Topic Summary
|
จากคุณ: Alabamian |
โพสเมื่อวันที่: 02/12/23 เวลา 12:40:45 |
เกริ่นก่อนว่า ผมเป็นแพทย์จบจากสถาบัน Top3 เป็นคนกรุงเทพฯ ตอนเรียนแพทย์ก็มีความหวังว่าจะเรียนต่อเฉพาะทาง แต่พอจบมาแล้ว ก็พบว่าการเรียนต่อเฉพาะทางนั้นยาก และมีข้อกำหนดผูกมัดที่บีบพวกเราจนเกินไป ตั้งแต่การไปขอทุนมาเรียนต่อ ซึ่งสาขาที่ผมต้องการต่อหาทุนใกล้ๆกรุงเทพได้ยากมาก และถ้าหากขอทุนมาก็ยังต้องไปใช้ทุนต่างจังหวัดอีก 3-5 ปี และสถานการณ์ที่ตอนนี้ตลาดแรงงานของแพทย์ล้นตลาด ทำให้ในความคิดผมการเรียนต่อเฉพาะทางดูเป็นหนทางที่ไม่ค่อยจะสดใสนัก ผมมีความคิดว่าการเรียนต่อเฉพาะทางในสมัยนี้อาจไม่มีทางเลือกที่ดีสำหรับใคร หลายๆคน เนื่องจากข้อกำหนดทางแพทย์สภาที่"บีบ"แพทย์ที่จะเรียนต่อเฉพาะทางมากจนเกินไ ป รับ Free train ในแต่ละปีน้อยมากต้องการให้แพทย์กระจายไปยังต่างจังหวัด โดยที่ไม่ได้พัฒนาต่างจังหวัด ให้มีความน่าไปใช้ชีวิต ปัจจุบันมีทางเลือกอีกมากมายสำหรับแพทย์จบใหม่ นอกจากการไปต่อเฉพาะทาง เช่น Aesthetics, Antiaging, GP, หรือเปลี่ยนสายไปอาชีพอื่นที่เราอาจได้ใช้การแพทย์เป็นข้อได้เปรียบ ฯลฯ เพื่อนๆมีความเห็นว่ายังไงกับการเรียนต่อเฉพาะทาง ผมควรเลือกไปเรียนต่อเฉพาะทางหรือไม่ ขอคำแนะนำหน่อยครับ
|
จากคุณ: pipolulu |
โพสเมื่อวันที่: 02/12/23 เวลา 20:12:30 |
ถ้ายังอยาก practice ทางการแพทย์อยู่, อยากทำงาน รพ. ยังไงก็ควรจะมี board ครับ GP ใน กทม หางานยากครับ
|
จากคุณ: blitzs |
โพสเมื่อวันที่: 02/15/23 เวลา 11:56:37 |
มันดีสิ ถ้า เรียนแล้ว ใช้ทุนแล้ว ลาออกไปอยู่ รพ.เอกชน รายได้ดี มีโอกาศใกล้ กทม. เอกชนดีๆเค้าไม่รับ GP อะเนาะ ส่วนถ้าจะเลือกสายความงาม ระยะสั้นดีแน่ๆ และง่ายกว่าไปเรียนเฉพาะทางเยอะ
|
จากคุณ: Sucrea |
โพสเมื่อวันที่: 02/16/23 เวลา 13:42:38 |
ขึ้นกับว่าถามใคร ถ้าถามสตาฟวัย 50+ แน่นอนว่าคำตอบคือต้องเรียน resident เท่านั้นถึงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะในยุคนั้น พวก cosmetic ยังไม่บูมขนาดนี้ และหมอจบ specialist มาเป็นที่ต้องการตัวมาก แต่ถ้าถามสตาฟวัยน้อยกว่า 40 ลงมา คำตอบจะเปลี่ยนไป เพราะเป็นยุคที่ cosmetic เริ่มบูมแล้ว สวนทางกับตำแหน่ง specialist ในโรงพยาบาลเอกชนเริ่มเต็ม หลายคนจบ resident แต่ต้องผันตัวไปทำ cosmetic ก็เยอะ เพราะเวรดีๆในเอกชนถูกสตาฟวัย 50+ ยึดหัวหาดไว้หมดแล้ว ถ้าอยากอยู่ รพ เอกชน กลางกรุง บอกเลยว่าคนจบพวก MS skin หรือ antiaging ยังดูมีตำแหน่งว่างมากกว่า specialist หลายสาขา ไม่นับคลินิกต่างๆในกรุงเทพฯ ที่หาหมอ cosmetic กันจ้าละหวั่น บางคนคิดเอาเองว่าทำ cosmetic ไม่ยั่งยืน แต่จากที่สัมผัสมา ไม่มีใครที่ไปทำ cosmetic เต็มตัวแล้วบอกว่าผิดหวังนะ แต่คนเรียน resident แล้วบอกว่าผิดหวังเนี่ย มีเยอะมาก
