หน้าแรกเว็บบอร์ด หน้าแรกเว็บบอร์ด
   For MD.
   Doctor Room l ห้องพักแพทย์
   Post reply ( Re: ขออนุญาตสอบถามการเปิดคลินิกเวชกรรม )
ขอเชิญเพื่อนแพทย์พูดคุย แสดงความคิดเห็นครับ
หัวข้อ:
ใส่ชื่อ:
Email:
Add YABBC tags:
Add Smileys: <more...>
ข้อความ:

Disable Smilies




Topic Summary
จากคุณ: internintern โพสเมื่อวันที่: 08/10/22 เวลา 13:12:05
พอดีสนใจจะเปิดคลินิก gp ที่ต่างจังหวัดค่ะ
1. ไม่ทราบว่างบทั้งยาและตกแต่งสถานที่ให้ผ่านเกณฑ์ประเมิน ประมาณเท่าไหร่คะ
2. อุปกรณ์ช่วยชีวิต ยา และอุปกรณ์อื่นๆที่ต้องอยู่ในเกณฑ์ ปกติพี่ๆยืมมาตั้งเพื่อตรวจ หรือจัดซื้อเลยคะ (พอดีว่าหนูคิดว่าหาก emer จะแนะนำให้คนไข้ไป รพ เลยค่ะ และไม่ทราบว่าต้องมี ekg defib ไหมคะ)
3. จำเป็นต้องจ้างเภสัชหรือพยาบาลเพื่อช่วยงานไหมคะ 4. อุปกรณ์การแพทย์ที่ต้องนึ่ง ต้ม และการกำจัดขยะติดเชื้อจำเป็นต้องจัดหาเครื่องหรือส่งให้บริษัทข้างนอกคะ
5. หากจะส่งแลป ผลเลือด ปกติต้องจ้างเทคนิคการแพทย์มานั่งหรือซื้อเครื่องมือเองไหมคะ หรือส่งเลือดให้คลินิกเทคนิคการแพทย์ต่อ
 
ขอบคุณค่ะ
จากคุณ: พุฝอยสาหร่าย โพสเมื่อวันที่: 08/24/22 เวลา 19:09:33
คำถามแรกง่ายๆ  
1. จะเปิดคลินิกทำไมครับ?  
- ถ้าอยากสนุก เรียนรู้งานใหม่ๆ ลองทำธุรกิจเล็กๆ ก็ทำเลย ไม่ต้องคิดมาก
- ถ้าหวังจะรวย ไปทำงานอย่างอื่นรวยกว่าครับ รับงานพาร์ททามก็รวยได้ครับ
 อย่าลืมว่าธุรกิจมีต้นทุนเป็นค่าใช้จ่ายครับ แต่งานพาร์ททาม ก็แค่ลงแรง
- คนที่มัวแต่คิด ก็ไม่ได้เปิดร้านซะทีครับ
---ถามได้หลังไมค์ครับ เปิดมาห้าปีแล้วครับ สนุกดี
กลัวทำไมกับคู่แข่ง...เราไม่เก่งพอเหรอ?
ถ้าไม่มั่นใจว่าเราดีพอสู้เขาได้ ก็อย่าเปิดคลินิกครับ
ไปรับงานพาร์ททามในโรงพยาบาลเอาครับ.
คลินิกก็เหมือนธุรกิจค้าขาย เพียงแต่เรามีคุณธรรมทางการแพทย์
ลูกค้ามาเยอะ ไม่สำคัญเท่าลูกค้ากลับมาครับ
คนไข้มาคลินิก มีง่ายๆ2กลุ่ม
1. ศรัทธาหมอ
รักหมอคนนี้ ชอบหมอ ชอบบุคลิก ชอบการรักษา หมอเก่ง...
เขามาเพราะต้องการเจอหมอคนนี้  
ต้องเป็นอาจารย์หมอเหรอ ...ไม่จำเป็นครับ
อาจารย์หมอด่าคนไข้ พูดจาไม่สุภาพ ไม่จับ ไม่ตรวจ
คนไข้ก็ไม่ศรัทธาก็มีครับ   หมอจีพีอัธยาศัยดีรักษาเก่ง
คนศรัทธา เขาก็กลับมาครับ...
 
