใจว่า จะทำงานราชการไปเรื่อย ๆ ...
 
เมื่อข้าราชการคนหนึ่ง อยากจะลาออก ก็มักจะมีสาเหตุ หลายประการ รวม ๆ กัน ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงสาเหตุเดียว ดังนั้น การที่จะให้บอกแน่ ๆ ว่า ลาออกเพราะอะไรนั้น จึงค่อนข้างยาก ที่จะระบุให้ชัดเจน ...
 
สำหรับตัวผม สาเหตุที่ออก หลัก ๆ เลย ก็เป็นเรื่อง ลักษณะงานของหมอผ่าตัด เนื่องจาก ผมดูแล้วงานมีแต่เยอะขึ้น ขณะที่อายุเราก็เยอะขึ้น ด้วยเช่นกัน (ถึงแม้ตอนนี้ยังหนุ่มอยู่ก็ตาม )
 
เมื่อผมดูพี่ ๆ ออร์โธฯ หรือ ศัลย์ ในรพ. ที่อายุมากแล้ว แต่ต้องมาอยู่เวรดึก ๆ ต้องมาถูกตามในวันหยุด ซึ่งควรจะเป็นวันที่ได้พักผ่อน .. แล้วผมคิดว่า ผมไม่อยากเป็นแบบนี้ไปอีก ๑๐ หรือ ๒๐ ปีข้างหน้า
 
ส่วนสาเหตุรอง ๆ มีเพียบ เช่น เรื่องร้องเรียนเยอะขึ้น ความต้องการของผู้ป่วย (ญาติ) มากขึ้น ต้องการให้เรารักษาตามใจของเขา ทั้ง ๆ ที่ บางครั้งก็ไม่จำเป็น หรือ บางครั้งก็ไม่ถูกต้อง เสียด้วยซ้ำไป แนวโน้มความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ปริมาณก็มากขึ้น และเรื่องอื่น ๆ อีกบางส่วน
 
 
ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า “ ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามองไปทางไหน ก็มีปัญหา คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็แย่ อะไร ๆ ก็มีปัญหาไปหมด ให้กลับมามองดูสิว่า คนที่มีปัญหานั้นอาจเป็นตัวเราเอง ก็ได้ “ ผมก็คิดว่า อาจเป็นจริง แบบนั้นก็ได้ เลยต้องกำจัดปัญหา ......... ท๊ากกกกกกกกกกกกกก สิน ออกไป .... เอ๊ยไม่ใช่ ผมเองครับที่ออกไป
 
หลาย ๆ คนที่เมื่อรู้ว่า “หมอลาออก “ ก็จะคิดว่า ทำไมหมอไม่เสียสละ ? ทำไมไม่อดทน ? ทำไมไม่คิดถึงภาษีที่ประชาชนส่งเสียให้เรียนหมอ ? ทำไม่ท้อแท้ ไม่อยู่แก้ไขปัญหา ที่เป็นอยู่ ? ฯลฯ
 
เลยอยากเล่าให้ฟังความเป็นมา เผื่อจะเข้าใจกันมากขึ้น ( หวังว่า จะเป็นอย่างนั้นนะครับ )
 
สภาพงานที่ผมทำอยู่ ที่ รพ.รัฐ ประจำจังหวัด แห่งหนึ่ง ( เป็น รพ.ทั่วไป ขนาด ๓๕๐ เตียง ) มีหมอออร์โธฯ ๓ คน แบ่งงานเท่า ๆ กัน ซึ่งถือว่าโชคดีของผมเหมือนกันที่ พี่ ๆ ยุติธรรม ไม่เอาเปรียบน้อง ไม่เจอแบบที่อ้างว่า พี่อายุมากแล้วขอทำงานน้อยลง ( แต่ได้เงินมากกว่า ) เหมือนบางแผนก งานก็แบ่งง่าย ๆ เหมือนกับทุก ๆ ที่แหละครับ
 
๑. ตรวจ opd ๒ วันต่อสัปดาห์ ตรวจครั้งหนึ่งก็ ๘๐-๑๐๐ คนต่อ ๓ ชม.ผู้อำนวยการสั่งว่า ถ้าตรวจไม่หมดในช่วงเช้า บ่ายก็ต้องมาตรวจให้หมด ผมก็เลยต้องพยายามตรวจให้หมด อย่างรวดเร็ว ซึ่งเครียดมากเหมือนกัน แล้วเดี๋ยวนี้ มีคนไข้ประเภทขอมากขึ้น ตั้งใจมาขอโดยเฉพาะ ขอยาเยอะ ๆ ขอยาเดิม ห้ามเปลี่ยน ขอเอกซเรย์ ขอใบส่งตัว ขอ... ขอ.. ฯลฯ บางทีไม่สนว่า เป็นอะไร จะรักษาอย่างไร ประมาณว่า “ จะเอาแบบเนี๊ย หมอเขียนตามที่สั่งละกัน “ เมื่อก่อนก็หงุดหงิด ตอนหลัง ๆ ผมก็จะอธิบายแล้วถ้าเขายืนยัน อะไรให้ได้ ก็ให้ไปเลย ไม่คิดมาก ( ถึงแม้จะหงุดหงิดอยู่บ้าง ก็ตาม ) เขาคิดมาจากบ้าน ตั้งว่าจะเอาแบบเนี๊ย แล้วจะให้เรามาอธิบายแค่ ๒ นาทีให้เขาเปลี่ยนใจ มันก็คงทำได้ยาก
 
เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ก็พยายามเปลี่ยนแปลง โดยขอมาตรวจ opd ตอนบ่าย แทนที่จะเป็นตอนเช้า เพราะคิดว่า ตอนเช้าทุกแผนกก็ตรวจพร้อม ปริมาณคนไข้ ก็จะเยอะ เจ้าหน้าที่ห้องบัตร ห้องยา ฯลฯ ก็จะต้องทำงานหนัก เพราะคนไข้เยอะมาพร้อม ๆ กัน ... คนไข้ก็ต้องรอคิวตรวจ รอคิวรับยานาน ... ผมเลยเปลี่ยนมาตรวจตอนบ่าย ก็ดีขึ้นนะครับ ทั้งคนไข้และเจ้าหน้าที่ ทั้ง ๆ ที่ปริมาณงานก็เท่า ๆ เดิม แต่ กระจายงานมาอยู่ในช่วงบ่าย ซึ่งไม่ค่อยยุ่ง ทำให้สะดวกขึ้น คนไข้ก็ไม่ต้องรอนาน เจ้าหน้าที่ก็ไม่ต้องเร่งทำงาน ... ทำไปได้สักพัก ก็มีปัญหาอีก เพราะ ปกติเจ้าหน้าที่จะว่างช่วงบ่าย แต่พอผมเปลี่ยนมาตรวจช่วงบ่าย เขา/เธอ ก็ไม่ว่าง คนไข้บางคนก็บ่นว่า บ้านไกล ไม่มีรถกลับ ( ให้ไปตรวจกับหมออื่นตอนเช้าก็ไม่เอาอีก ) แต่สิ่งที่หนักก็คือ ปริมาณคนไข้เยอะขึ้นกว่าเดิม ตรวจไม่หมด เลยสี่โมงครึ่ง ก็ต้องตรวจต่อ จะหยุดก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้จะส่งให้ใครตรวจต่อ จะให้น้องที่อยู่เวร ER ตรวจต่อก็คงไม่ไหว .. พอตรวจต่อ นอกจากผมที่ต้องอยู่ตรวจแล้ว เจ้าหน้าที่อื่น ๆ ก็ต้องอยู่ด้วย กลายเป็นว่า คนอื่น ๆ เขาก็ต้องมาเดือดร้อน เพราะผม ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่คิดว่า น่าจะทำให้ดีขึ้น พอทำไปได้สัก สี่ห้าเดือน ก็เลยต้องเลิก กลับมาตรวจแบบเดิม เหมือนกับคนอื่น ๆ ตรวจไปให้ได้มากที่สุด เที่ยงก็ได้พัก เหลือบ่ายก็ให้แพทย์ที่ออกตรวจตอนบ่าย ตรวจต่อให้ ... เหมือนกันกับแผนกอื่น ๆ ( ช่วงหลัง ผู้อำนวยการออกคำสั่งให้แพทย์ทุกแผนกตรวจคนไข้ให้หมดในช่วงเช้า ถ้าไม่หมด ก็ต้องมาตรวจต่อตอนบ่าย )
 
๒. อยู่เวรใน สลับกันไป ๓ คน อยู่ประมาณ ๒๔-๒๖ เวรต่อเดือน หรือ ๖-๗ เวรต่ออาทิตย์ ( ๘ ชม. ต่อเวร วันราชการก็ ๒ เวร บ่าย ดึก แต่ถ้าวันหยุด ก็จะเป็น ๓ เวร เช้า บ่าย ดึก ) ซึ่งอยู่เวรแต่ละวัน มีคนไข้ฉุกเฉินให้ผ่าตลอด ถ้าวันไหนอยู่เวรแล้วไม่มีตาม ถือว่าผิดปกติ ต้องโทรไปถามว่า วันนี้ผมอยู่เวรหรือเปล่า :-p แล้วถ้าอยู่เวรแล้วได้กลับบ้านก่อนเที่ยงคืน ก็ถือว่าเป็นเวรที่ค่อนข้างสบาย ส่วนใหญ่เกินเที่ยงคืน เฉลี่ย ๖ เดือนก่อนที่ผมจะลาออก คนไข้ที่ต้องมาทำนอกเวลาราชการ ทั้งผ่าและไม่ผ่า ก็ประมาณ 80 รายต่อเดือน พอคิด work load ก็มักจะเกิน ๒๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน ( ถ้าใครสนใจ ก็ติดต่อมาได้เลยครับ รายได้ดีเหมือนกัน ถ้าทำไหว )
 
๓. วันผ่าตัด เนื่องจากมีแพทย์หลายคน หลายแผนก แต่ห้องผ่าตัดมีน้อย เลยต้องใช้วิธีแบ่งกัน โดยให้มีวันประจำ ของแพทย์แต่ละคน ที่จะผ่าตัด ก็แบ่งคนละ ๑ วัน ต่อ อาทิตย์ ถ้ามีคนไข้เหลือเยอะ ก็หาเวลาแทรก ๆ ไป ในบางวันที่แพทย์เจ้าของห้อง ไม่มีคนไข้ผ่า หรือ ผ่าตัดเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว ซึ่งก็ทำให้ ผมไม่เคยมีอาทิตย์ไหนเลยที่ว่าง ไม่ต้องผ่าตัด
 
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมเคยทำตารางนัดผ่าตัดผู้ป่วย case elective วันผ่าตัดละ ๒ คน (อาทิตย์ละ ๒ คน) ก็สะสมไปเรื่อย ๆ จนนัดนานเป็นปี เลยครับ จนต้องเลิกใช้ตารางนัดผ่าตัด เพราะถูกร้องเรียนว่า รอคิวผ่าตัดนาน กลับมาใช้วิธีเดิม ๆ ก็คือไม่ต้องนัดกันแล้ว เสี่ยงดวงกันหน่อย ถ้าใครโชคดีมาช่วงที่ว่าง ก็ได้ผ่าเร็ว ใครมาช่วงคนไข้อุบัติเหตุเยอะ ๆ ก็ต้องรอไปก่อน อาทิตย์หน้าค่อยมาใหม่ เหมือนกับแพทย์ท่านอื่น ๆ ที่ไม่มีตารางนัดผ่าตัด ก็ไม่มีเรื่องร้องเรียนว่า นัดผ่าตัดนาน เพราะไม่มีนัดแล้ว ... แต่ปัญหาของคนไข้ และ หมอ ก็คือ ไม่รู้ว่าจะได้ผ่าวันไหน วางแผนไม่ได้เลย ...คนไข้บางคนมาเป็นสิบครั้งก็ไม่ได้ผ่า เพราะไม่เร่งด่วน มีคนไข้ที่เร่งด่วนกว่า ให้หมอผ่าทุกอาทิตย์ไป
 
๔. งานอื่น ๆ เช่น อยู่ตรวจ opd บ่าย เวรชันสูตร งานบริหาร ประชุม เป็นต้น
 
 
เมื่อ ๕-๖ ปีก่อน หน้าที่ผมจะลาออก ในความรู้สึกผมตอนนั้นก็คือ งานมันเยอะมากเกินไป ( เงินก็ชักไม่อยากได้แล้ว ) แล้วความต้องการ ข้อเรียกร้อง ของผู้ป่วยและญาติ ก็มากขึ้น เสียงบ่น เสียงว่าให้เข้าหู บ่นว่าต่อหน้า ก็เยอะมากขึ้น เมื่อเทียบกับตอนที่ผมมาทำงานใหม่ ๆ ......
 
