« ความเห็นที่ #27 เมื่อ: 01/21/08 เวลา 12:10:00 » |
|
การวินิจฉัยว่าวำเลยแต่ละคนกระทำผิดหรือไม่ จะต้องฟังพยานหลักฐานที่จำเลยแต่ละคนทำขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาอา การเจ็บป่วยของผู้ตาย ซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าวได้แก่ เวชระเบียนผู้ป่วย เอกสารหมาย ล. ๖ รายงานอุณหภูมิ ชีพจร หายใจ เอกสารหมาย ล. ๗ ผลปฏิบัติการเอกสารหมาย ล. ๘ รายการรักษาหรือการให้ยาแก่ผู้ตาย เอกสารหมาย ล. ๙ รายงานตรวจรักษา เอกสารหมาย ล. ๑๑, ล. ๑๓ และใบรายงานอาการคนไข้เอกสารหมาย ล. ๑๕, ล. ๑๖ อันเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดี (ซึ่งตรงกับสำเนาหมาย จ. ๑๓ ) ประกอบกับคำเบิกความของจำเลยแต่ละปากแต่ละคนที่เบิกความยืนยันต่อศาลถึงวิธี การรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ตาย จึงจะได้ความจริงว่า จำเลยคนใดประมาท เนื่องจากพยานหลักฐานอันสำคัญแห่งคดีขึ้นอยู่กับกระทำของจำเลยอันเป็นผู้ประ กอบวิชาชีพของแพทย์ และพยาบาล ซึ่งพยานของโจทก์เป็นเพียงบุคคลธรรมดามิใช่ผู้มีวิชาชีพอย่างเช่นจำเลย ดังนั้นเพื่อความถูกต้องและเป็นธรรม จึงฟังพยานหลักฐานในทางที่เป็นกลางและ หรือเป็นพยานร่วมกันของคู่ความตามสำนวนเอกสารหมาย จ. ๑๓, ล. ๖, ล. ๗, ล. ๙, ล. ๑๑, ล. ๑๓, ล. ๑๕ และ ล. ๑๖ ในความประเด็นนี้ได้ความจากจำเลยที่ ๒ เบิกความยืนยันว่า ขณะที่พยานปฎิบัติหน้าที่แพทย์เวรในวันที่ ๒๔ เวลาประมาณ ๒๔ นาฬิกา ผู้ตายมีอาการปวดศีรษะทางพยาบาลโทรศัพท์ขอคำปรึกษา พยานจึงดูรายการรักษาทางเวชระเบียนโดยมิได้ไปดูอาการเจ็บป่วยของผู้ตาย จึงเจือสมกับทางนำสืบของโทจก์ที่นางสาวกุหลาบเบิกคววามไว้ต่อศาลและจำเลยที่ ๒ ยังให้การอีกว่า พบว่าก่อนหน้านี้จำเลยที่ ๑ ได้ใช้ยาแพทิดิน (pethidin) อันเป็นยาแก้ปวดขนิดแรง มีลักษณะเป็นยาเสพติด โดยวิธีฉีดเข้าเส้นให้แก่ผู้ตายมาแล้ว ๓ ครั้ง หรือทุก ๔ ชั่วโมง ครั้งละ ๕๐ มิลลิกรัม ซึ่งยาดังกล่าวจำเลยที่ ๒ ยังเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ แต่โดยหลักแล้วจะกดระบบการหายใจมากกว่า และความในข้อนี้จำเลยที่ ๒ ยังเบิกความว่า เมื่อได้รับแจ้งเกี่ยวกับความวิตกกังวลเรื่องการให้ยาแก่ผู้ตายจากพยาบาลแล้ ว จึงให้ความระมัดระวังมากขึ้นไปอีก เนื่องจากเห็นว่ายาแพทิดิน (pethidin)เป็นยาเสพติด อาจมีผลข้างเคียงต่อผู้ตาย ต้องเอาใจใส่ดูแล แต่กลับได้ความว่าจำเลยที่ ๒ ไม่เคยไปดูแลอาการเจ็บป่วยของผู้ตายแต่อย่างใด อันผิดวิสัยของแพทย์ที่จะต้องกระทำเพื่อให้ผู้ป่วยหายหรือมีชีวิตรอดอยู่ จากการที่จำเลยที่ ๒ ไม่ไปดูอาการเจ็บป่วย ด้วยตนเองอันผิดหน้าที่ของแพทย์แล้ว ยังกลับสั่งยาทรามอล ซึ่งเป็นยาแก้ปวดที่ให้ความรุนแรงน้อยกว่าฉีดเข้าเส้นและเวลาต่อมาสั่งให้ฉี ดยาแวเลี่ยม อันเป็นยานอนหลับหรือยาสงบประสาทเข้าเส้นให้แก่ผู้ตายอีก จึงนับว่าจำเลยที่ ๒ กะทำผิดวิสัยของแพทย์ที่มีหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลของตนจึ งเป็นการกระทำโดยประมาทจริงตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๑ นั้นได้ความจากจำเลยที่ ๒ เบิกความยืนยันต่อศาลว่ายาแพทิดิน(pethidin) นั้นเป็นยาแก้ปวดชนิดรุนแรงและมีลักษณะเป็นยาเสพติด ออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ โดยหลักแล้วจะกดระบบการหายใจ ซึ่งหากจำเลยที่ ๑ ใช้ความระวังอย่างเยี่ยงแพทย์ผู้มีวิชาชีพซึ่งมีความรู้ ความชำนาญในเรื่องยาและวิธีรักษาหรือการใช้ยาแล้ว ย่อมรู้ทันทีว่า เมื่อให้ยาครั้งแรก ๕๐ มิลิกรัม ภายใน ๔ ชั่วโมงไม่หายปวดศีรษะหรือให้ยานอนหลับ โคมิคุ่ม ๕ มิลลิกรัม โดยฉีดเข้าเส้นแล้วไม่หายปวดศีรษะหรือไม่หายเครียดแพทย์จะต้องรู้มีข้อผิดสั งเกตรู้ได้ทันทีว่า ผู้ป่วยหรือผู้ตายมิได้มีอาการปวดศีรษะอย่างธรรมดาหรือเป็นโรคเครียดแต่อย่า งใดก็ได้ จำเลยที่ ๑ ในฐานะแพทย์เจ้าของไข้จะต้องหาวิธีรักษาและวินิจฉัยโรคมากกว่าสั้งให้พยาบาล ฉีดยาหรือให้ยาแก่ผู้ตายเป็นระยะ ๆ ตามกำหนดเวลา และหรือนำยามาให้ผู้ตายรับประทานตามรายการเอกสารหมาย ล. ๙ หรือ จ. ๑๓ การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงนับว่า ประมาทมืได้ใช้ความระมัดระวังอย่างวิสัยแพทย์เจ้าของไข้ตามสมควรแก่พฤติการณ ์ ซึ่งแพทย์ทั่ว ๆ ไป ย่อมทราบเป็นอย่างดีว่าผู้ป่วยหากปวดศีรษะธรรมดา ย่อมรับประทานยาหรือฉีดยาแก้ปวดเข้าเส้น อาการดังกล่าวย่อมหายไป แต่กลับได้ความจากรายการฉีดยาเข้าเส้นหรือทางสายน้ำเกลือ หมาย ล. ๙ และการให้ยารับประทานตามหมาย ล. ๙ ดังกล่าว ปีปริมาณมากเกินพอที่ผู้ป่วยซึ่งปวดศีรษะธรรมดาจะรับได้อันเป็นพยานหลักฐานอ ันสำคัญที่ผูกมัดจำเลยและเจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ อนึ่งจากคำเบิกความของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ นั้น วางแนวทางรักษาอาการปวดศีรษะเนื่องจากความเครียดของผู้ตายเพียงอย่างเดียว น่าจะขัดกับใบรายงานอาการคนไข้เอกสารหมาย ล. ๑๕ ซึ่งตรงกับสำเนาหมาย จ. ๑๓ ที่ทางฝ่ายจำเลยทำขึ้น ระบุอาการของผู้ตายตั้งแต่วันที่ ๒๓ จนกระทั่งวันที่ ๒๔ ไม่มีอาการดีขึ้น เพียงแตทุเลาอาการเจ็บปวยลงเนื่องจากฤทธิ์ยาเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มิได้หาสาเหตุแห่งการเจ็บปวยหรือเหตุแห่งการปวดศีรษะอย่างรุนแรงจากหน้าฝากท ะลุท้ายทอย จึงนับว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มิใช้ความระมัดระวังในการรักษาผู้ป่วยอย่างวิชาชีพอันแพทย์ทั่วไปพึงมีตามวิ สัยและพฤติการณ์เช่นนั้น จำเลยที่ ๑ ที่ ๒จึงกระทำผิดตามฟ้อง ประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เมื่อจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นเพียงพยาบาลมีหน้าที่ดูแลผู้ป่วย เป็นผู้ตรวจสภาพปกติทั่วไปและสัญญาณชีพของผู้ป่วยที่พักรักษาอยู่ในโรงพยาบา ลของจำเลยที่ ๕ เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยรักษาอาการของแพทย์และเพื่อประโยชน์ในการรักษาพย าบาลรวมทั้งวิธีการให้ยาแก่ผู้ป่วยตามหลักวิชาการทางพยาบาลและตามคำสั่งของแ พทย์ โดยเฉพาะในส่วนของจำเลยที่ ๓ นั้น จากใบรายงานอาการคนไข้เอกสารหมาย ล. ๑๕ หรือสำเนาหมาย จ. ๑๓ ประกอบกับคำพยานของโจทก์แล้ว ไม่มีพยานหลักฐานใดที่ยืนยันแน่ชัดได้ว่าจำเลยที่ ๓ มีส่วนประมาทหรือขาดความระมัดระวังในหน้าที่ คงมีแต่นางสาวกุหลาบ เบิกความยืนยันว่าเวลาประมาณ ๕ นาฬิกา ของวันที่ ๒๕ ขณะพยาบาลนอนหลับได้ยินเสียงของจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ เข้ามาที่ห้องเกิดเหตุพร้อมร้องโวยวายว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ ๓ ออกเวรหรือพ้นหน้าที่ไปแล้ว