2. คนไข้ที่ต้องการความเร็ว
เช่น มาขอใบขับขี่ เขาไม่สนใจว่าหมอคนไหน ขอให้เร็วก็พอ
ก็ย้อนกลับไปข้อ1 ครับ ถ้าเราทำให้ลูกค้าคนนี้ประทับใจ  
เดี๋ยวญาติเขาป่วย เขาก็กลับมาหาเรา
ถ้าเราทำไม่ได้ เขาก็ไม่มาอีกเลยครับ
 
สรุปว่า สร้างแบรนด์ให้กับตัวเองครับ
ถ้าไม่มั่นใจว่าเราทำได้ อย่าเปิดคลินิกครับ  
ไปรับจ้างเขาทำดีกว่าครับ
 
ทำเลสำคัญที่สุด...
อันนี้ผมว่าอาจไม่จริงครับ ดูเงินในกระเป๋าด้วยครับ
ถ้ามีสัก100ล้าน เปิดคลินิกในห้าง ในสนามบินเลยครับ
แต่ถ้ามีงบแค่สองแสน ก็หาทำเลที่ไม่ขี้เหร่ก็พอครับ
.
หลักง่ายๆ ใครๆก็รู้เรื่องทำเล  
-ใกล้ตลาด มีที่จอดรถ ติดถนน คู่แข่งน้อย  
แต่ถามจริง มันมีเหลือไหมครับ? เงินเรามีแค่ไหน
.
กลับไปคำถามเดิม เราจะเปิดคลินิกเพื่ออะไร
เราคิดว่าเราเก่งพอไหม ทำอย่างไรให้ลูกค้าศรัทธาเราแล้วกลับมาครับ
สิ่งนี้สำคัญกว่าทำเล.
เคยนั่งรถแสวงหาร้านก๋วยเตี๋ยวในหลีบในซอยไหมครับ
เพราะมันอร่อยไง หรือร้านชื่อดังในติ๊กตอก เป็นต้น
สิ่งนี้มากกว่าทำเลครับ...
แต่คลินิก คือ เขาฝากชีวิตไว้กับเราครับ  เราเป็นมากกว่าร้านอาหารครับ
ถ้าเราช่วยชีวิตเขาได้ เขาจะศรัทธาเรา บอกต่อ และมากลับมาหาเราครับ
.
ส่วนร้านก๋วยเตี๋ยว เดี๋ยวเขาก็ไปหาร้านอร่อยที่อื่นกินครับ
 
คิดจะรวยเมื่อไหร?
คลินิกใช้เวลาในการเติบโตครับ ไม่รวยเร็วหวือหวา
แต่ถ้าลูกค้าติดเรา  กินกันยาวเลยครับ...
เลยถามว่าเรานิ่งแค่ไหน  เงินเราเย็นแค่ไหน
เรามั่นใจว่าเราเก่งแค่ไหน
ถ้าไม่แน่ใจ อย่าทำครับ ไปรับงานพาร์ททามดีกว่าครับ
.
เปิดคลินิกก็เหมือนแต่งงาน เราเลือกคนที่เรารัก
เราก็ดูแลให้ถึงฝั่ง ไม่ใช่ทิ้งๆขว้างๆ
.
เรามีเงินพอ มีเวลาพอ เราถึงไปแต่งกับเขาครับ
ไม่งั้นก็ลำบาก
.
เรามีเงินพอเปิดร้านในฝันหรือยัง อยากให้ใหญ่โตแค่ไหน
เก็บเงินก่อนไหม ถ้าฝันยังไม่พอครับ
.
ถ้าคิดจะเปิดร้านแล้ว ก็ปักหลักนานเลยครับ
ไม่ใช่เปิดหกเดือนแล้วปิดร้าน
ก็เหมือนคู่รักครับ เราคงไม่แต่งกับเขาแค่หกเดือนแล้วก็หย่ากัน
พร้อมไหมที่จะแต่งงานกับคลินิก
ถ้ารักอิสระ ไปเรียนต่อครับ ไปรับงานพาร์ททาม อย่าเปิดร้านครับ
.
รอจนกว่าเราจะพร้อมครับ
.
เมื่อเรารู้ว่าเราพร้อม เราแทบจะไม่ถามคำถามเหล่านี้เลยครับ
มีแต่ใจที่กล้าจะเสี่ยง กล้าจะลุย กล้าจะฝ่าทุกอุปสรรค
ขอให้โชคดีครับ
จากคุณ: พุฝอยสาหร่าย โพสเมื่อวันที่: 08/24/22 เวลา 19:09:51
***ผมเคยเขียนบทความยาวๆไว้ครับ เผื่ออยากอ่าน***
สวัสดีครับ อาจารย์ครับ ผมเปิดคลินิกทั่วไปครับ
ผมเคยเขียนความเห็นในกระทู้เก่าๆครับ เลยขอมาแชร์ครับ
ไม่แน่ใจจะเป็นประโยชน์บ้างไหมครับ
 