เลยมาคิดว่า อยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ คงไม่ไหว เหนื่อยทั้งกาย ( คนไข้เยอะขึ้น ผ่าตัดเยอะขึ้น อยู่เวรดึก ๆ วันรุ่งขึ้นก็ต้องมาทำงาน หมอก็น้อย โอกาสที่มีหมอเยอะขึ้นกว่านี้ ก็แทบไม่มีโอกาส ) เหนื่อยทั้งใจ ( การเรียกร้อง เรื่องร้องเรียนเยอะขึ้น มีบางท่านโดนฟ้องร้องด้วย ) เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ พอได้พักก็หาย แต่เหนื่อยใจนี่สิครับ เราทำงานเต็มที่แล้ว ยังต้องมาคอยระวังว่า จะโดนฟ้องเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แบบนี้ไม่ไหว แล้วฟ้อง ไม่ใช่แค่ฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหาย อย่างเดียว ( เดี๋ยวนี้ก็เรียกค่าเสียหายเยอะด้วยสิครับ หลายล้าน ซึ่งบางที ผมยังคิดเลยว่า ผมทำงานทั้งชีวิต ก็คงไม่มีเงินเก็บถึงขนาดนั้น ) แต่ยังฟ้องอาญา ให้ติดคุก อีกต่างหาก
 
หลาย ๆ คนก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก โอกาสมันน้อยมาก ๆ แล้วถ้าโดนฟ้อง รัฐ ก็ช่วยอยู่แล้ว ก็จริงครับ ถ้าฟ้องแพ่ง เมื่อศาลตัดสินให้ชดใช้ค่าเสียหาย ในฐานะเป็นข้าราชการ กระทรวงสาธารณสุข ก็มาช่วยเรื่องเงินค่าเสียหาย แต่ หมอก็จะต้องถูกสอบสวน ต้องขึ้นศาล กว่าเรื่องจะจบก็ใช้เวลาหลายปี สภาพจิตใจตอนนั้นเป็นอย่างไร ถ้าใครไม่เคยเจอ ไม่เคยโดนฟ้อง ก็ไม่รู้หรอกครับ ว่า ทุกข์ทรมานขนาดไหน นี่ยังไม่รวมถึง ชื่อเสียงที่เสียหายด้วยนะครับ ... เรื่องฟ้องแพ่ง ก็พอมีคนช่วยบ้าง แต่ฟ้องอาญานี่สิครับ หมอรับไปเต็ม ๆ คนเดียวเลย ถึงแม้จะมีคนมาช่วยเหลือเรื่องคดี แต่ถ้าศาลตัดสินว่า ผิดจริง งานนี้ คุก เต็ม ๆ เลยนะครับ อย่าบอกว่า ไม่เคยเกิดขึ้น ที่ศาลตัดสินให้หมอติดคุก ...
 
ตอนแรก ๆ ผมวางแผนไว้ว่า ตอนอายุ ๔๐ ค่อยตัดสินใจว่า จะอยู่หรือจะออกจากราชการ แต่ดู ๆ แล้วยังไง ก็ไม่ได้อยู่ถึงเกษียรแน่นอน ผมจึงเริ่มหาทางเลือกอื่น ทำไปด้วย .. เริ่มจาก เปิดคลินิก และ รับปรึกษา รพ.เอกชน ผ่านไปสี่ห้าปีก็เห็นว่า น่าจะพอไหว เลยลาออกจากราชการ .... คิดวางแผนล่วงหน้าหลายปีนะครับ ไม่ใช่ว่านึกจะออก ก็ออกเลย ...
 
อ้อ ผม เรียนจบออร์โธฯ มาก็ทำงาน รพ.รับราชการอย่างเดียว ไม่ทำเอกชน ไม่เปิดคลินิก เป็นแพทย์ออร์โธฯและหัวหน้าฝ่ายวิชาการ (พคบว) ทำอยู่ ๕ ปี ก็ได้อะไรเยอะครับ เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดี (และไม่ดี Huh) ได้เข้าใจว่า สิ่งที่เราคิดว่า ดี คนอื่นเขาอาจคิดอีกอย่าง แล้วก็เข้าใจชีวิตมากขึ้น เข้าใจคนมากขึ้น ตอนจบใหม่ ๆ ไฟแรง ( มาก ) เห็นปัญหา ก็คิดว่า ทำไม ไม่มีใครแก้ไข คิดว่า แก้ไขไม่ยาก แต่พอทำจริง ๆ จึงเข้าใจว่า ทำไม ถึงยังเป็นปัญหาอยู่จนมาถึงเรา ....... เคยมีรุ่นพี่ คนหนึ่งบอกว่า “ ปัญหาที่มีอยู่ มันไม่ได้พึ่งมี มันมีมานานแล้ว ถ้ามันแก้ไขได้ง่าย ๆ มันก็คงไม่เป็นปัญหามาถึงเราหรอก “ ทำตั้งนาน ถึงเข้าใจ
 
เมื่อตัดสินใจแน่นอน ก็ได้แจ้งผู้อำนวยการและพี่ ๆ ล่วงหน้า ๖ เดือน มีแต่คนคิดว่า จะออกจริงหรือ ? ทำไมต้องบอกล่วงหน้านานขนาดนั้น จะต่อรองอะไรหรือเปล่า Huh อย่างว่าแหละครับ ต้องรอจนกระทั่งยื่นใบลาออกแล้วถึงจะเชื่อว่า “ ออกจริง “
 
คนส่วนใหญ่จะคิดว่า ที่หมอลาออกกันนั้น เป็นเพราะเรื่อง “ เงิน “ แต่ผมบอกเลยนะครับ เท่าที่คุยกับหมอหลาย ๆ คนที่ลาออก ไม่มีคนไหนเลยครับที่ลาออกเพราะ รัฐ ให้เงินน้อย ...แต่ออกด้วยสาเหตุอื่น ๆ มากกว่า
 
ถ้ายังคิดแก้ไขปัญหา แพทย์ลาออก ด้วยการเพิ่มเงิน ผมบอกเลยว่า ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ ... การเพิ่มเงิน ช่วยได้เพียงแค่ ให้หมอที่อยู่ราชการ อยู่แล้ว มีรายได้เพิ่มขึ้น มีแรงใจเพิ่มขึ้น เท่านั้นเอง ... แต่หมอที่ตัดสินใจว่า จะออก ก็ออกอยู่ดี ... แล้วการใช้วิธีเพิ่มเงิน ก็ทำมาตั้งหลายปี หลายรูปแบบ แต่ก็ยังไม่สามารถ หยุดยั้งการลาออกของหมอใน รพ.รัฐ ผู้รับผิดชอบ ก็น่าจะคิดได้แล้วว่า วิธีแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มเงิน ไม่ได้ผล คงต้องหาวิธีอื่น ๆ มาใช้ร่วมด้วย และ ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วด้วย เพราะยิ่งช้า หมอที่อยู่ รพ.รัฐ ก็จะน้อยลง แต่ปริมาณงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้หมอที่ยังไม่คิดจะลาออก ก็อาจทนไม่ไหว ลาออกตามมาด้วย
จากคุณ: หมอหมู โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 20:07:28

กลับมาอ่านอีกรอบ ... รู้สึกเลยว่า " คิดไม่ผิด จริง ๆ   Grin
 
 
แต่ไม่ได้แนะนำให้ ลาออก นะครับ .. เดี๋ยวจะเข้าใจผิด ...  
 
แถมกระทู้นี้ด้วยเลย ...  
 
 
 
 
 
ข้อแนะนำ ถ้าต้องลาออกจากราชการ
 
ที่ผมเรียบเรียงเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้พวกเราลาออกจากราชการ นะครับ เพียงแต่อยากให้เป็นข้อคิด แนวทางในการตัดสินใจ ว่าจะทำอย่างไรดี ...... เรียบเรียงจากประสบการณ์ตรง ซึ่งอาจต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกหน่อยนะครับ
 
การตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่าง ผมเชื่อว่า ต้องมีเหตุผลเบื้องหลังพอสมควร ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ อาจไม่เหมือนกัน แต่ไม่ได้บอกว่า เหตุผลนั้นดีหรือไม่ดี ถ้าเราคิดว่า สิ่งที่เราตัดสินใจนั้นเราได้คิดอย่างรอบคอบ คิดอย่างดีแล้ว คนอื่น ๆ จะว่าอย่างไร ก็อย่าไปคิดให้รกสมองเลยครับ เพราะเวลามีปัญหาอะไรขึ้นมา คนอื่นเขาไม่ได้มาพบเจอกับเราด้วย เราเองเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบผลที่เกิดจากการตัดสินใจนั้น ๆ แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น ไม่ว่า ผลจะดีหรือร้าย ก็คงต้องรับไปเต็ม ๆ ดังนั้น ก่อนที่จะคิดลาออก ก็ต้องคิดให้รอบคอบไว้ด้วย
 
คิดก่อน
 
1. เขียนข้อดีข้อเสีย ของการอยู่ หรือ ออกจากราชการ ปัญหามันคืออะไร มีทางแก้ไขได้หรือไม่ อย่างไร ค่อย ๆ เขียนไปเรื่อย ๆ คิดได้ ก็เติมไป สัก 2 อาทิตย์ แล้วค่อยกลับมาอ่านทบทวน
 
2. คุยปรึกษาเพื่อน ๆ พี่ๆ คุยกับพ่อแม่พี่น้อง เป็นการหาข้อมูล ความคิดเห็น แล้วก็ถือว่า เป็นการเกริ่นไว้คร่าว ๆ ก่อน จะได้มีเวลาเตรียมใจ เผื่อเราออกจริง ๆ
 
3. วางแผนว่า ถ้าออกแล้วจะไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แล้วก็ลองหาข้อมูล ติดต่อไว้ก่อน เผื่อถ้ามีปัญหาติดขัดอะไร ก็จะได้แก้ไขก่อน เตรียมตัวให้พร้อมไว้ดีกว่า
แล้วอย่าลืมว่าแผนด้านการเงินด้วยว่า ระหว่างที่ออกไป จะเอาเงินที่ไหนใช้จ่าย เงินที่เก็บไว้มีเพียงพอหรือเปล่า
 
4. ติดต่อที่ ธุรการ รพ. หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (งานบุคลากร) ว่าถ้าจะลาออกจะต้องดำเนินการอย่างไร มีเอกสารอะไรบ้าง
แล้วให้เจ้าหน้าที่ ตรวจสอบเรื่องวันลาว่ายังมีสิทธ์ลาพักร้อน ลากิจ เหลืออีก กี่วัน จะได้วางแผนเรื่องเวลาได้ถูก รวมถึง ตรวจสอบสิทธิบำเหน็จ บำนาญ เงินตกเบิก เงินที่ต้องใช้คืนในกรณีติดทุน
 
5. ถ้าลาออก พ่อแม่ ครอบครัว จะใช้สิทธิการรักษาอะไร ต้องใช้สิทธิบัตรสุขภาพ (บัตรทอง) หรือไม่ จะได้เตรียมเอกสารและสถานที่ติดต่อให้พร้อม ซึ่งเท่าที่สอบถาม นำเอกสาร(หนังสือให้ออกจากราชการ +สำเนาทะเบียนบ้าน +สำเนาบัตรประชาชน) ไปติดต่อได้ที่ สถานีอนามัย หรือ รพ.ในภูมิลำเนาที่อยู่ หลังจากที่ได้รับหนังสือให้ออกจากราชการแล้ว
 
 
 
ตัดสินใจแน่นอน
 
1. ติดต่อที่ ธุรการ รพ. หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (งานบุคลากร) ขอหนังสือลาออกจากราชการ ( เป็นใบคำร้อง ขอลาออกจากราชการ ) แล้วก็กรอกรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบ โดยเฉพาะ เหตุผลที่ขอลาออก ซึ่งอยากจะเน้นว่า อย่าให้เป็นเหตุผลที่อาจกระทบต่อคนอื่น ๆ มากนัก ไหน ๆ จะออกแล้วก็อย่าให้มีเรื่อง ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องดีกว่า
 
2. เสนอ ผู้อำนวยการ ซึ่งผู้อำนวยการอาจอนุมัติเลย หรือ อาจยับยั้งไว้ก็ได้ แต่ตามระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มาตรา 113 ถ้าผู้อำนวยการแจ้งเหตุผลให้ทราบก็ยับยั้งได้ 90 วัน
ส่วนกรณีที่อาจเป็นปัญหา ก็คือตามระเบียบ ถ้า ผู้อำนวยการ เฉย ๆ ไม่แจ้งยับยั้ง แต่ก็ไม่เซนต์อนุมัติ ให้ถือว่า ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ยื่น ซึ่งข้อนี้ ค่อนข้างเสี่ยงเพราะไม่ได้ระบุว่า ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ถ้าเกิดเราไม่มาทำงาน แล้วเกิดการเล่นแง่ว่า เราขาดราชการโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบ แบบนี้ก็อาจมีปัญหาได้ ซึ่งอาจไม่มาทำงาน โดยใช้วันลากิจ แต่ต้องทำเป็นหนังสือลาให้ถูกต้องด้วยนะครับ
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ก็น่าจะขอให้เป็นหนังสือราชการว่า ให้ออกตามคำขอ หรือ ยับยั้ง ดีกว่า
 
3. ใบลาจะมีผลบังคับเมื่อได้รับการอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ถ้ายังไม่มีหนังสือแล้วหยุดเอง โดยที่ไม่ได้ทำตามระเบียนวันลาราชการ จะถือว่า ขาดราชการ ซึ่งอาจกลายเป็นถูกสั่งให้ออกจากราชการ (ปลดออก ไล่ออก) ทำให้ไม่ได้ สิทธิบำเหน็จบำนาญราชการ รวมถึงการขอเข้ารับราชการใหม่ด้วย
 
4. ควรทำให้ถูกต้องตามระเบียบ อาจช้าหน่อย แต่ก็ต้องเผื่อไว้ด้วยว่า เราอาจจะกลับเข้ารับราชการใหม่ เพราะถ้าเป็นการออกจากราชการด้วยเหตุผลว่า “ ถูกสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออก “ อยากจะเข้ามารับราชการใหม่ ไม่ว่าที่ไหน ตำแหน่งอะไร ก็มีปัญหาแน่นอน อ้อ รวมถึงตำแหน่งทางการเมืองด้วยนะครับ
 
 
:: พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มาตราที่ 112-123
 
:: หมวด 6 การออกจากราชการ
 
มาตรา 112 ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการเมื่อ
(1) ตาย
(2) พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
(3) ลาออกจากราชการและได้รับอนุญาตให้ลาออกหรือการลาออกมีผลตาม มาตรา 113
(4) ถูกสั่งให้ออกตาม มาตรา 54 มาตรา 67 มาตรา 107 มาตรา 114 มาตรา 115 มาตรา 116 มาตรา 117 มาตรา 118 หรือ มาตรา 123 หรือ
(5) ถูกสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออก
วันออกจากราชการตาม (4) และ (5) ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.พ. วางไว้
การต่อเวลาราชการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ต้องออกจากราชการตาม (2) รับราชการต่อไป จะกระทำมิได้
 
มาตรา 113 นอกจากกรณีตามวรรคสี่ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดประสงค์จะ ลาออกจากราชการ ให้ยื่นหนังสือขอลาออกต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อให้ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตาม มาตรา 52 เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
 