เพียงเท่านี้ยังฟังไม่ได้ว่ากระทำโดยประมาท ส่วนจำเลยที่ ๔ นั้นอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความยืนยันว่าหลังจากพยานรับมอบเวรแล้ว เวลาประมาณ ๒ นาฬิกา ไปตรวจรักษาผู้ตายอีกครั้งหนึ่งโดยตรวจวัดสัญญาณชีพ ประกอบด้วยอัตราการหายใจ การเต้นของชีพจร การไหลเวียนของน้ำเกลือพบว่าปกติและในเวลา ๓ นาฬิกาก็ไปตรวจผู้ตายอีกครั้งพบว่าผู้ตายนอนหลับหันหลังให้ทางประตูออกจึงไม ่ไปตรวจชีพจร แต่ตรวจการนับหายใจอย่างเดียว ซึ่งไม่ตรงกับใบรายงานอาการคนไข้ที่ระบุว่าเวลา ๒ นาฬิกาของวันที่ ๒๕ ผู้ตายมีอาการกระสับกระส่ายนี้นางสาวกุหลาบพยานโจทก์ก็ให้การยืนยันไว้ จึงทำให้คำเบิกความของจำเลยที่ ๔ นั้นขัดกับใบรายงานอาการคนไข้ ไม่น่าเชื่อถือ เชื่อว่าใบรายงานคนไข้นั้นทำขึ้นตรงความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๔ เมื่อจำเลยที่ ๔พบว่าผู้ตายมีอาการกระสับกระส่าย โดยวิชาชีพพยาบาลย่อมรู้ทันทีว่าก่อนหน้านี้ผู้ตายเจ็บป่วยมีอาการเช่นไรและ ได้รับยาอะไรเข้าสู่ร่างกายไปป้าง เมื่อเห็นผิดปกติเช่นนี้ตามวิชาชีพพยาบาลจะต้องแจ้งให้แพทย์เจ้าของไข้หรือผ ู้บริหารของจำเลยที่ ๕ ทราบทันทีเพื่อหาทางรักษาหรือเยียวยาให้ถูกต้องแต่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๔ ไม่ได้แจ้งให้ผู้มีอำนาจหรือแพทย์เจ้าของไข้ทราบจึงถือได้ว่าจำเลยที่ ๔ มิได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเช่นพยาบาลผู้มีวิชาชีพอันพึงมีตามวิสัยและพฤติ การณ์จำเลยที่ ๔ จึงมีความผิดตามฟ้อง อนึ่ง การที่ทางฝ่ายจำเลยต้องการชันสูตรพลิกศพเพื่อหาเหตุแห่งการตายก็เป็น คนละขั้นตอนกับหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ในขณะที่ผู้ตายยังเจ็บป่วยอยู่ในความดูแลของจำเลย แม้จะหาสาเหตุแห่งการตายได้ก็ไม่อาจปฏิเสธ หน้าที่ของแพทย์และพยาบาลได้ตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป สำหรับจำเลยที่ ๕ นั้นเป็นนิติบุคคล โจทก์มิได้นำสืบหรือนำพยานหลักฐานใดยืนยันว่าจำเลยที่ ๕ มีส่วนประมาทเพียงใดหรือใช้วิธีการอย่างใด เพียงแต่จำเลยที่ ๕ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ เท่านั้น ซึ่งเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวความผิดรับผิดในทางแพ่ง จำเลยที่ ๕ จึงไม่จำต้องรับโทษในทางอาญา อนึ่ง ส่วนที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๗ล ๓๐๘ ฐานทอดทิ้งคนป่วยเจ็บจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ศาลเห็นว่า จำเลยมีเจตนาจงใจทอดทิ้งอย่างไร เมื่อโจทก์ไม่นำพยานมาสืบทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ในขอหานี้ไม่มีน้ำหนักรับ ฟัง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลยอีกต่อไป ทั้งความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยสภาพของการกระทำผิด ไม่อาจมีตัวการร่วมกระทำความผิดได้ พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๑ ฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ คนละ ๔ ปี เมื่อพิเคราะห์ความรับผิดของจำเลยที่ ๔ ซึ่งน้อยกว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงให้จำคุกจำเลยที่ ๔ มีกำหนด ๑ ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ส่วนที่ ๓ และที่ ๕ ให้ยกฟ้อง
|
|