************************************
การเปิดคลินิก ก็เป็นการทำธุรกิจแบบนึงครับ ไม่ใช่แบบโรงพยาบาลรัฐที่จะเป็นสวัสดิการให้กับคนไข้ เพราะการทำธุรกิจก็มีต้นทุน คิอว่าเงินงบเรามีแค่ไหนที่จะลงทุนกับคลินิกเราครับ
 
ก่อนอื่นผมว่ากำหนดงบที่เรามีก่อนครับ ปกติเปิดร้านลงทุน3แสนถึง1ล้านขึ้นไปครับ  ขึ้นกับว่าเรามีงบประมาณแค่ไหน ถ้าเรารวยอยู่แล้ว ตกแต่งร้านให้สวยเลิศ ลงทุนเป็นล้านแบบคลินิกสกินก็ได้ครับ แต่ถ้างบน้อยๆ สามแสนก็อยู่แล้วครับ ซึ่งงบจะเป็นตัวกำหนดขนาดของคลินิก และบริการเองครับว่าเราจะตรวจรักษาทำได้แค่ไหน. เราปฏิเสธคนไข้ได้นะครับ ไม่ได้แปลว่าเราไม่ตรวจเขานะ เช่น เราไม่มีเครื่องตรวจเลือด หากเราสงสัยdengue เราก็ปฏิเสธคนไข้ได้ คือ เราบอกให้เขาไปโรงพยาบาลดีกว่า. ก็คือเราตรวจเหมือนกัน แต่เรามีงบลงทุนจำกัด เราไม่ดูแลคนไข้บางคนที่เราไม่มีอุปกรณ์หรือศักยภาพจะดูแลได้ครับ ซึ่งคนไข้เขาก็โอเคครับ. เขามาคลินิกเขาไม่ได้คาดหวังจะได้ทุกอย่างแบบโรงพยาบาล.  
 
คลินิกไม่จำเป็นต้องให้น้ำเกลือ หรือฉีดยาเข้าเส้นเลือด หรืออื่นๆก็ได้. ถ้าเราคิดว่าคลินิกเราไม่พร้อม.  ซึ่งต่างกับโรงพยาบาลที่ควรรักษาหรือดูแลจัดการได้ทุกโรค ก็เพราะโรงพยาบาลมีรัฐสนับสนุนงบ หรือเอกชนมีนายทุนใหญ่ครับ. คลินิกมีแต่เราคนเดียว มีเงินแค่ไหน ก็ทำแค่นั้นครับ
 
เราต้องคิดก่อนว่าเราอยากให้คลินิกเราใหญ่แค่ไหน. จะเอาเล็กๆ แบบให้ยากินอย่างเดียว ตรวจโรคง่ายๆ ไข้หวัด ใบรับรองแพทย์.  จะฉีดยาไหม? หรือจะให้น้ำเกลือไหม หรือจะทำคลืนิกขนาดกลาง มีเครื่องเอกซเรย์ ? แล้วงบเรามีแค่ไหนล่ะ?
ของผมเริ่มด้วยงบ3แสนครับ ค่าตกแต่งและเครื่องมือ รวมค่ายาทั้งหมด ซื้อยาไม่มากครับ. แล้วเอากำไรที่ได้มาต่อยอดซื้อยาเพื่มเรื่อยๆ ลงทุนยา แล้วเอากำไรมาซื้อเครื่องอัลตราซาวด์ครับมือสอง
 
ช่วงแรกๆแทบไม่มีกำไรเป็นเงินเลยครับ เพราะหมดไปกับลงทุนซื้อยา แบบเงินต่อเงิน แต่ข้อดีคือไม่ต้องควักเงินส่วนตัวมาใช้กับธุรกิจ
 
ธุรกิจต้องลดต้นทุนให้มากที่สุด แต่ยังคงคุณภาพครับ. ยาเป็นต้นทุนที่มากเลยครับ. เราควรซื้อยาจากยี่ปั้วหรือบริษัทยาให้มากที่สุดครับ เพราะจะได้ราคาต่ำที่สุดครับ ซึ่งดีกว่าไปซื้อปลีกตามร้านขายยาครับ. และการซื้อยาจากบริษัทยาก็ได้ยาที่หมดอายุนานด้วยครับ. การค้นหาบริษัทยาค่อนข้างเหนื่อยพอสมควรครับ เพราะยามีหลายตัว หลายบริษัทครับ. แต่เหนื่อยหน่อยและคุ้มครับ. สั่งยาทีละมากๆยิ่งถูก และแถมเยอะครับ. ไม่ควรใช้ยาที่ราคาถูกแต่คุณภาพต่ำเกินไปครับ. เพราะคนไข้กินแล้วไม่หาย. เราอาจจะลดต้นทุนได้ แต่เป็นวงจรไม่ดีครับ เขาไม่หาย เขาก็ไม่กลับมาอีกครับ เลือกยาที่ดีหน่อย ไม่แพง
 
