หน้าแรกเว็บบอร์ด หน้าแรกเว็บบอร์ด
   For MD.
   Doctor Room l ห้องพักแพทย์
   Post reply ( Re: ขออนุญาตสอบถามและขอคำแนะนำเรื่องเปิดคลินิกค่ะ )
ขอเชิญเพื่อนแพทย์พูดคุย แสดงความคิดเห็นครับ
หัวข้อ:
ใส่ชื่อ:
Email:
Add YABBC tags:
Add Smileys: <more...>
ข้อความ:

Disable Smilies




Topic Summary
จากคุณ: yyyyy โพสเมื่อวันที่: 12/03/20 เวลา 18:51:25
สวัสดีค่ะ
กำลังจะเปิดคลินิก GP ย่านชุมชน มีหมู่บ้านเยอะ มีตลาด มีร้านขายยาหลายร้าน แต่ยังไม่มีคลินิกใกล้ๆค่ะ
แพลนว่าอาจจะมีแลปพื้นฐานเช่น CBC bloodchem ua ด้วย ถ้างบพอไหว อยากสอบถามจากพี่ๆเรื่องงบประมาณว่าจะประมาณเท่าไหร่คะ หรือพอจะมี contact กับบริษัทไหนที่จะแนะนำไหมคะ
หรือพี่ๆคิดว่าควรจะเปิดแบบยังไม่มีแลปก่อนคะ
ถ้าพี่ๆพอจะมีคำแนะนำเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับการเปิดคลินิกด้วยจะขอบคุณมากค่ะ Grin Grin Grin Grin
จากคุณ: positive โพสเมื่อวันที่: 12/03/20 เวลา 19:50:26
เรื่อง Lab เครื่องแพง ควรรอหน่อยดีกว่าครับ  
 
เอาพวกชุดปัสสาวะแบบจุ่ม ตรวจปัสสาวะตั้งครรภ์ สารเสพติด เจาะตรวจน้ำตาลปลายนิ้ว ตรวจ HIV  แบบนี้ควรมีติดไว้ อย่างละ 1 กล่อง  ส่วนตรวจเครื่องแพงๆ รอหน่อยครับ มี demand แล้วค่อยทำเพิ่มก็ได้ครับ  
 
เช่นเดียวกับ Vaccine ครับ ติด Rabies vaccine กับ TT เอาไว้หน่อยก็ดีครับ ส่วน Vaccine เด็ก ถ้ามี Demand ชัดเจนพอสมควรค่อยซื้อครับ  
เผื่อว่าเด็กแถวนั้นมีช่องทางการรับ vaccine จากรพ. อนามัย คลินิกหมอสูติ หมอเด็ก กันอยู่เพียงพอ และ บริการได้ดีกว่าเรา ครบกว่าเราอยู่แล้ว ก็มักจะไม่มาหาคลินิก GP .
 
เรื่องวัคซีนเด็กนี่เจอมากับตัวเลยครับ ถามว่าหมอมีไหม โดยเฉพาะเวลาเปิดคลินิกใหม่ๆ หมอมีโน่นไหม มีนี่ไหม แนะนำว่าควรมีอะไรบ้าง  แต่ถึงเวลาสั่งมาแล้ว ก็เงียบ สุดท้าย Expire ยกล๊อต (สั่งทีก็ต้องมีครบตัวพื้นฐาน)  เจอทิ้งยกล๊อตสองรอบ เลยถึงบางอ้อ ว่าเค้าก็ถามไปอย่างนั้น  
 
 
 
 
 
 
 
จากคุณ: positive โพสเมื่อวันที่: 12/03/20 เวลา 20:10:25
เรื่องฝากครรภ์ ก็เหมือนกัน ถามแต่ไม่มา เพราะจริงๆเขามี solution ที่ดีกว่าอยู่แล้ว เห็นเราเปิดใหม่ก็แนะนำไปตามประสาคนไม่รู้  อยากให้เรามีทุกอย่าง เผื่อเป็นทางเลือกให้เขา  
 
 
เครื่องพื้นฐานที่ควรมีคือ เครื่องพ่นยา เครื่องวัดความดัน อุปกรณ์ตรวจร่างกายครบชุด ถ้ามีเครื่อง EKG , O2 Sat , AED ด้วยก็ดีครับ
จากคุณ: positive โพสเมื่อวันที่: 12/03/20 เวลา 20:16:33
Lab เครื่องแพงๆ นี่ต้องดูด้วยว่า แม้มี Demand แต่ทำมาแล้ว ราคาคนไข้รับได้ไหม  บางคนพอแจ้งว่าต้องตรวจเลือด ซึ่งมักต้องตรวจหลายๆตัว ราคาออกมาจะสูง และเบิกไม่ได้  ส่วนใหญ่ได้ยินอย่างนี้ก็จะขอไปรพ. ตามสิทธิ์ดีกว่า แล้วอาจจะรักษาแพทย์เฉพาะทางที่รพ.ต่อไปด้วย ดีขึ้นไปอีก   ไม่ว่าจะไปใช้บัตรทอง รพ.รัฐ หรือ ถ้ามีประกันสุขภาพเอกชน ก็เข้ารพ.เอกชนได้เลย ไม่ต้องสำรองจ่ายด้วย  
 
