« เมื่อ: 12/19/07 เวลา 21:53:42 » |
|
เมื่อแพทย์รัฐปฏิบัติหน้าที่ราชการ ในสถานพยาบาลของรัฐ ต้องติดคุก..เกิดผลกระทบใดบ้าง? 1. ถูกถอดใบประกอบโรคศิลป์หลังคดีสิ้นสุด สูญเสียวิชาชีพแพทย์ อาจตราบชั่วชีวิต 2. ครอบครัวแพทย์เสียหาย และผู้ที่ถูกดูแลต้องเสียหายล่มสลายไปด้วย จากการขาดเสาหลักครอบครัว 3. รัฐบาลขาดแรงงานที่ดูแลประชาชนในด้านสาธารณสุขทันที 1 คน และที่เหลือขวัญเสียอีกจำนวนมาก หากเป็นการจำคุกในคดีที่เกิดจากทำงานปกติในหน้าที่ 4. ประชาชนในชนบทเสียหาย เพราะเสียโอกาสอย่างมาก (หากแพทย์ท่านนั้นยังคงดูแลคนไข้อื่นๆได้เป็นอย่างดี ไม่มีพฤติกรรมใดๆที่จะเป็นอาชญากรไปทำร้ายผู้คนจนเด่นชัด และเป็นความพลาดจากการช่วยชีวิตในขอบเขตการบริการปกติท่ามกลางความขาดแคลนขอ งภาครัฐ ) แพทย์ในภาครัฐ *ของ รพ.ชุมชน หากทำงานปกติ ตรวจคนไข้ 80-200 คนต่อวัน (คิดที่ 50-100คน/วัน) จำนวน 250 วันทำการต่อปี จะขาดผู้ทำงานให้กับรัฐ โดยคนไข้ที่ได้รับการบริการหายไป 12,500-25,000 ราย ต่อปี หากมีเวลาเหลือ ที่จะตรวจคนไข้อีก 10 ปี โดยแพทย์ทำงานบริการ ก่อนไปทำงานบริหาร จะเสียโอกาส ของคนไข้อีกได้ถึง 250.000 คน ** โดยต้องให้แพทย์ท่านอื่นรับภาระแทน* หากเป็นผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัด ที่ผ่าตัดวันละ1 รายปีละ 250 ราย อีก10 ปี จะมีผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการผ่าตัดช่วยชีวิตจากแพทย์ท่านนี้ 2,500 คน *ที่ต้องให้แพทย์ท่านอื่นทำแทนหรือส่งตัวไป โรงพยาบาล อื่นที่ไกลออกไป หากแพทย์รัฐท่านนี้ทำงานมาแล้ว ในแต่ละ 1ปี ท่านจะช่วยชีวิตคนในชนบท (26 ล้านคน)จากการตรวจ ไม่น้อยกว่า 1-25,000 รายต่อปีไม่รวมที่ควรจะผ่าตัด อยู่เวร ทำคลอด อีกจำนวนมาก **คนที่ได้รับการบริการเหล่านี้ในชุมชนนั้น**มีตัวตนจริงต้องเสียโอกาส 5. แพทย์ กว่า 2,700 คนในชนบท ที่ยังขาดแคลนแพทย์(ตามข้อมูลสาธารณสุข อีกกว่า 1,700 คน) ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด **เกิดการปรับตัว เพื่อป้องกันหายนะต่อชีวิต ครอบครัว และศักดิ์ศรี ยิ่งกว่าเหตุการณ์ใดๆ** เข้าสู่สภาวะที่ต้องการความปลอดภัยในชีวิต ตามหลัก Maslows* ขั้นที่ 2 ความต้องการความ มั่นคงปลอดภัย (Safety and Security Needs) จะเกิดผลกระทบที่แพทยสภาไม่ต้องการให้เกิดเพราะประชาชนจะเสียหายได้แก่.. แพทย์จำเป็นต้องพิจารณาความเสี่ยงในการทำงานทุกครั้ง เพราะ ความช่วยเหลือจากแหล่งต่างๆไม่ชัดเจน แม้เป็นบุคคลของรัฐทำผิดพลาดในหน้าที่ของรัฐ ในสถานที่ตามเวลาทำงาน (ตำรวจ-ทหารมีการคุ้มครอง) ย่อมเลือกสิ่งที่ สังคม คิดว่าดีที่สุดให้คนไข้ ไปรับการรักษาในที่เข้าใจว่า ดีที่สุด (ที่เป็นไปได้ยากจากหลายข้อจำกัด) แต่สังคมเป็นผู้ตีกรอบให้ จะทำให้การตาย การสูญเสีย ต้นทุนการเดินทางเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และการตายมากขึ้นจากการรักษาได้ช้าลง เพราะรอผู้เชี่ยวชาญที่มีน้อยกว่ามาก*และไม่เป็นจริงในสภาวะสังคมไทย ที่เศรษฐกิจพอเพียง แพทย์จำต้องเลือกที่ตนเองปลอดภัยมากกว่า การตัดสินใจที่น่าเป็นห่วงคือการออกจากระบบรัฐ เนื่องจากรู้สึกว่า รัฐปกป้องการทำงานปกติของตนไม่ได้ ทั้งที่ทำงานหนัก อยู่เวรต่อเนื่องมิได้หยุดพัก 24+8 = 32 ชม.