เพราะเราซื้อกับบริษัทยาครับ. ถ้าซื้อปลีกก็แพงครับ
 
อีกงานที่ต้องเอาใจใส่คือ การสต้อกยาครับ ยาที่สั่งมาจะหมดเร็ว ถ้าคนไข้เราเยอะ เราก็ต้องกะว่าเราควรสั่งยามาตุนไว้แค่ไหน. ไม่ใช่ตะบี้ตะบันสั่งมาเยอะเงินมันจะจมครับ แล้วยามันมีอายุด้วย.  แต่ถ้าเราสั่งมาน้อยไป ยาก็หมดไว หรืออาจจะขาดไม่มีให้คนไข้ก็เป็นได้ครับ เรื่องสต็อกยาเป็นเรื่องจุกจิกมาก ที่ต้องดูแทบทุกวันในคลินิกครับ ยกเว้นเราจะจ้างคนมาคุมสต็อกนะครับ
 
ของพื้นฐาน คือ ออกซิเจนพ่นยาต้องมีครับ เพราะหอบฉุกเฉินเราต้องเอาให้อยู่ครับ ปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อน ถ้าไม่ไหวก็รีเฟอร์ครับ    
 
จะเย็บแผลไหม? แต่จะเจอปัญหาเรื่องเครื่องนึ่งครับ. ราคาแปดหมื่นถึงแสนบาท จะคุ้มไหมถ้าเราต้องเย็บแผลเดือนหนึ่งไม่กี่เคส.  ถ้างบไม่มีก็ปฏิเสธไม่เย็บแผล ปิดแผล ส่งไปรพ ครับ. ส่วนทำแผลใช้อุปกรณ์ใช่แล้วทิ้งครับ ชุดทำแผลแบบทิ้งไปเลย ประหยัดไม่ต้องซื้อ เครื่องออโต้เครปครับ
 
ถ้าอยากทำแล็ป ก็ได้ครับพวกrepaid test เช่นตรวจน้ำมูก ดูInfluenza, RSV, Adeno, ตรวจก้นอุจจาระดูRotar virus แต่อย่างว่า พวกนี้ไม่มียารักษาเฉพาะ ยกเว้นไข้หวัดใหญ่. ตรวจที่คลินิกอาจจะสิ้นเปลืองเงินคนไข้ครับ ทำให้ค่าใช้จ่ายคนไข้สูงขึ้นโดยไม่จำเป็นหรือเปล่าก็ต้องลองคิดดูก่อนครับ?  
 
ถ้ากลุ่มลูกค้ามีฐานะดีและพร้อมจะจ่าย ถ้าเราตรวจได้เขาก็จะชอบมากครับ ได้รู้ไปเลยว่าป่วยอะไร. แต่ถ้ากลุ่มลูกค้าฐานะไม่มาก. เอาเงินไปลงทุนยายี่ห้อดีๆคุณภาพดีๆ จะกว่าไหมครับ? ต้องลองคิดดูครับ
 
ตรวจHIV ผมไม่ทำครับ เพราะหลักการมันควรมีการให้คำปรึกษาเป็นเรื่องเป็นราว  อย่างโรงพยาบาลเขามีหน่วยงานเฉพาะดูแลจนถึงพาไปกินยาต้านไวรัส เขามีนักจิตบำบัดเยียวยาอีก. ไม่ใช่มาเจาะเลือดที่คลินิก แล้วก็บอกว่า คุณมีเชื้อเอสไอวีนะ แล้วก็จบแยกย้าย. มันไม่ใช่แบบนี้ ไม่ควรครับ ให้ไปโรงพยาบาลดีกว่านะผมว่า หรือไม่คลินิกก้ต้องสร้างระบบมารับผิดชอบดูแลคนไข้ที่ผลเลือดเป็นบวกครับ
 
ถ้างบน้อย ช่วงแรกไม่ควรลงทุนมากครับ. บางทีเราก็มองตลาดผิดเหมือนกันนะครับ? คนอาจจะไม่เยอะช่วงแรก หรือไม่เยอะตลอดไปก็เป็นได้ครับ. ลงทุนให้น้อยไว้ก่อน. แล้วค่อยๆโตตามตลาด ตามการตอบสนองของคนไข้ครับ.  เราต้องนั่งตบยุงอย่างน้อย6เดือนครับ ถึงจะเริ่มมีคนไข้มานั่งคอยเราตรวจเยอะๆครับ
เราจริงจังกับคลินิกแค่ไหน?
 