 
จากคุณ: พุฝอยสาหร่าย โพสเมื่อวันที่: 12/03/20 เวลา 20:25:27
ตอนนี้เปิดคลินิกทั่วไปครับ เปิดมาสามปีครับ ไม่มีเครื่องตรวจเลือดครับ  ไม่กล้าลงทุน จะคอนแทกบริษัทก็ไม่คุ้มแน่ๆ คลินิกไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น แล้วอัตราการตรวจเลือดไม่ได้มากครับ ไม่คุ้มแน่ๆ ใช้แก้ปัญหาโดยส่งไปตรวจเลือดที่อื่นครับ มีร้านเทคนิคการแพทย์รับเจาะเลือดอยู่ครับ ไกลสักหน่อย แต่ก็ดี ส่วนใหญ่ส่งไปตรวจแต่ไขมันในเลือดมากกว่าครับ  ส่วนถ้าCBC นี่พวกdengue ถ้าสงสัยให้ไปโรงพยาบาลครับ ไม่กล้าHold เคสหนักๆเอาไว้ครับ จริงๆแค่ตรวจก็จะไม่ทันแล้วครับ พวกทำแผล ไข้หวัด ท้องเสีย ใบรับรองแพทย์สมัครงาน ใบขับขี่ ก็เยอะแล้วครับ  ถ้าจะตั้งเครื่องเจาะเลือดขนาดนั้นก็ต้องจ้างพยาบาล หรือนักเทคนิคการแพทย์มาเจาะ มาทำแล็บ ต้นทุนก็สูงเข้าไปอีก  ไปบวกราคากับคนไข้ มันจะสูงเกินไปครับ คนไข้มาคลินิกไม่ได้หวังจะจ่ายแพงเท่าโรงพยาบาลขนาดนั้นครับ นอกจากเราจะเปิดคลินิกใหญ่จริงๆ เช่น สหคลินิก มีเอกซเรย์ เจาะเลือด มีหมอสองคนขึ้นไป มีอัลตราซาวด์ เป็นต้นครับ  
ผมว่าเริ่มแรกSMEก่อนดีกว่าครับ เน้นยากิน ฉีดยาคุม ฉีดยาง่ายๆเข้าสะโพก ก็พอครับ  ส่วนวัคซีนเด็กนี่ไม่เอาเลยครับ ราคาสูง หมดอายุง่าย ต้นทุนสูงมาก เมื่อเทียบกับที่อนามัยฉีดให้ครับ อีกอย่างฉีดยาเด็ก คุณเอ้ย โลกจะแตก ถ้าไม่อดทนพอ ดิ้นอย่างกับอะไรดี  แล้วผมว่าคนศรัทธาหมอเด็กมากกว่านะครับ หมายถึงเรื่องวัคซีน มันต้องดูพัฒนาการอะไรด้วย ตอบคำถามสาระพวกนม บลาๆ ไปหาหมอเด็กดีกว่าครับ  ส่วนฝากครรภ์นี่ ผมไม่รับครับ เพราะคิดว่าความต่อเนื่องเขาควรไปหาหมอสูติ เช่น ฝากที่คลินิก แล้วงไปคลอดกับหมอคนนั้นเลยมากกว่าครับ  ถ้าจะฝากครรภ์ก็ต้องซื้อเครื่องอัลตราซาวด์ เครื่องNST ดูเด็กดิ้น เจาะน้ำตาลOGTTอีก  มันไม่ใช่แค่ให้วิตตามินอย่างเดียว  ยุ่งเปล่าๆครับ
เคยอยู่รพ.ชุมชนครับ ตอนนั้นหาคอนแทกบริษัทมาตั้งเครื่องตรวจเลือดCBC เลยรู้ว่าต้นทุนสูงพอควร พวกน้ำยา ไรงี้ ถ้าตรวจไม่ถึง100เคสต่อเดือน ไม่ควรลงทุนครับ
จากคุณ: positive โพสเมื่อวันที่: 12/03/20 เวลา 20:30:17
ลองสอบถามแถวนั้นว่ามีศูนย์ Lab หรือ รพ.เอกชน ที่เขารับทำ Contract กับเรา  เราก็ปรับเป็นบริการเจาะที่คลินิกแล้วให้วินมอไซด์ไปส่ง  
แล้วก็นัดคนไข้ฟังผลวันถัดไป ปกติเขาจะทำกันแบบนี้ ซึ่งผมมองว่าคุ้มกว่าเห็นๆ  
 