วันรุ่งขึ้นต้องทำงานต่อเนื่อง และไม่ได้วันชดเชย โดยค่าเวรน้อยมากเมื่อเทียบกับความรับผิดชอบ(ในอดีตไม่มีค่าเวร) การรับรายได้ตอบแทน 9,300 บาทเมื่อจบแพทย์ หรือ 12,000 บาทเมื่อจบผู้เชี่ยวชาญ ไม่เพียงพอต่อการต่อสู้คดี หรือใกล้กับค่าตอบแทนเมื่อเกิดการเสียหาย แม้จะค่าเวร เงินเพิ่มต่างๆ ยังห่างจาก ภาคเอกชนเป็น10เท่า และภาระงานก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน เราจะเสียแพทย์ออกนอกระบบ มากขึ้น ส่วนหนึ่งไปต่างประเทศ(ที่ไม่มีอาญา) ส่วนหนึ่งไปอยู่งานวิชาการ และบริหาร (เลิกรักษาผู้ป่วย) ส่วนหนึ่งไปประกอบอาชีพอื่นๆ และกลุ่มสุดท้ายย้ายไปทำงานในภาคเอกชนโดย แพทยสภาไม่ประสงค์เช่นนั้น ประชาชนในชนบทยังต้องการการรักษาพยาบาล เช่นเดียวกัน หากความกลัวขับไล่หมอออกไปจะไม่สามารถหาคนมาทดแทนได้โดยง่าย แพทย์ที่เหลือย่อมงานหนัก ความเสี่ยงสูง เพราะทำงานอยู่บนความเป็นความตายมนุษย์ หากแพทย์ไม่สามารถช่วยเหลือได้ ก็อาจกลายเป็นฆาตกร ที่ต้องถูกสวมกุญแจมือและจองจำ เดินทางเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ได้โดยง่าย และอาจลาออกในที่สุด นำไปสู่การล่มสลายระบบการสาธารณสุขของรัฐ ทำให้ภาคเอกชนเติบโตในสัดส่วนที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ..ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการรัฐสวัสดิการมากกว่า 6. ผลกระทบระยะยาวแพทย์จะไม่ได้รับการสนใจจากเด็กรุ่นใหม่ที่เก่งระดับต้นๆในกา รศึกษาต่อเช่นเดิม ทั้งที่เป็นวิชาชีพที่เข้ามาดูแลทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จะต้องภาวะขาดแคลนมากขึ้นไปอีก เช่นในอังกฤษ อเมริกา ซึ่งต้องนำเข้าจากประเทศอื่นๆ กระทรวงสาธารณสุขในอนาคต ต้องใช้งบประมาณการจ้างมากเท่าไรจึงเพียงพอ...และหากแพทย์ที่เป็นวิชาซับซ้อ น มีผู้เรียนที่มีความสามารถลดลง ย่อมมีโอกาสเกิด Human error ได้มากขึ้นอีก วัฐจักรนี้เมื่อเริ่มแล้ว..จะหยุดวงล้ออย่างไร.. ประเทศชาติ และประชาชนจะกลายเป็นผู้สูญเสีย ในท้ายที่สุด.. ------------------------------------------------------------------------ -------------- *กรณีอยู่ในศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์และคดียังไม่สิ้นสุด ยังยึดใบประกอบโรคศิลป์ไม่ได้ *ตาม พรบ.วิชาชีพเวชกรรม 2525 ต้องคดีถึงที่สิ้นสุด **แนวความคิดนี้เป็นของมาสโลว์ (Maslow) ที่ได้อธิบายถึงลำดับความต้องการของมนุษย์ โดยที่ความต้องการจะเป็น ตัวกระตุ้นให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมเพื่อไปสู่ความต้องการ โดยแบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ขั้นเรียงตามลำดับ ดังนี้ ขั้นที่ 1 ความต้องการทางกาย (Physiological Needs) ความต้องการปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต ขั้นที่ 2 ความต้องการความ มั่นคงปลอดภัย (Safety and Security Needs) ขั้นที่ 3 ความต้องการความรักและการเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม (Love and Belonging Needs) ขั้นที่ 4 ความต้องการได้ รับการยกย่องจากผู้อื่น (Self -Esteem Needs) ขึ้นที่ 5 ความต้องการในการเข้าใจและรู้จักตนเอง (Self-Actualization Needs) มาสโลว์ได้กล่าวเน้นว่า ความต้องการต่าง ๆ เหล่านี้ต้องเกิดเป็นลำดับขั้น และจะไม่มีการข้ามขั้น ถ้าขั้นที่ 1 ไม่ได้รับการตอบสนอง ความต้องการในลำดับขั้นที่ 2-5 ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ การตอบสนองที่ได้รับในแต่ละขั้นไม่เป็นต้องได้รับทั้ง 100% แต่ต้องได้รับบ้างเพื่อจะได้เป็นบันไดนำไปสู่การพัฒนาความต้องการในระดับที่ สูงขึ้นในลำดับขั้นต่อไป -------------------------
|
|