กะอยู่ยาว หรือเปิดเล่นๆรอไปเรียนต่อ รอย้ายจังหวัด. ถ้าไม่คิดจะยึดเป็นอาชีพที่สอง ก็อย่าลงทุนเยอะครับ มันจะไม่คุ้มค่าเช่าที่เอานะครับ. แต่อย่างไรก็ดีเครื่องมือแพทย์นี่เก็บได้นานเลยครับ ผมเคยเปิดคลินิก10ปีก่อน แล้วไปเรียนเลยปิดไป10ปีเลย ตอนนั้นซื้ออุปกรณ์สแตนเลส เช่น รถทำแผล รถให้IV กรรไกร forceps เตียงคนไข้ ตู้.  ของอย่างดี. ผ่านไป10ปี เอามาใช้ได้อีกครับ ยังทนทานมาก. เรียกว่าเปิดอีกครั้ง ลดต้นทุนไปเยอะครับ
 
EKG AED ถ้างบไม่ถึง ไม่ควรลงทุนครับ แพงเอาเรื่อง เป็นแสนครับ ถ้าอยากมีลองหามือสองดูครับ.  ส่วนคลินิกผม สงสัยหัวใจ รีเฟอร์โล้ดครับ.  ชาตินึงมั้งจะเจอคนไข้ในคลินิกที่ควรทำอีเคจี. ผมว่าคนไข้ก็พอรู้ว่าอาการอะไรควรมาคลินิก อะไรควรไปโรงพยาบาลครับ. ยิ่งเขาเหันคลินิกเล็กๆ. เขาก็พอเดาๆได้อยู่ครับ
อุปกรณ์ใช้กู้ชีพต้องมีครับ พวกทิ้วแอมบู ยาอะดรีนาลิน.  หาซื้อได้อยู่ครับ มีร้านขายเฉพาะอยู่ครับ
 
AEDกำหนดมาตรฐานต้องมีเฉพาะคลินิกที่ทำผ่าตัดครับ คลินิกทั่วไปไม่ได้กำหนดว่าต้องมี , AED เครื่องละห้าหมื่นบาทได้ครับ จะลงทุนต้องคิดให้ดีเลยครับ ถ้างบเรามีจำกัดครับ  อาจเป็นเครื่องมือที่เราไม่ได้ใช้เลยก็ได้ครับ
อีกอย่างที่หินมาก คือการจดทะเบียนร้านครับ ระเบียบค่อนข้างเยอะ. ควรศึกษาระเบียบการเปิดคลินิกก่อน ว่าต้องสร้างอย่างไร ประตูกว้างแค่ไหน มีอุปกรณ์อะไรบ้าง ขยะติดเชื้อเก็บยังไง. ไม่ใช่ว่าทำคลินิกไปแล้ว ทำเองมั่วไป. แต่จดทะเบียนไม่ผ่าน ต้องมาแก้ร้าน มาทุบประตูนะครับ.   กว่าจะขออนุญาตเสร็จใช้เวลาเป็นเดือนครับ. คิดถึงจุดนี้ไว้ด้วยครับ
 
จะจ้างใครเป็นผู้ช่วย พยาบาลไหม หรือผู้ช่วย เภสัช หรือใครก็ได้มาทำหน้าร้าน? ขึ้นกับงบประมาณที่เรามีครับ ยิ่งความสามารถสูงก็ยิ่งต้องจ่ายมากครับ อาจกระทบต่อรายได้กำไรคลินิกด้วยครับ ถ้าความสามารถไม่สูงนัก หมอก็ต้องเหนื่อยมากหน่อยที่ต้องคุมคุณภาพร้านครับ เพราะยามที่คลินิกมีรายได้น้อย หรือวันที่ไม่มีคนไข้. พนักงานจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องเสียครับ แม้ว่าเราจะไม่ได้กำไรสักบาทในวันนั้นเลยครับ ถ้าไม่คิดให้ดี จะขาดทุนสะสมแล้วเราจะเสียกำลังใจด้วยครับ เอาไว้คลินิกลอยตัว รายได้ดี แล้วค่อยลงทุนจ้างพนักงานที่ความสามารถสูงๆก็ได้ครับ
 