ในกรณีที่ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตาม มาตรา 52 พิจารณาเห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่ ราชการจะยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกไว้เป็นเวลาไม่เกินเก้าสิบวันนับตั้งแต่วั นขอลาออกก็ได้ แต่ ต้องแจ้งการยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกพร้อมทั้งเหตุผลให้ผู้ขอลาออกทราบ และเมื่อครบกำหนด เวลาที่ยับยั้งแล้วให้การลาออกมีผลตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดเวลาที่ยับยั ้ง
 
ถ้าผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตาม มาตรา 52 ไม่ได้อนุญาตให้ลาออกตามวรรคหนึ่งและไม่ได้ยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกตามวรรค สอง ให้การลาออกนั้นมีผลตั้งแต่วันขอลาออก
 
ในกรณีที่ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดประสงค์จะลาออกจากราชการเพื่อดำรง ตำแหน่งทางการเมือง หรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือ ผู้บริหารท้องถิ่น ให้ยื่นหนังสือขอลาออกต่อผู้บังคับบัญชา และให้การลาออกมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้นั้น ขอลาออก
 
หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการลาออก การพิจารณาอนุญาตให้ลาออกและการยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกจากราชการตามวรรคหน ึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่ให้เป็นไปตามระเบียบ ที่ ก.พ. วางไว้
 
จากคุณ: MK3 โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 20:21:12
มีเวลาเหล่ฉาวๆเยอะขึ้น  Grin Grin Grin Grin ล้อเล่นนะครับ ผมยังอยู่ในระบบราชการอยู่แต่สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่ารพ.ใหญ่คนไข้มากขึ้นชัด เจน ภาระงานมากขึ้น มีท้อบ้างแต่ก็ยังไม่คิดที่จะลาออกแต่หากถูกร้องเรียนหรือถูกใส่ร้ายก็คงไ่ม ่แน่เพราะเดี๋ยวนี้เอกชนบางที่ให้สวัสดิการดีพอๆกับข้าราชการกันแล้ว ตอนนี้ก็พยายามนึกว่าเราได้มาเรียนได้ขนาดนี้เพราะคนไข้ยอมเป็นครูให้เรา แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามครูกลับมองเราเป็นขี้ข้า เราก็คงเซ็งไปอยู่ที่เขาให้เกียรติเราดีกว่า ขอให้มองเราเป็นคนเหมือนกันก็พอ อย่ามองเราเป็นคนขายบริการทางการแพทย์ที่จ่ายเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้ก็พอแล้ว ครับ Undecided
จากคุณ: Majin Ingram โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 20:23:26
สรุปง่าย ๆ คือเบื่อ Grin Grin Grin
 
ตัวผมคิดเหมือนกันว่าอยู่ไม่ถึงเกษียณล่ะมั้ง  คิดว่าจะตัดสินอนาคตอีกไม่เกิน 10 ปีจากนี้ ตอนนี้ก็ part time หรือรับปรึกษาเอกชนไปก่อน เพราะเอกชน เดี๋ยวนี้ก็น่ากลัว  
 
เงินก็ไม่ใช่เรื่องหลัก ..........เหมือนอย่างที่บางกลุ่มชอบโจมตีแพทย์ แต่ขอย้ำว่าหมอไม่ได้รวย.....เพียงแต่มีโอกาสทำเงินมากหน่อย ถ้าฟิตพอ และถึกเยี่ยงควาย
 
อายุมากขึ้น คิดว่าจะอยู่เวรอดหลับอดนอนในฟิลด์ medicine ในรพ. ที่เป็น center ได้อีกกี่น้ำ Tongue
จากคุณ: zaar101 โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 20:24:46
โดนใจมากครับพี่หมู ตอนนี้ก้ไม่อยุ่แล้วเหมือนกันครับ อิอิ Grin Grin Grin
จากคุณ: arsenal โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 20:59:33
เหนื่อยโคต... ป่วยบ่อย  เหงา
จากคุณ: @TeddYSierrA@ โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 21:05:32
ลาออกมาได้สี่เดือนแล้วค่ะ
 
เพื่อนร่วมงานดีค่ะ  เวร 15 เวรต่อเดือน ไม่เหนื่อย แต่ก็กระดิกตัวไปไหนไม่ได้
 
แต่เบื่อระบบมากกว่าค่ะ
 
ที่สำคัญ.... ไม่ชอบการชันสูตรศพเอามาก มันติดตา มาอยู่เอกชนม่ะต้องชันสูตรอ่ะ
 
และอีกข้อคือ ต้องอยู่บ้านพักคนเดียว ตกกลางคืนกลัว นอนไม่หลับ
กลัวคนนะค่ะ  
เสาร์อาทิตย์ ไม่มีหมอคนไหนอยู่ รพ เลย ...บ้านพักแถบที่เราอยู่ มีเราคนเดียว  เหมือนไม่มีความสุข
 
อาจจะฟังแล้วไร้เหตุผล....ว่าสิ่งที่ทำให้ลาออกเป็นฉะนี้เหรอ
 
รวมๆกันแล้วก็นี่ละค่ะ ...
 
ลาออกแล้วก็กลับมาอยู่ใกล้บ้าน นอนบ้าน สบายใจ Grin
 
อยู่เอกชนก็ประมาณ 10 เวรค่ะ ไม่ต่างกับ รพช เท่าไหร่
จากคุณ: macbook711 โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 21:16:45
เหตุผลก็เดิมๆครับ คล้ายๆกัน
งานหนัก เสี่ยงต่อการฟ้องร้อง ฯลฯ
(แต่ตอนนี้หนักน้อยลง เพราะ refer มากขึ้น)
 
แต่ผมยังไม่ได้ลาออกนะครับ
เพียงแต่พร้อมที่จะลาออกทุกเมื่อ
 
เพราะคิดว่าทำแค่ที่ clinic ก็พอมีเงินเลี้ยงครอบครัวแล้ว
 
แต่ยังทนอยู่ในระบบราชการอยู่ เพราะพ่อแม่ไม่ยอมให้ลาออก
 
แต่ขอย้ำว่ามีความพร้อมที่จะลาออกทุกเมื่อเชื่อวันเลยครับ
 
 Cheesy
จากคุณ: ConstipatioN โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 22:06:29

 
เวลาเหนื่อยมากๆครับ Smiley
จากคุณ: Burawat T. โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 22:28:43
ยังไม่มีความคิดลาออก ถ้ามีเมื่อไหร่จะมาตอบนะครับ  Grin
จากคุณ: pat1 โพสเมื่อวันที่: 08/23/08 เวลา 22:59:20
ไม่มีเวลาพักผ่อน
ตั้งแต่จำความได้ พ่อสอนเสมอให้กินนอนเป็นเวลา  
กลางวันผมไม่เคยนอนพักเลย และกลางคืนก็นอนเป็นเวลาเสมอ
จวบจนได้เป็น extern วงจรชีวิตได้เปลียนไป ทั้งที่รู้ ว่า physilogic เป็นอย่างไร แต่ระบบการเป็นแพทย์ได้ยัดเยียด pathology บางอย่างใส่ตัวผม เริ่มหลับกลางวันเวลาทำงาน เป็นแอบงีบหลังราวน์เสร็จ กลางคืนต้องอยู่เวร เดินไปเดินมาระหว่างตึกด้วยความมืดตามลำพัง โดนปลุกกลางคืนเริ่มมีอาการมือ ใจสั่นคอแห้ง หน้ามืด ง่วง ไม่อยากออกไปดูคนไข้ อาการสะสมมาเรื่อย เริ่มมีความคิดที่เป็นบาป ทำไมต้องมาปลุกตอนนี้ คนไข้อะไรจะมาตายเอาตอนนี้ ตูจะนอน เริ่มมีความรู้สึกด่าทอคนไข้ในใจ โกรธอะไรที่ไร้เหตุผล สงสัย pathology ที่ถูกยัดเยียดโดยระบบก่อตัวเป็น disease บางอย่างที่ผมก็ไม่รู้ diagnosis รู้แต่ว่ารอวันที่เรียนจบ จะตัดวงจรนี้ทิ้งเสียที  
หลังเรียนจบก็ทำงานเป็น internต่อ ทนมาด้วยอารมณ์เดิมๆ จนถึงขีดสุด อีกนิดเดียวเป็นบ้าแน่ คงต้องวีนทุกครั้งที่ถูกปลุกกลางคือ และคงต้องหลับทุกครั้งที่ออกตรวจ OPD  ไม่ไหวแล้ว  
ลาภ ยศ สรรเสริญ เอาไว้ทีหลัง ตอนนี้ขอเป็นคนทั่วไปก่อน ที่มีเวลานอน มีเวลาให้ตัวเองพักผ่อน ก็ตัดสินใจออกเลย  
ออกมาแล้ว สบายมากๆๆๆ เหมือนหลายๆคนที่บอกว่ารู้อย่างนี้ออกมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ได้นอนวันละ 9 ชัวโมง มีความสุขที่เงินก็ซื้อไม่ได้
มีเวลาให้ตัวเอง ได้ไปปฏิบัติธรรมตามวัด ไม่ต้องกังวลกับเสียงโทรตอนหลับ ไม่ต้องรีบถ่ายอุจจาระเหมือนเวลาอยู่เวร ไม่ต้องขัดช้องใจกับความ...ของคนไข้  
ฝากไว้ให้กับหมอหลายคนได้คิดนะครับ
ถ้าคิดว่าจะอยู่ต่อเพระได้บุญ ผมอยากบอกว่า คิดผิดครับ ทำอย่างอื่นได้บุญเหมือนกัน และไม่ต้องอดนอนด้วย
ถ้ายึดติดกับตำแหน่ง ลาภ ยศ คิดผิดครับ หัดเข้าวัด ฟังธรรมแล้วจะรู้เอง บอกไปคงคิดไม่ได้
จากคุณ: keano โพสเมื่อวันที่: 08/24/08 เวลา 00:05:31
เอาแบบลาออกจากข้าราชการสธ.มาเป็นข้าราชการกทม.แทนได้ไหมท่าน Grin
 
ปัจจัยที่ทำให้อยากลาออกจากสธ.
 
- ทนไม่ได้ที่ถูกป้าเด็กไข้ไอน้ำมูกสองวันโผล่หน้ามาในอีอาร์นอกเวลาแล้วด่าว่ าทำไมยังไม่ได้ตรวจอีกทั้งๆที่ผมกำลังดูคนไข้นอนพะงาบๆอยู่
 
- รู้สึกเหมือนถูกหยามในตอนที่ต้องจ่ายยาตามคนไข้สั่งทุกอย่าง อยากนอนรพ.ต้องได้นอน  ตอนไปรพช.แรกๆผมทำตามไลน์ตาม indication ที่เรียนมาตลอด ผลคือถูกพี่ผอ.เรียกไปพบว่ามีเสียงฮือฮามาว่า หมอไม่ยอมทำตามที่คนไข้ต้องการ หมอเถียงกับคนไข้ หลังจากนั้นเลิกแล้วครับ ผมให้ทุกอย่างแล้วครับที่ไม่ทำให้ท่านตาย และคำว่าลาออกก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในหัว
 
- สุขภาพกายเสื่อมโทรมจากคนไข้ที่ล้นหลามและเวรกระหน่ำ สุขภาพจิตเสื่อมจากขี้เมาขับรถล้ม วัยรุ่นท้องไม่พร้อมแต่ทำแท้ง ป้ากินข้าวไม่อร่อย ข่าวร้องเรียนที่ตามอ่านประจำ รู้สึกตัวเองปากจัดขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับใจที่หยาบขึ้น
 
 
 ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้ยื่นใบลาออกสธ.
 
- เรื่องส่วนตัว
 
 
ปัจจัยอื่นๆรองลงมา
 
- ไกลบ้าน
- เงินค่าตอบแทน
- สิ่งอำนวยความสะดวก
- ต้องการคุณภาพชีวิต
 
 
ก็เลยลาออกจากสธ.มาเข้าราชการสังกัดกทม.ดีกว่า
ผลที่เปลี่ยนแปลงมีดังนี้
 
- คนไข้ลักษณะคล้ายๆกัน แต่......
 