|
จากคุณ: Pola |
โพสเมื่อวันที่: 02/18/23 เวลา 16:00:52 |
ปัจจุบันแพทย์ที่จบหลากหลายสถาบันมากอนาคตคงปีละ3500คนแน่ๆ แต่ตำแหน่งงานดีๆมีจำกัด ถ้าในกรุงเทพหรือรอบๆคือเต็มหมดแล้วในรพ สังกัดกทม ดีๆหรือเอกชนเงินสด การันตีคือเงินที่ให้1-2ปี พอหมดคือหมดเลย หลายคนเงินเดือนเหลือ7-8หมื่น ถ้ามองในแง่สวัสดิการไม่มีแบบรัฐ อยู่เป็นGPรพช ยังอาจจะดีกว่าได้อายุราชการครบ25ปีก็ออกได้เป็นบำนาญละ แต่ถ้าชอบวงการศึกษา ได้ updateความรู้ เรียนต่อดีกว่าอยู่แล้วแต่ผลลัพธ์อาจจะไม่เป็นอย่างที่หวังครับ ปล ช่วงเรียนบางสาขาบางสถาบันเครียดมากจนoff trainเป็นระยะๆหาข้อมูลดีๆครับ ถ้ามองแค่เเง่เงิน เก็บตังช่วงที่เพื่อนเทรนกว่าจะจบsubboard ผมว่าเกิน10m ครับถ้าไม่ใช่สาขาสายหัตถการ ไปเรียนคงไม้คุ้มครับ
|
จากคุณ: simath |
โพสเมื่อวันที่: 02/19/23 เวลา 18:48:27 |
สมัยก่อนคนชอบมองว่า GP ทำความงามไม่มั่นคง เป็น specialist ดีกว่าเยอะ แต่จากสภาพในปัจจุบันไม่เป็นแบบนั้น - คนที่ไม่เรียนต่อแล้วเลือกไปทำสายความงามเต็มตัวตั้งแต่อายุ 25 ตอนอายุ 35 มีเงินเก็บหลักสิบล้าน บางคนมีคลินิกเป็นของตัวเองที่ทำกำไรหลักล้านต่อเดือน จ้างหมอรุ่นน้องมาทำอีกที ส่วนตัวเองก็ลอยตัวแล้ว ต่อให้ไม่ทำงานเลยก็มีกินมีใช้จนแก่ - คนเลือกเรียนต่อ ตอนอายุ 35 เพิ่งจบ subboard เซิ้งอยู่ในโรงพยาบาลรัฐ รอรับบำนาญตอนแก่ ราชการมันดีตรงมั่นคง การันตีว่าเราจะได้เงินอย่างน้อยเดือนละ 50-70k ไปจนแก่แน่นอน แต่ถ้าออกไปแล้วมีหนทางที่จะได้มากกว่านั้น สามารถเกษียณได้ก่อนเป็นสิบปี อันนี้ก็น่าคิด ว่าแบบไหนกันแน่ที่ถือว่ามั่นคงกว่า สิ่งที่ไม่มั่นคงตอนนี้คือ specialist เอกชน เพราะงานหายาก คนจบมาแย่งงานกันเยอะ แต่ถ้าความงามยังมีเวลาทำเงินอีกนาน
|
จากคุณ: luzeus |
โพสเมื่อวันที่: 02/23/23 เวลา 09:38:59 |
specialist เอกชน ในกทม. หางานยาก ละฮะ มีเจ้าถิ่นหมดแล้ว มีน้อย ใช้น้อย ค่อยบรรจง
|
จากคุณ: Sucrea |
โพสเมื่อวันที่: 02/24/23 เวลา 21:27:27 |
Specialist เอกชน งานหายาก โดนดีดออกง่าย ถ้าว่ากันตามตรง คนเปิดคลินิกเสริมความงามยังจะดูมั่นคงกว่าอีก โดยเฉพาะ specialist สาขาที่ล้นตลาดหนักๆ คือพวก eye ent ortho xray ควรหลีกหนีไปให้ไกล สาขาที่ยังพอจะบอกได้ว่ามั่นคง ก็คือสาขาที่ยังมีความต้องการของตลาดอีกมาก และหมอไม่น่าจะล้นง่ายๆ ก็คือพวก เมด ศัลย์ นิวโร จิตเวช พวกนี้ยังหางานง่ายอยู่
|
จากคุณ: Hybrid VI |
โพสเมื่อวันที่: 02/27/23 เวลา 23:21:51 |