 อีกเรื่องคือโควิดครับ. อยากให้คำนึงด้วยว่าคลินิกเรารับมือโควิดได้แค่ไหน ห้องตรวจเราระบายอากาศไหม แยกคนไข้มีไข้ออกจากไม่มีไข้ได้ไหม มันไม่ใช่ข้อกำหนดอะไรจากรัฐว่าคลินิกต้องใส่ใจเรื่องโควิดนะครับ แต่เราควรคิดว่าคลินิกส่วนตัวของเราก็เหมือนบ้านของเราเอง. เราเอาคนไข้ที่อาจเป็นโควิดเข้าในบ้านเรา. เราหายใจร่วมกับพวกเขา แล้วเราจะติดโควิดไหม?  อย่างโรงพยาบาลเขามีระบบนี้อยู่แล้ว เขามีห้องARI เฉพาะ. ผมเห็นหลายๆคลินิกคนไข้นั่งรอติดกันเป็นพืดๆ. ให้ห้องแอร์แคบๆ ไม่มีระบบระบายอากาศเลย. เราก็พูดกับตลอดว่า social distancing แต่ทำไมคนไข้มานั่งติดๆกับไปหมดในคลินิก อย่างนี้คนไม่ป่วยไม่ต้ดกันไปหมดเหรอครับ?  
 
แล้วหมอเราเองจะติดไหมละครับ? ถ้าเราป่วยเราก็ต้องปิดร้าน. รายได้ก็หายอีก ไม่มีสวัสดิกราอะไร? คลินิกผมทำห้องแยกคนไข้มีไข้ออกไป แม้แต่นั่งคอยก็ไม่ให้ปนกันครับ ตรวจแยกห้อง.  และใช้พัดลมระบายอากาศมาก คำนวณทิศทางลมที่จะระบายออกไป ไม่เปิดแอร์ครับ ทำห้องให้โปร่งมากที่สุดครับ  
 
ที่ผ่านมาช่วงโควิด คลินิกหลายแห่งปิดครับ เพราะกลัวโควิดในคลินิก. ถ้าตอนนี้เราออกแบบคลินิกเราดี ให้ระบายอากาศได้ดี แยกคนไข้มีไข้ออกจากกัน.  ในอนาคตไม่ว่าจะมีเชื้อบ้าบออะไร. คลินิกเราก็ยืนยัดอยู่ได้ไม่ต้องกลัวครับ และปลอดภัยด้วย
เปิดคลินิกไม่ง่ายแต่สนุกครับ
 
ไม่รวยมากแต่รวยก็มีและเจ้งก็มีครับ
 
หัวใจหลักที่ต้องสร้างให้ได้คือ ความศรัทธาครับ
คลินิก อยู่ได้เพราะคนไข้ศรัทธาในหมอคนนั้นครับ
ใช้เวลานานในการสร้างความศรัทธาครับ แต่มันคุ้มค่าครับ
เพราะคนไข้จะอยู่กับเราไปอีกนาน และบอกต่อๆๆๆไปเรื่อยๆครับ
สร้าง แบรนด์ให้ตนเอง แล้วเราจะครองพื้นที่ตรงนั้น. แม้ว่ามีคู่แข่ง. เขาก็จะกินเรายากครับ
 
ปล .ยาน้ำของเด็ก ผมเปิดชิมเองทุกชนิดครับ ถ้ารสชาดขม ไม่อร่อย ไม่เอาเข้าร้านครับ ผมเลือกซื้อมาหลายยี่ห้อมากครับ เอามาชิม แล้วคิดว่าเด็กๆจะชอบรสไหน เช่น ยาฆ่าเชื้อรสกล้วยหอม. ยาแก้ไอรสเชอรี่ ยาลดน้ำมูกรสครีมโซดา แล้วจะเปลี่ยนยี่ห้อยาทุกสามเดือนครับ เพราะคนไข้เด็กกลับมา จะได้รู้สึกว่าไม่ได้ยาขวดเดิมๆ. เป็นความโรคจิตอันนึงหรือจะเรียกว่าการใส่ใจบริการจนเกินไปก็ได้มั้งครับ
อ่านจบแล้ว คิดจะเลิกทำหรือเปล่าครับ?
จากคุณ: พุฝอยสาหร่าย โพสเมื่อวันที่: 08/24/22 เวลา 19:10:56
ผมรีโพสต์ข้อความเดิมนะครับ เคยมีคนถามแบบนี้หลายครั้งแล้วครับ
มาแลกเปลี่ยนความรู้ให้ครับ
ไม่ต้องไปเสียเงินหลายหมื่นอบรมการเปิดคลินิก
หวังว่าคงช่วยได้บ้างนะครับ
จากคุณ: พุฝอยสาหร่าย โพสเมื่อวันที่: 08/24/22 เวลา 19:29:02
1. ไม่ทราบว่างบทั้งยาและตกแต่งสถานที่ให้ผ่านเกณฑ์ประเมิน ประมาณเท่าไหร่คะ
 