- คนไข้ที่ไม่ฉุกเฉินมาไม่ถูกเวลาต้องนั่งรอจนกว่าจะถึงเวลาตรวจ ไม่ใช่เป็น 7-11 เหมือนในรพช.อีกต่อไป
 
- สุขภาพดีขึ้นมาก เวลานอนเพียงพอเท่าคนปกติ มีเวลาออกกำลังกายเวลาพักผ่อน
 
- ค่าตอบแทนดีกว่าเห็นได้ชัด โอพีดีนอกเวลาชม.ละ 500 แย่งกันทำแทบไม่ทัน
 
- สามารถลดความเสี่ยงให้ตัวเองได้ เนื่องจากมีรพ.ที่สามารถส่งต่อได้มากมาย เป็น win-win situation ของหมอกะคนไข้ในรายที่เสี่ยง คนไข้ก็ได้การรักษาที่ดีที่สุด หมอก็ไม่ต้องเสี่ยงรักษาเคสตัวเองที่ไม่ชัวร์ หรือเคสที่มีปัญหามาก
 
 
ออ ลืมบอกไปครับ ปัจจัยหลักอีกอย่างที่ลาออกจากสธ.คือ ผมไม่เชื่อว่าปัญหาต่างๆที่ผ่านมาในช่วงสองสามปีหลังจะสามารถแก้ไขในเจเนอเร ชั่นผมได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในสามปีซึ่งเป็นช่วงเวลาใช้ทุนของผมแน่ๆ  Tongue
 
 
โชคดีมีชัยครับ ทุกท่าน
จากคุณ: vecchio โพสเมื่อวันที่: 08/24/08 เวลา 04:20:25
เอ่อ ของผมออกจะแปลกๆไปหน่อยมั๊ง  
 
ผอ. ใจดี เจ้าหน้าที่ น่ารัก งานหนักแต่ไม่เหนื่อยใจ คนไข้ส่วนมากก็น่ารักไม่เคยเจอปัญหากับตัวเองเลย สงสัยจะโชคดีมั๊งคับ
 
แต่ที่ลาออกเพราะงานใหม่ ทำให้ผมไปเที่ยวไกลๆได้เกือบเดือน
ที่ทำงานน่าสนใจ ตื่นเต้นดี รายได้ก็โอเค
 
แต่พออยู่ๆไปกลับเบื่อซะงั้น  Huh
 
Ideally ผมอยากทำงาน รพ. ชุมชน บรรยากาสชนบทไกลๆ แต่เข้าถึงความศิวิไลซ์ได้ไม่ยาก ซึ่งจริงๆแล้วมันคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน Roll Eyes
จากคุณ: aladin โพสเมื่อวันที่: 08/24/08 เวลา 07:13:22
ผมอยากได้เวลาพักผ่อน อยากได้ชั่วโมงทำงาน 8ชม./วันถ้าวันไหนอยู่เวรเช้าวันรุ่งขึ้นควรได้พักเพราะสุขภาพดีไม่ใช่มีแต่ คนไข้เท่านั้นแพทย์ก็เป็นคนก็ต้องการสุขภาพที่แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ค่าตอบแทนต ้องจูงใจพอ กำลังนับวันเพื่อไปอยู่กับครอบครัวใน กทม.ครับ เพราะผมไม่ใช่เทพผมเป็นแค่คนที่มีความรู้ทางการแพทย์สามารถช่วยเหลือและให้ค ำแนะนำตามหลักฐานทางการแพทย์ที่ผมรู้ ผมไม่ต้องการให้การรักษาล้มเหลวเพราะผมไม่ได้มีส่วนได้เสียในชีวิตของผู้ป่ว ยและผมไม่อยากให้การรักษาล้มเหลวแน่นอนชื่อเสียง ศักดิ์ศรีของใคร ใครก็รัก  สุดท้ายชีวิตแพทย์ เรามีสิทธิขั้นพื้นฐานเหมือนประชาชนคนอื่นหรือไม่ผมไม่แน่ใจ Undecided
จากคุณ: Frankenstein โพสเมื่อวันที่: 08/24/08 เวลา 11:33:42
ลูกครับ
 
ผมเองอดได้  แต่ทนเห็นลูกอดไม่ได้
 
รู้งี้ไม่ต้องมีลูกดีกว่า
 
จะได้อยู่บ้านนอก  อากาศดีๆ
จากคุณ: ppom โพสเมื่อวันที่: 08/24/08 เวลา 12:38:55
ใจจริงอยากรับราชการจนเกษียณ เพราะมั่นคง มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลครอบครัว แถมตอนเกษียณยังมีบำนาญและสวัสดิการรักษาพยาบาลตลอดชีวิต
 
แต่ก็จำใจต้องออกจากราชการเพราะ
 
เริ่มตื่นทุกชั่วโมงตอนอยู่เวรไม่ไหว แทบไม่ได้นอน ไม่อยากสั่ง order ทางโทรศัพท์ แต่ลุกไปดูทุกครั้งที่ถูกตามไม่ไหว เสี่ยงถูกฟ้องข้อหาหมอไม่มาดูคนไข้ เริ่มสะดุ้งเวลาได้ยินเสียงโทรศัพท์กลางดึก ลุกขึ้นมาเบลอ สติสตังไม่เต็มร้อย ทำงานอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ  
 
ความไม่พร้อมของ lab และ x-ray ยิ่งตอนกลางคืน lab บางอย่างทำไม่ได้ ไม่มี CT เจอคนไข้ HI เสร็จเลย refer ก็ลำบาก ถ้าคนไข้เป็นอะไรไป เรารับเละลูกเดียว ไม่มีใครเค้าไปโทษระบบ
 
เห็นพี่แก่ๆอายุใกล้เกษียณ ยังเดินต๊อกต๋อย อยู่หน้า OR ทั้งที่ป่วยเป็นเบาหวานและความดันเลือดสูง แกเพิ่งผ่าตัดคนไข้เสร็จตอนตี 2-3 ส่วนเราอยู่เวร ER จ๊ะกันเพราะแกอยู่เวรในศัลย์ ตายละวา นึกถึงภาพตัวเองตอนใกล้เกษียณแล้วสยองขวัญ Shocked
 
เบื่อทำ C แบบไร้สาระ เก็บผลงานบ้างละ ต้องส่งผลงานทางวิชาการบ้างละ เราถนัดรักษาคนไข้ ไม่ถนัดทำ paper งานในหน้าที่เยอะแยะ ให้ทำเรื่องไร้สาระ
 
เงินเดือนไม่ยุติธรรม ไม่ได้ต้องการรายได้มากแบบเอกชน เพราะราชการมีสวัสดิการและบำนาญ เงินเดือนย่อมน้อยกว่าอยู่แล้ว  
 
แต่เราทำงานเกินเวลาราชการ ไม่มีวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ ก็ต้องไปราวนด์ ไหงเงินเดือนเท่าคนอื่นหว่า  
 
รัฐควรได้เงินเดือนเหมาะสมกับงานที่เราทำนอกเวลาราชการ อย่างเช่น ควรมีค่าเวรสูงกว่านั้น ควรมีค่าทำงานในวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดราชการ แทนที่ให้เป็นเงินไม่ทำคลินิก ซึ่งคนภายนอกฟังแล้วแสลงหู หมั่นไส้เรา คนคิดกฏมักคิดโดยอิงผลประโยชน์ของตน พวกที่อยู่กระทรวงเป็นพวกไม่ทำคลินิกอยู่แล้ว สมควรได้เงินก้อนนี้หรือไม่?
 
ข้าราชการอื่น ชั่วโมงทำงานน้อยแต่เงินเดือนเท่าเรา ส่วนใหญ่เงินเดือนเยอะกว่าเราด้วยซ้ำ เค้าเรียน 4 ปี เราเรียน 6 ปี อายุราชการน้อยกว่าเค้า แถมเราโดนแป็กเงินเดือนตอนเรียนต่ออีก 3 ปี รวมแล้วช้ากว่า 5 ปี
 
เมื่อเทียบกับข้าราชการอื่น เช้าชามเย็นชาม พอบ่าย 3 โมงก็เตรียมตัวกลับบ้าน สบายจริงๆ ส่วนเรายังหัวฟูอยู่ที่ ward ถ้าไม่ต้องอยู่เวรหรือไม่ใช่แพทย์คงทำงานจนเกษียณแน่ๆ
 
เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เราสามารถหาได้อยู่แล้วจากการทำงานเอกชนนอกเวลาราชการ แต่ขอให้ยุติธรรมหน่อย อย่าเอาเปรียบกันเกินไป อย่าใช้งานเราอย่างกับกระบือ
 
ลาพักร้อนไม่ได้ดังใจ ส่งใบลาพักร้อนถูกระงับเพราะแพทย์ไม่เพียงพอ ลาไปประชุมวิชาการก็ไม่ได้
 
เมื่อไปทำงานนอกเวลาราชการที่ รพ.เอกชน เห็นพี่ full time เค้าสบายจัง ห้าโมงเย็นกลับบ้านได้แล้ว ไม่ต้องโดนตาม ส่วนเราต้องทำงานถึง 2 ทุ่ม เอกชนสบายกว่าเราเยอะนี่หว่า อย่ากระนั้นเลย เผ่นดีกว่า  
 
แต่ก็รอใช้ทุนเรียนบอร์ดครบถ้วนด้วยความเต็มใจเต็มเวลาค่อยออก ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินครบถ้วนแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างให้ใครครหาได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราก็เป็นหมอที่ดีได้ พอออกมาถึงได้รู้สึกว่า ตูออกช้าเกินไป น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว สวรรค์มีจริง  Grin
 
เราสามารถกำหนดเวลาทำงานได้ ขยันก็ทำเยอะ ขี้เกียจก็ทำน้อย ไม่มีใครว่าเราเกี่ยงงาน ชอบซะอีกที่เราไม่อยู่ เสาร์ อาทิตย์ ถ้าขี้เกียจก็ฝากเค้าราวนด์ได้ หรือผลัดกันราวนด์คนละวันก็ยังได้  
 
ไม่ต้องอยู่เวรกลางคืนอีกแล้ว ได้นอนเต็มอิ่มซักที เลิกผวาเสียงโทรศัพท์กลางดึกตอนหลับสนิทอีกแล้ว กลางคืนมีแพทย์เวรดูคนไข้ให้เสร็จสรรพ ไม่ต้องทำงานนอกเวลาราชการ มีรายได้หลักหมื่น พอใจแล้ว ไม่เคยอยากได้เงินแสน  
 
คนไข้ส่วนใหญ่น่ารัก บางคนรักษากันนานจนผูกพันเหมือนญาติ ส่วนคนไข้ที่ไม่ถูกโฉลก เราก็ไม่นัด หรือนัดให้ไปรักษากับหมออื่นที่ถูกโฉลกกะเค้า ถ้าเจอตัวแสบเปล่งรังสีอำมหิต เราก็จะเป็นหมอไม่เก่งทันใด ไร้ความสามารถ อยู่ให้พ้นรัศมีของรังสีอำมหิต ต้องส่งไปพบแพทย์เฉพาะทาง superspecialist ให้ไปอำมหิตไกลๆ Grin
 
ที่สำคัญคืออยากลากี่วันก็ได้ แถมมีตังค์เหลือไปเที่ยวปีละ 2-3 ครั้งอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องกระเหม็ดกระแหม่ หรือจะไปปฏิบัติธรรมทีละ 10 กว่าวันก็ได้ ไม่ถูกระงับใบลา อิสระเสรีเหนืออื่นใด แม้จะอยู่ที่ไหน เราก็เป็นหมอที่ดีได้ ~~~  Wink
 
 
จากคุณ: RETINA(lady) โพสเมื่อวันที่: 08/24/08 เวลา 14:28:32

โดนจดหมายร้องเรียนค่ะ
 
 Sad
จากคุณ: gracezidar โพสเมื่อวันที่: 08/24/08 เวลา 16:01:13
on 08/24/08 เวลา 11:33:42, Frankenstein wrote:
ลูกครับ
 
ผมเองอดได้  แต่ทนเห็นลูกอดไม่ได้
 
รู้งี้ไม่ต้องมีลูกดีกว่า
 
จะได้อยู่บ้านนอก  อากาศดีๆ

ก็จริงนะ การมีลูกทำให้เราต้องวางแผนชีวิตบางอย่างใหม่  Cheesy
จากคุณ: doctorurban โพสเมื่อวันที่: 08/24/08 เวลา 17:17:08
ตอนนี้เป็น intern 3
 
หาทุนยังไม่ได้
 
ทำงานรพ.กันดารระดับ 1
 
ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทุน
 
อยากลาออก
 
.
.
.
.
.
.
.
 
แต่ไม่รู้จะบอกกับที่บ้านยังไง
 
 Embarassed
จากคุณ: ICK โพสเมื่อวันที่: 08/24/08 เวลา 22:37:35
ขอบคุณพี่หมอหมูครับ
กำลังต้องการข้อมูลและขั้นตอนการลาออก
แต่ปัญหาผมตอนนี้คือ
ไม่รู้จะเริ่มต้นบอกเจ้านายเรื่องลาออกยังไงดี
มีหมอในแผนกกันแค่สองคน (ผมกับเจ้านาย)
และผมเพิ่งกลับมาใช้ทุนได้แค่ 2 เดือนเอง
จากคุณ: ICK โพสเมื่อวันที่: 08/24/08 เวลา 23:33:46
ช่วงนี้ขอเริ่มจากข้อที่1
ก่อนนะครับ  
กำลังจะลิสท์ข้อดีข้อเสียดูสัก2สัปดาห์ก่อน Cool
จากคุณ: อารามdog โพสเมื่อวันที่: 08/25/08 เวลา 11:40:57
ตามมาดูพี่หมู  Grin Grin
จากคุณ: enicidem โพสเมื่อวันที่: 08/25/08 เวลา 17:37:32
คำถามเหล่านี้จากผู้ป่วยและญาติ
1. รอตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ได้ตรวจซักที
2. ขอส่งตัวไปโรงพยาบาล.... ได้หรือป่าว กลัวเป็นมะเร็ง
3. คนไข้  : "ปวดหัว มาหลายวันแล้ว ปวดขาด้วย บางครั้งก็ปวดท้อง ปวดครั้งละก็นานอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าสัมพันธ์กับมื้ออาหารหรือไม่ ปวดก็ปวดทั่วๆ บางครั้งก็นอนไม่หลับ"
    แพทย์ : ครับ ป้าแล้วมีอาการอย่างอื่นอีกมั๊ย
    คนไข้ : ไม่มีแล้ว  
    แพทย์ : (ตรวจร่างกาย สั่งยาเสร็จ) งั้นรอรับยานะป้า  
    คนไข้ : (ลุกขึ้นกำลังจะไปรับยา และแพทย์ก็ส่งชื่อคนไข้ไปห้องยาแล้ว) อ้อ หมอขอยา 1 2 3 4 .... ด้วยนะเผื่อไว้ แล้วก็อย่าลืมยานวดด้วยล่ะ
    แพทย์ : .... (อยากถามว่า เอาขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มด้วยมั๊ยจัง) ได้ครับ รอที่ห้องยาเลยนะครับป้า
4. คนไข้ที่บ่นว่ารอนานแต่พอได้ตรวจก็ไม่ยอมออกจากห้องตรวจซะที
5. ทำไมหมอส่งไปโรงพยาบาลจังหวัดล่ะ ส่งไปโรงเรียนแพทย์สิ
6. ขอส่งไปโรงพยาบาล ก. ได้มั๊ย บังเอิญในหมู่บ้านไปรักษาที่นี่กันเยอะ
7. ไม่ใส่เฝือกหรอกจะพาไปรักษาหมอน้ำมัน
8. อยากฉีดยาสักเข็มได้มั๊ย จะได้มีแรง
9. ขอน้ำเกลือหน่อย จะได้มีแรง
10. ขอยาบำรุงหัวใจหน่อย  
11. ขณะที่แพทย์กำลังเดินไปมาระหว่าง ห้องคลอด ER Ward OPD ก็มีเสียงญาติบอกว่าหมอนี่เอาแต่เดินไปมา ไม่เห็นตรวจคนไข้  Huh
12. อยากเจาะเลือดดูว่าเป็นมะเร็งป่าว
13. รีบหน่อยได้มั๊ยเดี๋ยวไม่มีรถกลับเหมารถเขามา
14. มาตรวจตามนัดไม่ได้หรอกเพราะไม่มีเงินค่ารถ (เหมาเที่ยวละ 200 - 700 บาทแล้วแต่ระยะทาง)  สงสัยต้องมีโครงการ 30 บาทไปได้ทุกที่ให้คนไข้ด้วย
 