ปล. การส่งเลือดต้องเก็บในภาชนะที่เหมาะสม เก็บความเย็น และ ระวังเม็ดเลือดแตกจากการขนส่งด้วยครับ  ถ้าเม็ดเลือดแดงแตกแล้วจะไปขอคนไข้เจาะใหม่ยาก
จากคุณ: พุฝอยสาหร่าย โพสเมื่อวันที่: 12/03/20 เวลา 23:45:52
การเปิดคลินิก ก็เป็นการทำธุรกิจแบบนึงครับ ไม่ใช่แบบโรงพยาบาลรัฐที่จะเป็นสวัสดิการให้กับคนไข้ เพราะการทำธุรกิจก็มีต้นทุน คิอว่าเงินงบเรามีแค่ไหนที่จะลงทุนกับคลินิกเราครับ
ก่อนอื่นผมว่ากำหนดงบที่เรามีก่อนครับ ปกติเปิดร้านลงทุน3แสนถึง1ล้านขึ้นไปครับ  ขึ้นกับว่าเรามีงบประมาณแค่ไหน ถ้าเรารวยอยู่แล้ว ตกแต่งร้านให้สวยเลิศ ลงทุนเป็นล้านแบบคลินิกสกินก็ได้ครับ แต่ถ้างบน้อยๆ สามแสนก็อยู่แล้วครับ ซึ่งงบจะเป็นตัวกำหนดขนาดของคลินิก และบริการเองครับว่าเราจะตรวจรักษาทำได้แค่ไหน. เราปฏิเสธคนไข้ได้นะครับ ไม่ได้แปลว่าเราไม่ตรวจเขานะ เช่น เราไม่มีเครื่องตรวจเลือด หากเราสงสัยdengue เราก็ปฏิเสธคนไข้ได้ คือ เราบอกให้เขาไปโรงพยาบาลดีกว่า. ก็คือเราตรวจเหมือนกัน แต่เรามีงบลงทุนจำกัด เราไม่ดูแลคนไข้บางคนที่เราไม่มีอุปกรณ์หรือศักยภาพจะดูแลได้ครับ ซึ่งคนไข้เขาก็โอเคครับ. เขามาคลินิกเขาไม่ได้คาดหวังจะได้ทุกอย่างแบบโรงพยาบาล. คลินิกไม่จำเป็นต้องให้น้ำเกลือ หรือฉีดยาเข้าเส้นเลือด หรืออื่นๆก็ได้. ถ้าเราคิดว่าคลินิกเราไม่พร้อม.  ซึ่งต่างกับโรงพยาบาลที่ควรรักษาหรือดูแลจัดการได้ทุกโรค ก็เพราะโรงพยาบาลมีรัฐสนับสนุนงบ หรือเอกชนมีนายทุนใหญ่ครับ. คลินิกมีแต่เราคนเดียว มีเงินแค่ไหน ก็ทำแค่นั้นครับ
เราต้องคิดก่อนว่าเราอยากให้คลินิกเราใหญ่แค่ไหน. จะเอาเล็กๆ แบบให้ยากินอย่างเดียว ตรวจโรคง่ายๆ ไข้หวัด ใบรับรองแพทย์.  จะฉีดยาไหม? หรือจะให้น้ำเกลือไหม หรือจะทำคลืนิกขนาดกลาง มีเครื่องเอกซเรย์ ? แล้วงบเรามีแค่ไหนล่ะ?
ของผมเริ่มด้วยงบ3แสนครับ ค่าตกแต่งและเครื่องมือ รวมค่ายาทั้งหมด ซื้อยาไม่มากครับ. แล้วเอากำไรที่ได้มาต่อยอดซื้อยาเพื่มเรื่อยๆ ลงทุนยา แล้วเอากำไรมาซื้อเครื่องอัลตราซาวด์ครับมือสอง
ช่วงแรกๆแทบไม่มีกำไรเป็นเงินเลยครับ เพราะหมดไปกับลงทุนซื้อยา แบบเงินต่อเงิน แต่ข้อดีคือไม่ต้องควักเงินส่วนตัวมาใช้กับธุรกิจ