ตอบ สองแสนบาท ถึงหนึ่งล้านบาทครับ แล้วแต่จะตกแต่งร้านให้หรูแค่ไหนครับ แต่เริ่มต้นรวมยา ค่าเช่า อุปกรณ์ เกินสองแสนแน่ๆครับ
 
2. อุปกรณ์ช่วยชีวิต ยา และอุปกรณ์อื่นๆที่ต้องอยู่ในเกณฑ์ ปกติพี่ๆยืมมาตั้งเพื่อตรวจ หรือจัดซื้อเลยคะ (พอดีว่าหนูคิดว่าหาก emer จะแนะนำให้คนไข้ไป รพ เลยค่ะ และไม่ทราบว่าต้องมี ekg defib ไหมคะ)
 
ตอบ จำเป็นต้องมีครับ เราต้องช่วยคนไข้ให้รอดหากเขาหัวใจหยุดเต้นที่คลินิกเรา อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ เหมือนถามว่าซื้อรถ ไม่เอาถุงลมนิรภัยได้ไหม มันไม่ค่อยได้ใช้ ไม่ควรครับ
 
เครื่องdefib ไม่ได้กำหนดให้มี ถ้าคลินิกเราไม่ได้ผ่าตัดใหญ่ แต่ควรหาซื้อครับ เพื่อความปลอดภัย เช่น ถ้าเราฉีดยา เขาแพ้ยา เกิดVF เราจะทำไง ศาลคงฟังเรามั้งครับ  เครื่องมือหนึ่งราคา6หมื่นถึงหนึ่งแสนบาท ถ้างบน้อยซื้อมือสองราคาสามหมื่นบาทครับ  ถามมาหลังไมค์จะบอกร้านให้ พี่ไม่มีส่วนได้เสียครับ
 
ท่อช่วยหายใจ หรือเบลด มีแบบใช้แล้วทิ้งครับ ราคาเซ็ตละหนึ่งพันบาท ง่ายสะดวก เพราะไม่ได้ใช้บ่อยครับ มีเบลดแบบพลาสติกครับ ส่วนแอมบูราคาพันห้าก็ได้แล้วครับ ยาอะดรีนาลีนหาซื้อที่องค์การมีครับ  
 
เครื่องEKG มือหนึ่งราคาหนึ่งแสนบาท ถ้ามือสองราคาสามเหมื่นบาท ถ้าซื้อจะทำให้เราตรวจคนไข้ได้สนุกมากขึ้นครับ เช่น คนแก่มาด้วยแน่นหน้าอก เราก็กังวลว่าโรคกระเพาะหรือโรคหัวใจ จับตรวจEKGไปเลยครับ ผมว่าเป็นของที่น่าเล่น น่าลงทุน สนุกครับ
 
3. จำเป็นต้องจ้างเภสัชหรือพยาบาลเพื่อช่วยงานไหมคะ
 
ตอบ ขึ้นกับงบประมาณครับ ยิ่งจ้างคนเยอะ คนเก่งๆ วิชาชีพสูง ก็ค่าใช้จ่ายเยอะครับ หมอเองจ่ายยาเองก็ได้ หรือให้พยาบาลช่วยจัดยา อธิบายยาก้ได้ หรือหาวิธีอะไรที่ทำให้การจ่ายยาในคลินิกไม่ผิดพลาด คลินิกไม่น่าจะวุ่นเท่าโรงพยาบาลนะครับ  ของผมจ่ายยาเอง อธิบายยาเอง ไม่ต้องจ้างเภสัชครับ
 
 4. อุปกรณ์การแพทย์ที่ต้องนึ่ง ต้ม และการกำจัดขยะติดเชื้อจำเป็นต้องจัดหาเครื่องหรือส่งให้บริษัทข้างนอกคะ
 
ตอบ  ขยะติดเชื้อเป็นภาคบังคับให้ต้องติดต่อบริษัทในพื้นที่อยู่แล้วครับ ถ้าไม่มีจะจดทะเบียนคลินิกไม่ได้ ถามสสจ.เลยครับว่าติดต่อร้านไหนดี เขามีแหล่งในพื้นที่ครับ
 