และความต้องการของผู้ป่วยอีกมากมาย ที่แฝงไปด้วยความไม่รู้ ความไม่มีการศึกษา ความไม่มีเงิน  รบกวนอาจารย์และพี่ๆ ช่วยตอบหน่อยเถอะครับว่าถ้าต้องอธิบายสิ่งเหล่านี้ทุกวันโดยที่คนไข้และญาติ ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ มันเหนื่อยขนาดไหน  
 
ปัจจุบันยังอยู่ในระบบครับ  ประชากร 72,000 คน ยังมีงานงานบริหาร งานวิชาการ งานพัฒนาคุณภาพ  ฯลฯ  ปัจจุบันมีแพทย์ปฏิบัติงาน 2 คน วันหยุดเดือนละ 4 วัน พร้อมจะลาออกทุกเมื่อ (รายได้ปัจจุบันเพียงพอไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน ไม่มีปัญหาเรื่องทุนเรียน แค่อยากทำงานในที่ๆ มีสิทธิขั้นพื้นฐานเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป)
จากคุณ: gigglegoggle โพสเมื่อวันที่: 08/25/08 เวลา 17:54:13
กำลังคิดจะลาออกอยู่
 
มาอยู่รพช 3 เดือนตอนนี้ถึงเข้าใจความลำบากใจ
อยากจะไปให้พ้นๆ
 
เบื่อการคอนซัลท์รพศแล้วโดนด่า
ก็เพราะไม่รุนะสิถึงต้องคอนซัลท์
น่าจะมีเปิดสายฮอตไลน์ให้หมอคอนซัลท์หมอเฉพาะทางได้
 
เบื่อการไม่รับรีเฟอร์เคสสูติ  
ต้องรอให้มันโคตรซีเวียร์ถึงจะรับ
Undecided
 
รุ้สึกเหนื่อยใจทุกทีเวลาเจอเคสสูติมีปัญหา
(ซึ่งมีแต่เคสมีปัญหาทุกครั้งเวลาอยู่เวร)
คือมันไม่มีความสุขเลยสักนิด
มันรู้สึกแย่ทุกทีเวลาวนมาโดนเวรห้องคลอด
ได้แต่ภาวนาว่าอย่ามีปัญหาๆ
คือไม่ได้อยากอยู่เวรเลย ไม่อยากรับค่าเวร
 
 Sad
 
เรื่องเหนื่อยกายอดนอนเรื่องเล็ก
----------------------------------------
รพช ควรมีหมอสุติ
 
 
จากคุณ: Littlewriter โพสเมื่อวันที่: 08/25/08 เวลา 20:57:24
เพราะยิ่งนานวันความรู้ก็ยิ่งระเหิดออกจากหัวล่ะมั๊ง...
 
ก็ลองเปรียบเทียบดูCMEของในกทม.กะตจว.สิ...ว่าแตกต่างกันขนาดไหน
แถมรพช.จะไปประชุมบ้างก็ไม่ได้  ถ้าตรูไปใครจะตรวจคนไข้ฟะเนี่ย... Roll Eyes
จากคุณ: caffeine-iv-drip โพสเมื่อวันที่: 08/25/08 เวลา 21:32:18
เบื่อเหมือนกันตอนนี้ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่มีข่าวเด็กตาย
ที่รพ.ก็มีแตเด็กไข้ๆมากันเต็ม
มีคำว่าลาออกอยู่ในหัวทุกวัน
อยากลาออก
อยากลาออก
เฮ้อ
เห็นด้วยกะความเห็น 25 สุดๆ
เกลียดมากเคสสูติเนี่ย เวลาส่งก็ชอบบ่นตลอดว่าทำไม
ไม่ทำอย่างงั้นอย่างงี้ก่อน ล่ะหึหึ ไม่อยากรับล่ะสิ
 
เวรเนี่ยไม่อยากอยู่เลยนะ ไม่ได้อยากได้เงินขนาดนั้น
ไม่อยู่เวรได้ไหมเนี่ย
เบื่อมากๆๆ
อีกอย่างก็คือเคสขอนอนรพ.โดยไม่มีข้อบ่งชี้เนี่ย
ขอนั่น ขอนี่ขอไปหมดพอไม่ไห้นอนก็ เป็นเรื่องอีก
เบื่อ
เหมือนเป็นตัวบ้าอะไรไม่รู้ที่ไม่ใช่หมออ่ะ
เบื่อ
เบื่อความเรื่องมากของชาวบ้าน คิดเอาแต่จะได้อย่างเดียว
เบื่อความไร้การศึกษาดูแลตัวเองขั้นพื้นฐานยังทำไม่ได้
 
อยากไปให้พ้นๆจากสถานะแบบนี้จัง
 
จากคุณ: enicidem โพสเมื่อวันที่: 08/25/08 เวลา 22:06:41
ถูกใจ UN ของ คห 27 มาเลย  เคยคิดอยากทำ Penfill แบบว่าอยู่เวรง่วงๆ ถ้าถูกตามก็ฉีดสัก 2-3 U คงจะตื่นดีพิลึก  Grin Grin
 
หากทำขายขอลองหน่อย แต่จริงอยากมีเวลานั่งกินกาแฟ สบายๆ พักผ่อนระหว่างวันบ้าง ปัจจุบันเรียกว่าเทกาแฟพอให้ตกถึงท้อง แล้วรีบไปทำงาน  Undecided
จากคุณ: กาสะลอง โพสเมื่อวันที่: 08/25/08 เวลา 23:15:42
ตอนนี้ยังอยู่ในระบบราชการอยู่(กำลังเทรนแพทย์เฉพาะทาง)
แต่เคยคิดเรื่องลาออกนับครั้งไม่ถ้วน
เคยคิดอยู่เสมอว่าจะทนจนอายุสัก40 แล้วค่อยออก
แต่หลังๆเริ่มรู้สึกว่าทนไม่ได้  
เหตุผลคล้ายๆกับที่ enicidem เขียนมาทั้งหมด เพราะเคยเจอทุกข้อ
ตอนนั้นต้องตัดสินใจระหว่างลาออก กับมาเรียน  
ก็เลือกมาเรียน คิดว่าอะไรๆน่าจะดีขึ้นเข้ามาอยู่ในรร.แพทย์น่าจะดีขี้น
แต่มันไม่จริง...............................................
ขนาดในรร.แพทย์ ยังมีมนุษย์น่ารังเกียจแบบนี้อยู่ Angry Angry
ก็เลยเริ่มรู้สึกอีกครั้งว่า อยากลาออก
แต่ก็ต้องทน เพราะว่า ขอทุนเค้ามาเรียน (เคยนึกสงสารต้นสังกัดเสมอเวลามีหมอเบี้ยวทุน เลยไม่อยากเบี้ยวทุนเค้า) และสงสารเพื่อนได้ทุนที่เดียวกัน ก็เลย
ได้แต่คิดว่า ถ้าได้เรียนจบ จะลองกลับไปทำงานแล้วหาทางทำงานอย่างมีความสุข
ถ้าลงตัวจะทำไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่ไหว กะว่าจะส่งลูกชายเข้าวงการบันเทิง แล้ว
ค่อยเกาะลูกกินอ่ะ  
จากคุณ: Dr.S_m_i โพสเมื่อวันที่: 08/26/08 เวลา 15:49:41
ผมเป็นอินเทินสองอะครับ ความจริงก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับรพที่ผมอยู่นักหรอกครับ
 
แต่ก็มีความคิดอยากออกเหมือนกัน  
 
เหตุผลคือ มันเป็นชีวิตแบบที่ผมอยากเป็นอะครับคือ อยากอยู่ใกล้พ่อแม่  เพราะผมเรียนที่ต่างจังหวัด แม่ต้องอยู่บ้านคนเดียวตลอดคั้ง6ปีแล้ว
ตอนนี้ผมจบแล้วก็ต้องรออีก3ปี  
แล้วถ้าเรียนต่อไม่ค่อยได้กลับบ้านอีกก็ 4-5ปี  
ถ้าต้องกลับไปใช้ทุนต่ออีกก็อีกหลายปี
ถ้าออกไปอยู่เอกชนก็ได้อยู่ใกล้บ้านก็ได้เจอแม่บ่อยๆ แถมยังมีเวลาว่างไปทำอย่างอื่นที่ใจต้องการได้อีก  
 
ผมคิดอย่างงี้เห็นแก่ตัวมั้ยครับ ที่ไม่เสียสละตน  
 
ผมเลยยังไม่กล้าลาออก เพราะไม่รู้จะบอกกับคนที่รพยังไง เพราะที่นี่ก็ดีกับผมเหมือนกัน  และก็สงสารเพื่อนหมอที่อยู่รพเดียวกันด้วย
 
และก็ไม่รู้ว่าถ้าออกไปแล้วจะกลับมาฟรีเทนเรียนต่อลำบากรึปล่าว ผมอยากเรียนออโธหนะครับ หรือไม่แน่ก็เมด ยังไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดเลยแต่เกรดผมก็ไม่ดี เส้นรึก็ไม่มี   ไม่รู้จะหาเรียนต่อได้รึปล่าว  ฮ่าฮ่า
จากคุณ: ชายสี่ โพสเมื่อวันที่: 08/26/08 เวลา 18:27:20
เคยตัดสินใจจะลาออก หลายครั้ง เหตุผลหลักคือ ผอ รพ ชุมชน สมัยโน้น
 
 
 
แต่ก็อดทน จนมาถึงวันนี้ อีกไม่เกิน 3 ปีก็มีสิทธได้บำนาญ ค่อยตัดสินใจอีกที
ทุกวันนี้ก็ ok พอไหว
จากคุณ: maybe_me โพสเมื่อวันที่: 08/26/08 เวลา 21:57:01
ออกมาได้ 2 ปี แระ Smiley
 
เหตุผลก็คือ ไม่มีอะไรน่าสนใจละ  ออกจะเบื่อๆ
ก็เลยออกมาหาอะไรใหม่ๆทำ  ให้ชีวิตสดชื่นขึ้น
 
เหตุผลแค่เนี้ยค่ะ   Grin
จากคุณ: siwtk โพสเมื่อวันที่: 08/27/08 เวลา 12:44:08
อายุ 42 ปี ข้าราชการระดับ 9 เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง ค่าคลินิกนอกเวลา รวมแล้วรายได้มากกว่า 100000 บาท ต่อเดือน คิดว่าไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่เบื่อผู้บังคับบัญชา ไม่มีธรรมาภิ บาล บริหารงานแบบมีลูกรักลูกชัง ใช้ให้ทำงานพัฒนาคุณภาพ โดยไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ร่วมงาน ต้องการเพียงแค่แบบประเมินตัวเอง ตัวชี้วัดบ้าบอ แผนกลยุทธ์ ที่ไม่มีคนทำตามรวมทั้งทีมผู้บริหารคนอื่นด้วย วันๆ สุมเต็มไปด้วยงานเอกสารที่ไม่มีลูกน้องช่วยทำ แถมถูกประเมินแบบแพทย์ทั่วไปด้วยต้องผ่านเกณฑ์ภาระงานการสอน การวิจัย การบริการโดยไม่คิดภาระงานด้านพัฒนาคุณภาพให้
 ลาออกตุลาคมนี้ครับ
 คนหัวดื้อ
จากคุณ: Moji_kung โพสเมื่อวันที่: 08/27/08 เวลา 15:48:22

 
มีความจำเป็นทางบ้านครับ
 
 Smiley
จากคุณ: DR.TWC โพสเมื่อวันที่: 08/27/08 เวลา 18:51:53
คิดดีๆ ก่อนนะครับ ต้องดู รพ เอกชน ก่อน ว่าดูแลเราดีแค่ไหน บางแห่ง หมอก็แค่ พนักง่าน ตรวจ ลูกค้า หรือ คนไข้ แค่นั้น ผมทำงานราชการ และทำงานเอกชน โครตถูก แถมยังตัด DF โดยเอาเงินที่หักเข้ารพ แต่คิดคนไข้ ตาม DF เดิมของเรา ตอนนี้เรืองยังค้างอยู่ แล้วจะมาบอกชื่อ รพ ตอนจบ ครับ  Shocked
จากคุณ: dr.... โพสเมื่อวันที่: 08/28/08 เวลา 00:38:06
เบื่อระบบ เพื่อนร่วมงานและหัวหน้าระดับต่างๆชอบอ้างระเบียบราชการต่างๆนานา แต่ตัวเองนั่นแหละเป็นคนแหกกฎ เบียดบังเวลาราชการ  ไปทำงานเอกชน คนที่ทำงานหนักคือคนที่ถูกเขาว่า
เรื่องเงินนะมันก้อเป็นเรื่องรองๆครับ คนที่เขาอยู่ในราชการถ้าไม่หนักหนาจริงๆ เขาไม่ออกหรอกครับ
จากคุณ: PEACE โพสเมื่อวันที่: 09/01/08 เวลา 11:18:02
ยังไม่ได้ลาออก
 
แต่เหตุผลชักนำคือ
 
เบือ่ทีมงานในรพ. ชอบใช้spinal cord ทำงาน
 
เหลือเชื่อแบบนี้ก็มีในโลก
 
เป็นหัวหน้าฝ่ายเวช ไข้เลือดออกระบาดแต่ไม่ทำอะไรเลย  เสียทีที่เป็นข้าราชการ เกิดมาเสียชาติเกิด
 