ก็ปัญหาของระบบ สธ.ของประเทศในตอนนี้ คือ ปัญหาการกระจายของแพทย์ไงครับ กระทรวงก็เลยอยากจะให้แพทย์เฉพาะทางกระจายไปทำงานที่ส่วนภูมิภาคมากกว่าจะมา กระจุกในกรุงเทพ และปริมณฑล การเขียนข้อกำหนดให้ลดการรับ free train แล้วรับคนที่มีทุนมากขึ้น ก็เป็นข้อกำหนดหนึ่ง (ถึงแม้ว่าเรียนจบไปจะเบี้ยวทุนอยู่ดีก็เถอะ)
|
จากคุณ: Innominate |
โพสเมื่อวันที่: 03/01/23 เวลา 18:50:11 |
เรียนต่อเพราะต้องการอยู่กทม. เรียนต่อเพราะอยากเป็นหมอด้านนั้น
|
จากคุณ: Dr._Panya |
โพสเมื่อวันที่: 03/17/23 เวลา 18:19:19 |
ปัจจุบัน แพทย์จบใหม่ ถ้าคิดจะทำงานใน รพ.เอกชนชั้นนำ ในกทม. ท่าจะยากครับ เพราะว่า อาจารย์โรงเรียนแพทย์เอาไปกินหมด ทั้งประเภท PT ที่จะเป็นอาจารย์จาก โรงเรียนแพทย์มาทำตอนเลิกงาน/ วันหยุด รึ ประเภท FT ที่จะเป็นอดีตอาจารย์โรงเรียนแพทย์ ลาออกจากราชการมาทำเต็มตัว รึ มาทำตอนเกษียณแล้ว และหลายๆอาจารย์ทำงานที่ รพ. เอกชน(ทั้งประเภท PT+ FT) จนอายุ 70+ ปีก็มี (อ้างว่าตัวเอง "ยิ่งแก่ ก็ยิ่งเก๋า" ผู้บริหาร รพ.เอกชนก็ไม่กล้าเชิญออก จนกว่า จะปลดระวางตัวเอง) อิ อิ อิ
|
จากคุณ: Dr._Panya |
โพสเมื่อวันที่: 04/01/23 เวลา 09:15:52 |
แต่ผมว่า ถ้าเรียนจบแพทย์แล้ว ก็ควรจะเรียนต่อเฉพาะทาง ดีกว่า ยิ่งถ้าไม่มีปัญหาเรื่องสตุ้งสตางค์ แล้วยิ่งดี คือสามารถเลือกเรียนในสาขาที่เราอยากเรียนจริงๆ โดยไม่ต้องเอาเรื่องเงิน/ เรื่องงาน เป็นที่ตั้ง เช่น บางคนอาจจะเลือกเรียน Psychi, Patho, Onco , etc. ครับ
|
จากคุณ: yokp |
โพสเมื่อวันที่: 08/13/23 เวลา 00:08:23 |
ขึ้นอยู่กับว่าต้องการอะไรนะ ถ้ายังอยาก practice รักษาคน แนะนำเรียนต่อดีกว่า ชีวิตดีขึ้นเยอะ ภาระงานเหนื่อยลดลง ไม่จับฉ่าย มีเวลาหยุดเสาร์อาทิตย์ ทำงานมี quality มากกว่า quantity ถ้าไม่ชอบรักษาคนไข้ก็อาจจะเป็นสาขาสบายๆหน่อยประเภทไม่ต้องอยู่เวรชีวิตก็ด ีขึ้นแล้ว แต่เงินอาจจะไม่ได้เยอะขึ้นนะ ก็พอพอเดิมถ้าทำงานรพรัฐ น้องเรียนจบสถาบัน Top 3 ยิ่งขอทุนมายังไงก็ได้เรียน พี่บ้านอยู่กทม. เหมือนกัน เชื่อไหมตอนหาทุนยากกว่าตอนสัมภาษณ์เรียนอีก คิดถึงตอนนั้นแล้วเหนื่อย (ปล. หารอบกทมเหมือนกัน) เอาจริงเรื่องการหาทุนเค้าแทบไม่ดูสถาบันหรือเกรดที่จบมาเลยสังเกตว่าเค้าเล ือกจาก 1. เส้น 2. คนที่เคยใช้ทุนในรพ. นั้นได้สิทธิ์ก่อน 3. คนที่บ้านอยู่จังหวัดนั้น หรือ way สุดท้ายคือตัดใจ free train ถ้าจะเรียนสถาบันเดิมที่จบมาแนะนำว่าลองไปคุยกับอาจารย์ post grad ที่ทำหน้าที่รับว่า profile ประมาณเราโอกาส freetrain เป็นไปได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็สถาบันรอง อันนี้คือข้อดีจบมาไม่ติดภาระผูกพันทุนใดใด ไปสมัครรพไหนที่ไหนก็ได้
|