เครื่องนึ่ง ทำเองได้ครับ เครื่่องละสามหมื่นถึงหนึ่งแสน ถ้าไม่มีงบ ก็ไม่ต้องทำ ง่ายดี ทำแต่แผล ใช้อุปกรณ์ใช้แล้วทิ้ง set ล้างแผล สำลี ชุดละ12บาทเอง ตัดไหมก็ใช้มีดเบลดเอา ส่วนเย็บแผล ถ้าไม่อยากนึ่งของ ก็ปฏิเสธไม่เย็บครับ   ถ้าเราติดต่อที่อื่นเพื่อนึ่ง พี่ว่าเสียเงินเยอะเกิน มันจะคุ้มไหม ถ้าเราเย็บแผลไม่กี่ครั้งเอง  แต่ถ้าเราทำคลินิกผ่าตัด การนึ่งเอง ประหยัดมาก เช่น ร้านทำฟัน เขานึ่งเอง ซื้อหม้อต้มเองครับ เลือกหม้อต้มแพงๆนิดนึง ไม่เสียเวลาครับ
 
5. หากจะส่งแลป ผลเลือด ปกติต้องจ้างเทคนิคการแพทย์มานั่งหรือซื้อเครื่องมือเองไหมคะ หรือส่งเลือดให้คลินิกเทคนิคการแพทย์ต่อ
 
ตอบ ขึ้นกับงบประมาณครับ ถ้ามีเงินเยอะจะจ้างใครมาก็ได้ทั้งนั้น แบบคลินิกเครือโรงพยาบาลยักษ์ใหญ่ไง ทำได้ทุกอย่าง จะมีเครื่องเอกซเรย์ก็ยังได้เลย   ส่วนตัวพี่ไม่ตรวจเลือดครับ ตรวจแต่DTX การที่เราซื้อเครื่องตรวจเลือด CBC อะไรอื่นๆ ลงทุนมากๆ ค่าบำรุง ค่าเช่าเครื่อง คิดว่าเราจะตรวจเลือดคนไข้บ่อยแค่ไหน มันคุ้มไหม  จริงๆคนมาคลินิกเขาป่วยไม่มาก โรคง่ายๆ ไม่ต้องตรวจเลือดครับ เช่น มีไข้มา1-3วัน ถ้าเราสงสัยไข้เลือดออก ส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลเลย ไม่ต้องมาตรวจCBC ที่คลินิกครับ
 
บางทีลองมองร้านเจาะเลือดใกล้ๆครับ อาจเขียนหนังสือให้คนไข้เดินทางไปตรวจเองครับ เช่น ตรวจไขมัน เบาหวาน ก็ให้คนไข้ไปตรวจที่ร้านเจาะเลือดเลย แล้วเอาผลมาให้ดู
 
แต่บางที่คลินิกดูดเลือดเองแล้วเอาไปส่งที่ร้านเจาะเลือดก็มี
****
สรุปครับ มองเงินในกระเป๋า เรามีแค่ไหน แล้วลงทุนแค่นั้น
อย่าลืมนะครับ คลินิกคือตรวจโรคทั่วๆไป ง่ายๆ จริงๆแทบไม่ต้องมีอุปกรณ์ หรือยาแพงๆ หรือเจาะเลือดอะไรเลยก็เปิดร้านได้แล้วครับ
นึกถึงตอนไปออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ มีอะไรบ้าง
แค่นั้นก็ตรวจได้แล้วครับ...
พอเรามีเงินเยอะ ค่อยลงทุนครับ
ถ้าจะเอาเต็มสุดๆแบบที่น้องบอกมา พี่ว่าไม่ต่ำกว่าสามล้านบาทครับ เป็นเงินที่หมุนเวียน
***
อีกข้อแนะนำ ให้เจ๊งในกระดาษ
เอามาเขียนเลยครับ สืบราคาให้หมดว่าลงทุนเท่าไร
คาดการณ์รายได้ว่าได้วันละเท่าไร
หนึ่งเดือนขาดทุน หรือกำไร คุ้มไหม
ถ้ากระดาษยังเจ๊ง ก็ลดต้นทุน ลดศักยภาพลง
ถ้ายังเจ๊งอีก พี่ว่าน้องไปรับพาร์ททามดีกว่าครับ
ขอให้โชคดีครับ  เขียนยาวนิดนึง แต่ขอบอกว่า เรื่องแบบนี้เสียเงินหลายหมื่นเพื่อเข้าครอสไปเรียนนะครับ แต่พี่ให้ฟรี
จากคุณ: internintern โพสเมื่อวันที่: 08/29/22 เวลา 12:16:25
ขอบคุณคำแนะนำและคำตอบจากพี่มากๆเลยนะคะ&#128591;&#128591;&#10084; ขอบคุณค่ะ


  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by