เบื่อระบบคนไข้ เป็นDF DHF แต่วินิจฉัยได้ เดี๋ยวยอดขึ้น
 
หัวหน้าพยาบาลชอบทำหน้าเป็นปลากะโฮ้
 
ระบบสาสุขขอแค่ให้มี แต่ไม่ต้องได้มาตรฐานก็ได้ Cool
จากคุณ: Columbus โพสเมื่อวันที่: 09/04/08 เวลา 13:25:19
 อายุ   33  ปี  ครับ   ลาออก ได้  7  ปี แล้วครับ  ขณะนี้ เปิด  คลินิก อย่างเดียว  ไม่ทำ เอกชน ครับ     และ ลงทุน แนว value invester     ลงเรียน กฎหมาย ด้วย ครับ    ถามว่า ทุกวันนี้ มีความสุขมากไหม เมื่อ เทียบกับ อยู่ในระบบราชการ     .........มากกว่า ครับ  ได้ทำในสิ่งที่คิด    ..........คิด สิ่งใหม่ ที่อยากจะทำ ........... ผมไม่ได้บอกว่า ระบบ ราชการ ไม่ดี   ในโลกนี้ไม่มี ระบบที่ดีที่สุด     ขึ้นอยู่ว่า ตัวคุณเอง ปรับตัวเข้ากับ ระบบ ได้ดี มากน้อยเพียงใด  
 
 
 
 
 
 
 
 
จากคุณ: conan_22 โพสเมื่อวันที่: 09/06/08 เวลา 01:26:37
  เบื่อ HA  นอกจากตรวจคนไข้จำนวนมากต่อวัน บวกกันอยู่เวลากลางคืนอีก
ก็ต้องมานั่งประชุมซึ่งบางวันประชุมถึง หกโมงเย็นหรืออาจจะเลยจนถึงทุ่ม
เพื่อจะได้ไม่รบกวนเวลาราชการ
   เวลามีปัญหา ผอ. จะค่อนข้างโอ๋ผู้ป่วยมากจนเกินไป  มักไม่ค่อยฟังเหตุผล
ขอลลูกน้อง  อันนี้ก็มีส่วนเกี่ยว  เจ้าหน้าที่ใน  รพ บ่นให้ฟังบ่อย
ทำให้ลูกน้องไม่มีกำลังใจในการทำงาน
   ผอ.เปิดคลินิค  เข้าทำงานสาย  วันไหนคนขาดนานๆทีจะมาตรวจ
ใช้เวลาตรวจ ประมาณ 30 นาทีต่อคนไข่ หนึ่งคน
  ค้นหาคำตอบของชีวิต รู้ได้ว่า  ก้มหน้าทำงานงงๆ ไม่ใช่คำ
ตอบที่เราต้องการ   และการเรียนต่อก็ไม่ใช่คำตอบของเรา
  และเราก็คิดได้ว่าหากเราจะไม่เรียนต่อ ก็ต้องเอาด๊ทางบริหาร
ก็ไม่ใช่เราอีก   เพราะเราเห็น  ผอ  ฮั้วโกงค่ายา  และค่าอุปกรณ์ตกแต่งห้อง
ทำงาน  ซึ่งก็ไม่ใช่เราอีก  จะยังไงก็ไม่กงแน่นอน
  เห็น ผอ ถึงจะมีบ้านใหญ่โต อยู่ใน  จว ใหญ่ แต่ต้องทำงานอีก จวหนึ่ง
ซึ่งไกล  และไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา  ลูกเมีย  ปลูกบ้านให้คนใช้อยู่
อย่างงี้ก็ไม่โอเค
   ชอบชีวิตที่อิสระ  ทำอะไรได้ตามใจตัวเราเอง  มีเวลาให้ตนเอง
ให้คนที่เรารัก  และมีเวลาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น  หรือทำบุญได้ตามสมควร
 
จบดีกว่า Grin
จากคุณ: หมอขนมขิง โพสเมื่อวันที่: 09/07/08 เวลา 23:15:05
ต้องการสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
 Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley
จากคุณ: A.Teeraratkul โพสเมื่อวันที่: 09/08/08 เวลา 08:21:25
ลาออกมาได้ 13 ปี พอดิบพอดีค่ะ
 
ตอนออกเป็น young staff ที่บังเอิญไม่ได้เป็นลูกหม้อสถาบันแห่งนั้น
ทำอะไรก็ดูติดขัดจากระบบ seniority ที่ฝังรากลึก  
 
บังเอิญไปดูคนไข้รายอื่น resident ถามเรื่อง indication เราก็บอกน้องตามวิชาการที่ร่ำเรียนมา  
ไม่ได้ก้าวก่ายการรักษาเลยแม้แต่น้อย ยังถูกตั้งคำถามว่า "หมอกับพี่ ใคร authority เรื่องนี้มากกว่ากัน"  
แล้วสุดท้ายการรักษาคนไข้รายนั้น ก็มิได้ผิดไปจากตำราวิชาการ
 
เรื่องนี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียว เพื่องานเพื่อคนไข้ก็อยู่ในระบบได้นานพอควร
แต่เหมือนกับ rep ข้างบน บางทีมันอึดอัดจนถึงฟางเส้นสุดท้าย เพราะบังเอิญมีเรื่องครอบครัวมาให้ช่วยตัดสินใจ ก็เลยเลือกครอบครัวและลูกค่ะ  
 
ปัจจุบันทำงานองค์กรระหว่างประเทศเป็นงานพัฒนาวิชาการ ที่เขาเปิดโอกาสให้เราแสดงความคิดเห็นและได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ว่า chief หรือ staff ฝรั่งหรือคนไทย ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม  Grin
 
แล้วก็ไม้ต้องเป็นเจ้าแม่สิงห์มอเตอร์ไซด์ (resident ตั้งให้) อีกต่อไป เพราะสามารถจัดการเรื่องเวลาให้กับดูแลลูกๆ ได้อย่างสมดุลย์ ไม่ต้องพึ่งมอเตอร์ไซด์
จากคุณ: bassxs โพสเมื่อวันที่: 09/08/08 เวลา 13:31:53
รักตัวเองมากไปหน่อย ก็เลยลาออกครับ
จากคุณ: erny โพสเมื่อวันที่: 09/09/08 เวลา 09:15:24
เงินๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  
เวลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆไม่ต้องอยู่เวรกลางคืนและเสาร์อาทิตย์ ชอบที่สุด
จากคุณ: 6u3nd โพสเมื่อวันที่: 09/10/08 เวลา 01:49:22
ตอนนี้ยังอยู่ในราชการค่ะ แต่มีความคิดอยากลาออกอยู่เสมอ กำลังรอทุนเรียนต่ออยู่ ถ้าไม่ได้ก็คงจะลาออก อาจจะยอมไม่เรียนต่อเลย
เหตุผลที่อยากลาออกก็มีหลายๆอย่าง เหตุผลหลักๆก็คือ
- อยากใช้ชีวิตให้ตัวเองและครอบครัวมีความสุขบ้าง อยากมีชีวิต มีเวลาเป็นของตัวเอง อยากได้ทำในหลายๆสิ่งที่อยากทำ แต่ไม่สามารถทำได้ อยากอยู่ใกล้บ้าน อยากมีเวลาให้กับครอบครัวบ้าง อยากมีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ที่อายุมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่เรารักและรักเรามากที่สุด แต่เราไม่ค่อยมีเวลาดูแลท่านเลย ทั้งๆที่ท่านก็ไม่ค่อยแข็งแรงและยังทำงานหนักอยู่แม้จะอายุมากแล้ว แต่เรากลับต้องมาคอยดูแลคนที่ไม่ค่อยรักตัวเองไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง บางคนยังดูถูกเรา  
- กระทรวงไม่ค่อยดูแล ไม่ค่อยให้ความสนใจเรา สวัสดิการก็ไม่มี ยื่นเรื่องขออะไรไปลืมไปได้เลยเพราะผ่านไปกี่เดือนก็ยังไม่ได้สักที ระบบห่วยแตกที่เน้นรักษามากกว่าส่งเสริมป้องกัน คนไข้ไม่ดูแลตัวเองล้น รพ. คนไข้หรือญาติบางคนที่งี่เง่าเรื่องมาก คนไข้ที่ไม่เคยดูแลตัวเอง ยาไม่กิน ไม่มาตามนัด เป็นโรคตับแต่ยังกินเหล้าทุกวัน เป็นโรคปอดแต่ยังสูบบุหรี่ทุกวัน กินเหล้าเมาแล้วยังขี่มอไซค์หรือไปตีกัน พอเราว่าเรื่องการปฏิบัติตัวหน่อย ญาติบางคนก็งี่เง่าทำเป็นคนใหญ่คนโตว่าไม่ได้ พูดจาหยาบคายใส่ ทั้งที่เราไม่ได้พูดหยาบสักคำ ต้องทำงานหนัก ทำงานไม่เป็นเวลา พักผ่อนไม่เป็นเวลา เวลาอยู่เวรต้องคอยกังวลกับเสียงโทรศัพท์ จะอาบน้ำจะเข้าห้องน้ำก็ต้องรีบเร่ง ต้องเอามือถือเข้าไปอาบน้ำด้วยกลัวมีเคสฉุกเฉินแล้วไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ใ นห้อง ต้องคอยระแวงว่ามีเสียงโทรศัพท์ดังอยู่หรือป่าว บางทีหูแว่วไปเลย นอนหลับๆตื่นๆ ต้องทำงานไกลบ้าน แต่เงินน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเอกชนที่ใกล้บ้านงานสบาย  
- เวลาจะรีเฟอเคสก็ลำบาก บางเคส รพจ.ก็ไม่อยากรับ ยิ่งถ้าเป็นเคสNeuroSx นี่ เดี๋ยวนี้ให้ไปซีทีได้อย่างเดียว ถ้าเป็น hemorrhage จัดการเอง จะรีเฟอจะเอนอาก็ต้องทำเอง เพราะ รพ.ในระบบ referเดียวกันหมอNeuroSxลาออกไปแล้ว ต้องโทรไปทุก รพ.ที่อยุ่ในบริเวณรอบๆ บางครั้งต้องโทรไปถึงกรุงเทพ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไม่รับกัน ต้องคุยเอนอากับญาติทางโทรศัพบ้าง ซึ่งจริงๆไม่ควรทำ แต่ทำไงได้ ก็ที่ รพจ. ไม่ยอมคุยให้นิ ก็เข้าใจว่าคงยุ่งไม่มีเวลา แต่เรื่องอย่างนี้มันควรคุยต่อหน้าโดยตรง ผลซีทีก็ไม่เห็น หน้าญาติก็ไม่เห็น ไม่รู้ว่าใครคุยกะใครอยู่ แต่ต้องมาพูดเรื่องเอนอากะญาติซึ่งคุยได้ทีละคนแล้วก็ไม่สามารถตัดสินใจลำพั งได้ ญาติคนอื่นก็ไม่เข้าใจ ต้องพูดกับญาติทีละคนซ้ำไปซ้ำมา
- อยู่ รพช.เหงา ไม่ค่อยมีเพื่อนที่สนิทกันจริงๆ ไม่ค่อยเจอใครแม้แต่ครอบครัวตัวเอง แล้วก็ไม่สามารถออกไปนอก รพ.ได้เลย เพราะขับรถไม่เป็น รพ.ก็อยุ่ไกลจากตลาด เวลาจะหาข้าวกินก็ลำบาก เลยต้องเริ่มหัดทำอาหารกินเอง แต่ก็ออกไปซื้อวัตถุดิบลำบากเหมือนกัน จะขอรถ รพ.ไปส่งที่ตลาดก็ดูเป็นเรื่องแปลก เพราะคนที่เค้าเคยอยู่ที่นี่เค้าขับรถเป็นกันหมด ไม่เคยมีใครขอให้รถ รพ.ไปส่ง
จากคุณ: LatteDr โพสเมื่อวันที่: 09/10/08 เวลา 09:22:52
ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธ์ อยู่ที่ไหนก็ตั้งใจดูแลคนไข้ ก็แคล้วคลาดปลอดภัย สาธุ Grin Grin Grin
จากคุณ: karunpong โพสเมื่อวันที่: 09/11/08 เวลา 22:01:15
ผมเป็นแพทย์ใช่ทุนปี 3 ปีนี้ถูกบังคับให้เป็นผู้อำนวยการ ด้วยความไม่เต็มใจ
เหนื่อยแทบขาดใจ ทั้งรพ.มีหมอ 3 คน ต้องช่วยน้อง service แล้วยังต้องปวดหัวกับงานบริหารอีก  เซ็งโครต  
ผมว่าเหตุผลที่คิดลาออกนะครับ  
1. โดนบังคับให้เป็นผู้อำนวยการ ทั้งที่ไม่เต็มใจ  
2.ภาระงานที่หนักมาก ตรวจคนไข้วันละ 50-100/คน
3. เมื่อเทียบภาระงานแล้ว เงินที่ได้กับน้อยนิด
4. ห่างไกลแฟน ครอบครัว
จากคุณ: kiku โพสเมื่อวันที่: 09/12/08 เวลา 17:15:16
กำลังตัดสินใจ แต่แนวโน้มก็อยากจะออกไปหาประสบการณ์ หาเงิน ดูแลพ่อแม่ แต่สุดท้ายก็อยากกลับมารับราชการ (แต่ไม่อยากอยู่ สธ.) เพราะว่า แม่อยากให้ทำอย่างนั้นค่ะ อยากเรียนถามพี่ๆ ว่า จะกลับมาได้ไหม ภายในอายุเท่าไหร่ แล้วถ้าอยู่เอกชน เราควรจะทำประกันให้พ่อ หรือใช้สิทธิ์รักษาแบบไหนค่ะ ขอบคุณ มาก
จากคุณ: supparearg โพสเมื่อวันที่: 09/15/08 เวลา 23:56:27
ตอนแรกลาออกเพราะจะมาเรียนต่อ dent ครับ หาทุนไม่ได้  แต่ตอนนี้อยู่ราชการต่อแล้วครับ หลังจากเรียนจบ
จากคุณ: Memo โพสเมื่อวันที่: 09/22/08 เวลา 10:22:41
ตอนนี้ลาออกมา 3 เดือนกว่าแล้ว จบมา 3 ปีกว่า แรกๆที่ทำงานเหมือนจะปลื้มกับระบบราชการ แต่ยิ่งทำไปๆเหมือนโดนเอาเปรียบ อีกทั้งภาระงานมากเกินไป ก็มีหลายเหตุผลที่ลาออก เช่น
-ที่รพช.เก่า มีพี่หมอที่ senior กว่าเรามากเอาเปรียบ อู้งาน วันๆเป็นแต่โม้กับแผนกโน้นนี้   ตรวจก็ช้า ทั้งๆที่คนไข้ก็มาก เราเลยต้องตรวจเองเยอะกว่าพี่เค้ามาก(OPD 200-300 /วัน ตรวจเองก็ 100 up แต่พี่เค้าตรวจ ไม่ถึง 50 มั๊ง) อีกทั้งเลือก case ไม่ยอมตรวจ PV Cry Cry ยังชอบลาหยุดโดยไม่ค่อยมีเหตุผล แบบว่าทำงานหลายปีวันลาเหลือเลยลาเล่นๆ(มีจริงๆนะ)
-ผอ.ก็ไม่ work มีแต่เรื่องกับคนใน รพ. (ตอนนี้ไม่รู้โดนออกรึยัง)
-ชุมชนค่อนข้างโหด มีอิทธิพล ชอบมาเบ่งอำนาจที่รพ.
-อื่นๆ ก็เหมือนท่านอื่นที่แสงความคิดเห็นมา เช่น อยู่เวรหนัก อดนอน ต้องทำงานตลอดเกือบ 24 hr ไม่มีเวลาส่วนตัว etc.ฟ้องร้องง่าย
-ระบบของ สสจ.ช้าและไม่ค่อยเอาใจใส่หมอ
-ย้ายที่ทำงานมาใกล้แฟน
 
 ข้อดีก็มีนะ (แต่น้อย)
-เบิกยา ค่ารักษา ให้พ่อแม่ เราเองได้ สะดวก ไม่ต้องจ่ายเงิน
-เจ้าหน้าที่ที่ รพ.เป็นกันเอง สนิทกัน
 
ก่อนลาออก ก็โดนที่บ้านว่าคิดดีๆ เพราะราชการมั่นคงกว่า แต่มาชั่งดูแล้ว ไม่ปลื้มกับระบบเอาซะเรยย เลยไม่ serious คิดถึงตัวเองด้วยมั้ง อยากทำงานที่สบายๆแล้ว อยู่รพ.เอกชน Happy เรื่องเวลาทำงานและภาระงานมากกว่ารพช.เห็น ๆ แล้วค่อยเรียนต่อ   ตอนหลังถ้าอยากกลับเข้าราชการก็ไม่เห็นเป็นไร
 
ทั้งหมดไม่ได้มองรพช.ในแง่ร้าย แต่เจอประสบการณ์ที่ไม่ดีเหมือนท่านอื่นๆก็เลยมาเล่าให้ฟังค่ะ
 
จากคุณ: shishiko โพสเมื่อวันที่: 09/22/08 เวลา 16:54:26
ลาออกมาได้เกือบ 2 ปีแล้วค่ะ....
เหตุผลที่ลาออก
- คนไข้ไม่ฉุกเฉินชอบมาตรวจในเวร ( ปวดท้องมา 2 wk , ปวดหัวมา 1 เดือน , ปวดเอวมา 10 วัน และที่สำคัญ ไม่อยากมาเวลาราชการเพราะคิวเยอะ )
- อยู่ รพช คนเดียวทั้งเวรนอกเวรใน ( คนไข้ใน ward มีปัญหาก็ต้องดูคนเดียว และใช้เวลานานเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมีคดีติดตัว ในขณะที่คนไข้ER..ที่ไม่ฉุกเฉินทั้งหลาย กร่นด่าหมอว่าช้าไม่รู้มัวทำอะไรจะฟ้องนั่นฟ้องนี่ โดนใบร้องเรียนว่ามาดูคนไข้ช้า ...เลยหมดกำลังใจที่จะทำ )
- รพท โทรมาว่า referทำไม คนไข้ไม่เห็นเป็นไร ทีหลังไม่ต้องส่งมานะ ( โอ้ว ก็คนไข้อยากไป เราก็กลัวติดคุกด้วย ไม่อยากมีปัญหากับใคร )
- อำนาจนักการเมืองท้องถิ่น ชูนโยบาย หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ บังคับให้ไปตรวจ เพื่อเรียกฐานเสียงในช่วงก่อนเลือกตั้ง
- HA และ นโยบายอีกหลายอย่าง ที่ว่ากันว่าจะพัฒนาโรงพยาบาล
- ไม่มีเวลาพักผ่อน ( ไม่เคยลาพักร้อนเลย เพราะสงสารเพื่อนแพทย์และผอ.ที่ต้องอยู่รับมือคนไข้
- มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ส่งนักศึกษามาฝึกงานที่รพ.(  อาจารย์มาบังคับให้สอน นศ.ด้วย ... หนูไม่อยากเป็นอาจารย์ค่ะ แล้วกลางคืนกลางวันหนูทำงานตลอดไม่มีเวลาเตรียมการสอนหรอกนะคะ ) แล้วอาจารย์ชอบมาวิจารณ์ลับหลัง เช่น หมอจ่ายยาผิด คนไข้HTรับยาที่ รพท ได้ยา 100 mg แต่หมอให้50mg ...เอ่อ..อาจารย์จะไม่ดู BP ก่อนจ่ายยาเหรอคะ ..เรียนเชิญอาจารย์มานั่งตรวจแทนหมอเลยค่ะ
- ใช้ทุนครบแล้ว.....พวกเครือข่ายจะได้ไม่มีอะไรมาอ้าง
 
หลังจากลาออกแล้ว
- ไม่มีใครมาบังคับอะไรเราได้
- คนไข้อยากได้อะไร จัดให้ได้หมด
- สบายใจ  
- มีเวลามากขึ้น...จะค้นพบว่าเรามีความสามารถหลายอย่าง และสนุกกับงานอดิเรก
- มีวันลาพักร้อนชัดเจน และ มีคนทำงานแทน....มีระบบมากขึ้น
- ปราศจากอิทธิพลนักการเมืองท้องถิ่น ... จะให้ออกตรวจพิเศษ หมอคิด rateเอกชนค่ะ ไม่ได้ก็ไม่ไปค่ะ
- มีเวลาไปอบรมวิชาการ....ฉลาดขึ้น
 
นับข้อดีได้หลายข้อแล้ว.....ไม่เสียใจเลยค่ะ    
 Wink
จากคุณ: Sareochrist โพสเมื่อวันที่: 09/22/08 เวลา 17:39:09
 ข้อดีและจุดแข็งของระบบเอกชน ที่ไม่ใช่ราชการ
 
  1)อิสรภาพ เป็นสิ่งเดียวที่ดีที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทุกชีวิตแสวงหา อิสระทั้งการทำงาน การเงิน เวลา ชีวิตครอบครัว
   -สามารถเลือกเวลาทำงานได้ ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย
   -ไม่ถูกบีบรัดด้วยกฎระเบียบอันไร้สาระและล้าสมัยมานาน
   -มีเวลาพาลูก พาแฟนเที่ยว ไม่ต้องทนกับคำว่า"คนไม่พอ"
  2)ลาภสักการะ รายได้คุ้มค่าเหนื่อย ทำจริงได้จริง  
   -ทำมากแต่เสียภาษีน้อย เพราะคิดภาษีคนละระบบ
   -มีสวัสดิการนอกระบบจากบริษัทยา พาเที่ยว เอ็นเตอร์เทน
  3)มีความสุขจากการทำงาน  
   -ไม่ขาดแคลนบุคคลากร อุปกรณ์ เวชภัณฑ์
   -ไม่ต้องอดทนกับนโยบายทางการเมือง  
   -ไม่ต้องอดทนกับเพื่อนร่วมงานแย่ๆ
   -ไม่ต้องผิดหวังกับระบบราชการอันเลวร้าย
  4)สถานที่ทำงาน สามารถเลือกได้ ไม่ทุรกันดาร ใกล้บ้าน ไกลบ้าน การคมนาคมสะดวก สถานที่ทำงานสวยงาม ไม่ซอมซ่อ
   -ไม่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติ เช่น พายุ แผ่นดินไหว น้ำท่วม
   -ไม่ต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยสงคราม ประกันไม่รับเคลม
  5)ความปลอดภัยจากการทำงาน  
   -โรงพยาบาลในเมืองใหญ่มีอุปกรณ์ เครื่องมือที่พร้อมกว่า
   -ไม่มีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มาคุกคาม
   -การจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นที่ดีกว่าระบบราชการ
  6)ปราศจากงานจรเกินจำเป็น  
   -ไม่ต้องไปรับเสด็จเจ้านาย
   -ไม่ต้องไปออกชันสูตรศพนอกโรงพยาบาล
  7)ระบบสาธารณูปโภค น้ำไฟพร้อม ไม่ต้องเผชิญปัญหา ไฟดับน้ำไม่ไหล ถนนลูกรัง รถพัง มีอินเตอร์เนตใช้
 
  สรุป สัปปายะ4 สถานที่ อาหาร บุคคล ธรรมะ
จากคุณ: mor_kong โพสเมื่อวันที่: 09/22/08 เวลา 22:25:20
ลาออกแล้ว  6 เดือน เอาเงินเก็บทั้งหมดไถ่ตัวเองออกมาไม่เดือดร้อนพ่อแม่
(ติดแต่โดนบ่นเรื่องสวัสดิการของพ่อแม่เรื่องเบิกค่ารักษาบ้าง)
คิดว่าคุ้มเกินคุ้มเพราะว่าจิตใจสบายขึ้นมาก
อยากให้น้อง ๆ หมอที่ยังติดทุนกันเงินเอาไว้บางส่วนไว้
เผื่อเวลาทนไม่ไหวอยากออกจะได้ไม่ลำบาก รถยนต์ บ้าน ที่ดิน
เครื่องเสียง สิ่งอำนวยความสะดวก เก็บไว้ซื้อทีหลังก็ได้
อิสระภาพและความสุข ใครว่าซื้อไม่ได้ผมเถียงขาดใจ
 
ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน(เดี๋ยวนี้รับ free trainง่ายจะตาย)
สาเหตุก็เหมือน ๆ กับที่ทุกท่านกล่าวมาข้างต้นแหละครับ แต่ที่หนักกว่านิดหน่อยคือ
  -  ผอ.เข้ากันไม่ได้อย่างแรง ไม่เคยฟังเรา กินเหล้าทุกวัน ทำงาน10.00 โมงทุกวัน ไม่เคยช่วยตรวจ OPD, มีปัญหาอะไรก็แก้ปัญหาด้วยปาก (เพราะไม่เคยทำให้เห็น) รับเงินราษฐ์ โกงเงิน,เวลาหลวง  
  - ขอย้ายก็ไม่ได้ (ทั้งที่มีสิทธิ์ย้ายแล้ว) ขอเรียนต่อ ก็ไม่ได้(ต่อยอด) ทั้งที่โรงพยาบาลปลายทางก็ยินดีรับแล้ว นี่ผมติดคุกหรือเปล่า ?ถามเหตุผลบอกไม่มีคนทำงาน (ก็ท่านไม่เคยช่วยเลยนี่ครับ)  
   -  ไม่เคยให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการรักษา ขอเครื่องมือไม่เคยได้ เอาแต่สร้างตึกนั้นตึกนี้ (คนทำงานไม่มีก็ยังสร้าง )ไม่มีสวัสดิการให้แพทย์และพยาบาลให้เป็นขวัญกำลังใจ มีแต่คอยบริการนักการเมืองท้องถิ่น,ทหาร,ตำรวจและผู้มีอิทธิพล
   และเหตุผลนานัปการ ที่ไม่สามารถเล่าในที่นี้ได้
  ยินดีด้วยกับผู้ที่หลุดพ้นแล้วเหมือนอย่างผมครับ
 
แต่ถ้าเลือกที่ดี ๆ อยู่ได้ผู้บริหารดี (ในจุดที่ยอมรับได้) ก็ไม่เข็ดที่จะรับราชการใหม่ครับ
จากคุณ: NuT..NuT โพสเมื่อวันที่: 09/25/08 เวลา 00:15:07
ลาออกมาตั้งแต่ปีใหม่ที่ผ่านมาค่ะ ถือเป็นของขวัญของชีวิต ตั้งแต่วันนั้นมาไม่เคยมีสักวันที่คิดว่าตัวเองคิดผิด เกลียดการทำงานในโรงพยาบาลเอกชน และไม่คิดจะหวนกลับไปทำงานกินเงินเดือนอีก ปัจจุบันทำคลินิกส่วนตัว วางแผนชีวิตที่จะไม่ทำอะไรที่ต้องใช้แรงงานตัวเองอีก ตอนนี้ก็เลยทำธุรกิจส่วนตัวเพิ่มอีก ลงทุนในหุ้น ซื้อบ้านปล่อยเช่า ทำธุรกิจบนอสังหาฯของตัวเอง รู้สึกสนุกมาก เป็นโลกที่แตกต่างจากการทำงานกินเงินเดือน อาจจะดูเสี่ยงในสายตาคนอื่น แต่จริงๆแล้วมันคือการควบคุมชีวิตตัวเอง มีเวลาว่างอยู่บ้านวันละหลายๆชั่วโมง เลี้ยงหมา ดูต้นไม้ น่าแปลกที่เพิ่งรู้สึกว่าสวนที่บ้านสวย บ้านน่าอยู่หลังจากที่ลาออก  อยากให้ทุกคนรู้ว่าอะไรที่สำคัญกับชีวิตตัวเอง สำหรับเรา มันเป็นเรื่องคุณภาพชีวิตและการไม่ต้องการใช้แรงงานตัวเองแลก
จากคุณ: Foto_doc_online โพสเมื่อวันที่: 09/25/08 เวลา 13:38:32
เบื่อผู้บริหาร (ไม่เห็นปัญหาของผู้อื่น)
งานไม่ตรงแผนก(ทำงาน GP med surg มากกว่างานตัวเอง)
แบกภาระไม่ไหว(หมอเฉพาะทาง ให้ไปผ่าใส้ติ่ง ให้ ดู คนไข้ไอซียู)
ไปเพราะใจรัก(ที่จะทำงานด้านที่ตัวเองชอบ)
 
 
มีความสุขยิ่งนักเมื่อออกมา
 
 
ผลที่ได้จากการลาออก
 
ว่างมากขึ้น งานสบายขึ้น ได้ผลตอบแทนดีขึ้น ท่าทางอายุจะยืนขึ้นด้วย
จากคุณ: ต้นหญ้า โพสเมื่อวันที่: 09/25/08 เวลา 16:19:05
ลาออกมาเกือบ 2 ปี หลังจากรับราชการมาเป็นปีที่ 5  
 
เพราะผู้อำนวยการและเพื่อนผู้อำนวยการซึ่งไม่อยากเล่าถึงพฤติกรรมนัก
เป็นเหตุผลหลัก  
 
ตอนนี้อยู่คลินิกบัตรทองด้วยเหตุผลว่า ใกล้บ้าน
แต่ในใจไม่อยากเป็นหมออีกต่อไปแล้วด้วยเหตุผลเหมือนที่หลายๆคนข้างต้นเขียนเ ล่ากันมาโดยเฉพาะเรื่อง คนไข้ (ไม่อยากเขียนซ้ำกับคนอื่นเยอะๆครับเพราะเหตุผลก็คล้ายๆกันกับทุกคน รู้สึกว่าถ้าเขียนมากเรื่องชีวิตหมอๆที่เป็นอยู่จะเครียดยิ่งขึ้น)
 
ปัจจุบันผมยังไม่เคยโดนฟ้องจนต้องขึ้นศาล
แต่หากไม่สามารถตรวจโดยไม่ผิดพลาดได้เลยคิดว่าอนาคตสักวันต้องโดนแน่
(ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีหมอคนไหนตรวจไม่เคยพลาด ดังที่เคยมีแพทย์ดีเด่นโดนฟ้องจนฆ่าตัวตายไปเรียบร้อยแล้ว)
 
วางแผนที่ชัดเจนว่าจะเลิกเป็นหมอแน่นอน
เวลาว่างๆในclinic ขณะที่ไม่มีคนไข้ก็ทำ website ไปเรื่อยๆช่วยกันกับแฟนที่เป็นพยาบาล 2 แรงแข็งขัน(แฟนอยู่บ้านไม่ได้ทำงานประจำแล้ว)
และลงทุนในหุ้นโดยพยายามเรียนรู้ตามหลักการของ Value Investor บ้าง
 
ตั้งใจเป็นอย่างยิ่งว่าอายุไม่เกิน 35 - 40 ปีจะต้องเลิกเป็นหมอให้ได้
 
จะว่าผมเห็นแก่ตัวก็อาจเป็นได้ แต่คำถามของผมก็คือ คนไข้ที่ชอบเรียกร้องแต่ประโยชน์ตนโดยไม่เคยสนใจเหตุผลและความถูกต้อง หรือไม่เคยแม้แต่จะเกรงใจหมอที่รักษาเขาเหล่านั้นทั้งๆที่เขาเหล่านั้นไม่เค ยต้องเสียเงินแม้สตางค์แดงเดียวนั้นเห็นแก่ตัวหรือไม่?และแนวโน้มคนที่เหล่า นี้จะทวีเพิ่มขึ้นไหม?
 
คำตอบสำหรับผมคือใช่  คำถามคืออนาคตของคนเป็นหมออยู่ตรงไหน?
ด้วยเหตุนี้ผมจะพยายามเลิกเป็นหมอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถจะทำได้
โดยไม่ให้เดือดร้อนต่อการเลี้ยงตนเองและครอบครัวในอนาคต
 
ดีใจที่ได้เป็นหมอเพราะสามารถใช้ความรู้ดูแลตนเองรวมถึงคนที่เรารักและห่วงใ ย แต่ไม่อยากที่จะทนดูแลพวกคนแย่ๆบางประเภทมากเกินไปกว่านี้
 
ไม่รู้มีใครคิดเหมือนผมไหม?
จากคุณ: kruasuwun โพสเมื่อวันที่: 09/29/08 เวลา 16:37:49
ลาออกมา 13ปี เปิด clinic มีสวนยาง ลงทุนในหุ้น ตอนนี้38 ปี อีก2ปี ก็เกษียร เพราะคิดว่ามีอิสระภาพทางการเงินแล้ว ก็จะทำตามที่สิ่งที่ชอบ ท่องเที่ยว ทำประโยชน์เพื่อสังคม ที่ลาออกเพราะระบบไม่ส่งเสริมให้คนทำงานได้ดี
จากคุณ: LookKae โพสเมื่อวันที่: 10/02/08 เวลา 22:07:21
ลาออกแน่ครับ
เพราะตั้งแต่อยู่ในระบบราชการมา เจอแต่เรื่องทุเรศๆ
ผมสมัครมาสามจังหวัดชายแดน
ทั้งที่เป็นทุนชนบทและไม่จำเป็นต้องมาเลย
แล้วสิ่งที่ได้รับมีอะไรมั่งรู้มั้ยครับ
 
โดยส่วนตัวผมไม่ชอบอาชีพนี้อยู่แล้ว
เรียนให้พ่อ
พอจบมา มาอยู่ที่ร.พ.หนึ่ง ในสามจังหวัดชายแดนใต้
เก้าเดือนในร.พ.ศูนย์
และสามเดือนในร.พ.ชุมชน
ผมพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า
ผมเองก็เป็นหมอได้
 
ระหว่างนั้น เงิน ontop ของหมอทุกคนใน ร.พ.ศูนย์
หายไป คนละหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือน เป็นเวลาหนึ่งปี
ผมได้จาก ร.พ.ชุมชน มาสามเดือน(สามหมื่น)
อีกเก้าเดือนที่หายไป ผมได้มา สี่หมื่น
แล้วเค้าก็บอกว่า ต้องรอปีงบประมาณใหม่
 
พอผมเทิร์นปีที่สอง ที่ร.พ.ชุมชนแห่งหนึ่งใน จ.เดิม
มีนโยบายให้หมอตรวจคนป่วยที่ห้องฉุกเฉินทุกคน
จนถึงสองทุ่ม หลังจากนั้นให้ on call
ผมตรวจวันละ 130-150 คน โดยที่มีคนป่วยฉุกเฉินจริงๆ
ประมาณ 10-20 คนในจำนวนนั้น
พอหลังสองทุ่ม กะว่าจะได้พักบ้าง
พอพยาบาลโทรมา รับโทรศัพท์ปั๊บ พยาบาลก็บอกว่า
"หมอคะ มีเคสรอตรวจอยู่ 5 เคส"  แล้วก็วางสายใส่ปุ๊บ
 
ผมเริ่มคิดในใจ "ตกลงจะบอกกูทำหอกอะไรวะ ว่าหลังสองทุ่ม ให้ on call"
ช่วงสามเดือนแรก เงินเดือนออกมาได้อเน็จอนาจมาก
ค่าเสี่ยงภัย ค่าไม่เปิดคลินิก ontop เบี้ยกันดาร
ออกสองเดือนต่อครั้ง
ที่ออกทุกเดือนคือ ค่าเวรกะเงินเดือน
 
ผมเลยเข้าไปคุยกะคนที่อยู่มาก่อนว่า
อย่างนี้ไม่ได้นะพี่ ผมต้องผ่อนรถ ต้องส่งให้แม่ ส่งให้ลูกเมีย
เค้าก็ตอบผมมาว่า ใช้บัตรเครดิตไปก่อน
 
ผมก็คิดอีกว่า "แล้วไอ้สัตว์ตัวไหนจ่ายดอกเบี้ยบัตรเครดิตให้กูวะ
กูก็จ่ายเองอีกนั่นแหละ ไอ้สัตว์เอ๊ย มึงโง่มากที่มาอยู่ที่นี่"
 
ผมเลยไปบอกผ.อ. เค้าก็บอกผมว่า
"ปัญหาเราอยู่ที่การจัดการ การเงิน"
ผมเลยคิดได้ว่า "ไม่หรอกครับ ปัญหาคือ ผมแมร่งไม่น่ามาเป็นหมอ"
 
หลังจากทนทุกข์มาสี่ห้าเดือน ผมก็ได้ยินข่าวดีอีกครั้ง
เงิน ontop ที่หายไป เป็นไปได้มากๆว่าจะไม่ได้คืน
 
ถึงตรงนี้ ผมเริ่มคิดที่จะฟ้องร้องแล้วครับ
ฟ้องร้องกระทรวง หรือฟ้องร้อง ร.พ.ศูนย์ ดีนะ
หรือฟ้องร้องพ่อตัวเองก่อนดี
 
สุดท้าย ผมก็คิดออก
"ขับรถเที่ยวจังหวัดแถวนี้ตอนดึกๆดีกว่า
เผื่อครอบครัวจะได้เงิน ค่าทำศพ หมอที่สละชีวิตมาที่สามจังหวัดชายแดน"
 
ถ้ามีข่าวผมตาย ไม่ต้องตกใจกันนะครับ
จากคุณ: shishiko โพสเมื่อวันที่: 10/03/08 เวลา 14:14:22
มาให้กำลังใจคุณ LookKae นะคะ...สู้ๆค่ะ Wink
จากคุณ: ตัวกลม...in LoVe โพสเมื่อวันที่: 10/03/08 เวลา 20:30:18
อยากอยู่ในระบบ..ตอนนี้ก็ OK
 
แต่ตอนนี้จะไปเรียนต่อ...ทุนที่คุยไว้มา 2 ปีหลุดลอยไป ถ้ารอทุนอีกรอบก็ไม่รู้ว่าจะมีที่ใกล้บ้านหรือเปล่า ถ้าได้ไกลบ้านก็คิดว่าคงไปอยู่ให้เค้าไม่นานก็ย้าย(ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะได้ย้า ยไหม...และถ้าไม่ได้ย้ายก็ลาออก มันต่างกันยังไงเหรอ)
 
แต่ก่อนไม่เคยคิดเรื่อง frree training แต่ตอนนี้ตื่นมาทุกเช้ายังถามตัวเองว่าจะดีไหมถ้า free train ออกมาเป็นหมอเอกชน เราก็ได้ตรวจคนไข้ต่อไปอยู่ดี (แต่สุขภาพชีวิตดีขึ้น)
 
ส่วนตัวก็ชอบอยู่ชุมชนนะ ที่ๆอยู่พี่ๆน้องๆดีมาก เป็นกันเองไม่เกี่ยงงาน ใกล้บ้าน งานไม่หนักมาก (หรือชินแล้วก็ไม่รู้??) เงินก็ OK
 
แต่จะเป็น GP ตลอดชีวิตทำใจไม่ได้อ่ะ
 
คนไข้เดี๋ยวนี้ก็........................(เว้นช่องยาวแค่ไหนก็หามาเติมได้เ รื่อยๆ)
 
สรุป..ทำไมไม่เปิดทุนให้มันเยอะกว่านี้อ่ะ เข้าใจนะว่า GIS กรอบมันเต็ม แล้วไงเหรอจะมีหมอเกินกรอบนี้ประเทศจะเสียหายอะไรอ่ะ จำกัดทุนแล้วหมอออกนอกระบบมันไม่ยิ่งแย่กว่านี้เหรอ
 
บ่นๆๆๆๆๆ เบื่อ..เครียด..ตรวจคนไข้ (ดีกว่าจน..เครียด..กินเหล้า เป็นไหนๆ)
จากคุณ: หมอดอย โพสเมื่อวันที่: 10/09/08 เวลา 23:14:18
ผมก็กำลังจะลาออกเหมือนกัน
ผมอยู่โรงพยาบาลชุมชนมาหลายปี จนรักในพื้นที่ ชาวบ้านก็ดี มีปัญหาบ้างก็ไม่มาก ไม่เคยมีความคิดที่ลาออก  
แต่เบื่อผู้ร่วมงาน เบื่อระบบ อยากจะเปลี่ยนแปลงดูบ้าง
จากคุณ: CgiMaster โพสเมื่อวันที่: 10/19/08 เวลา 01:50:24
ออกแน่นอนครับ อนาคตอีก 12 ปีข้างหน้า Grin
 
เห็นข้าราชการเขาทำงานกันแล้ว คิดว่าชาติหน้าตอนบ่ายๆ ระบบจะดีขึ้น  Grin
จากคุณ: Rursegy โพสเมื่อวันที่: 01/04/09 เวลา 03:04:04
อยากได้ที่ทำงานที่เหมาะกะเรา แต่มาคิดดูคงต้องทำงานที่บ้าน ถึงจะเหมาะสมที่สุด  Shocked
จากคุณ: หมอหมู โพสเมื่อวันที่: 02/23/10 เวลา 16:04:10

กระทู้ แถม ...  
 
 
หัวข้อ 1167: สาเหตุที่ทำให้ แพทย์ลาออกจากราชการ ... เคยมีการวิจัยมาเพียบ  Huh
 
http://www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=doctorroom;action= display;num=1266914583;start=0
จากคุณ: tm_kkh โพสเมื่อวันที่: 06/12/10 เวลา 17:45:25
หลายอย่างน นึกไม่ถูกครับ มันสะสม รวมๆกันมา
จากคุณ: vecchio โพสเมื่อวันที่: 08/24/17 เวลา 16:24:45
เกือยบ 10 ปี ผ่านไป เหตุผลจะเป็นอย่างไรกันบ้างน้อ


  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by