ธุรกิจต้องลดต้นทุนให้มากที่สุด แต่ยังคงคุณภาพครับ. ยาเป็นต้นทุนที่มากเลยครับ. เราควรซื้อยาจากยี่ปั้วหรือบริษัทยาให้มากที่สุดครับ เพราะจะได้ราคาต่ำที่สุดครับ ซึ่งดีกว่าไปซื้อปลีกตามร้านขายยาครับ. และการซื้อยาจากบริษัทยาก็ได้ยาที่หมดอายุนานด้วยครับ. การค้นหาบริษัทยาค่อนข้างเหนื่อยพอสมควรครับ เพราะยามีหลายตัว หลายบริษัทครับ. แต่เหนื่อยหน่อยและคุ้มครับ. สั่งยาทีละมากๆยิ่งถูก และแถมเยอะครับ. ไม่ควรใช้ยาที่ราคาถูกแต่คุณภาพต่ำเกินไปครับ. เพราะคนไข้กินแล้วไม่หาย. เราอาจจะลดต้นทุนได้ แต่เป็นวงจรไม่ดีครับ เขาไม่หาย เขาก็ไม่กลับมาอีกครับ เลือกยาที่ดีหน่อย ไม่แพง
เพราะเราซื้อกับบริษัทยาครับ. ถ้าซื้อปลีกก็แพงครับ
อีกงานที่ต้องเอาใจใส่คือ การสต้อกยาครับ ยาที่สั่งมาจะหมดเร็ว ถ้าคนไข้เราเยอะ เราก็ต้องกะว่าเราควรสั่งยามาตุนไว้แค่ไหน. ไม่ใช่ตะบี้ตะบันสั่งมาเยอะเงินมันจะจมครับ แล้วยามันมีอายุด้วย.  แต่ถ้าเราสั่งมาน้อยไป ยาก็หมดไว หรืออาจจะขาดไม่มีให้คนไข้ก็เป็นได้ครับ เรื่องสต็อกยาเป็นเรื่องจุกจิกมาก ที่ต้องดูแทบทุกวันในคลินิกครับ ยกเว้นเราจะจ้างคนมาคุมสต็อกนะครับ
ของพื้นฐาน คือ ออกซิเจนพ่นยาต้องมีครับ เพราะหอบฉุกเฉินเราต้องเอาให้อยู่ครับ ปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อน ถ้าไม่ไหวก็รีเฟอร์ครับ    
จะเย็บแผลไหม? แต่จะเจอปัญหาเรื่องเครื่องนึ่งครับ. ราคาแปดหมื่นถึงแสนบาท จะคุ้มไหมถ้าเราต้องเย็บแผลเดือนหนึ่งไม่กี่เคส.  ถ้างบไม่มีก็ปฏิเสธไม่เย็บแผล ปิดแผล ส่งไปรพ ครับ. ส่วนทำแผลใช้อุปกรณ์ใช่แล้วทิ้งครับ ชุดทำแผลแบบทิ้งไปเลย ประหยัดไม่ต้องซื้อ เครื่องออโต้เครปครับ
ถ้าอยากทำแล็ป ก็ได้ครับพวกrepaid test เช่นตรวจน้ำมูก ดูInfluenza, RSV, Adeno, ตรวจก้นอุจจาระดูRotar virus แต่อย่างว่า พวกนี้ไม่มียารักษาเฉพาะ ยกเว้นไข้หวัดใหญ่. ตรวจที่คลินิกอาจจะสิ้นเปลืองเงินคนไข้ครับ ทำให้ค่าใช้จ่ายคนไข้สูงขึ้นโดยไม่จำเป็นหรือเปล่าก็ต้องลองคิดดูก่อนครับ? ถ้ากลุ่มลูกค้ามีฐานะดีและพร้อมจะจ่าย ถ้าเราตรวจได้เขาก็จะชอบมากครับ ได้รู้ไปเลยว่าป่วยอะไร. แต่ถ้ากลุ่มลูกค้าฐานะไม่มาก. เอาเงินไปลงทุนยายี่ห้อดีๆคุณภาพดีๆ จะกว่าไหมครับ? ต้องลองคิดดูครับ
ตรวจHIV ผมไม่ทำครับ เพราะหลักการมันควรมีการให้คำปรึกษาเป็นเรื่องเป็นราว  อย่างโรงพยาบาลเขามีหน่วยงานเฉพาะดูแลจนถึงพาไปกินยาต้านไวรัส เขามีนักจิตบำบัดเยียวยาอีก. ไม่ใช่มาเจาะเลือดที่คลินิก แล้วก็บอกว่า คุณมีเชื้อเอสไอวีนะ แล้วก็จบแยกย้าย. มันไม่ใช่แบบนี้ ไม่ควรครับ ให้ไปโรงพยาบาลดีกว่านะผมว่า หรือไม่คลินิกก้ต้องสร้างระบบมารับผิดชอบดูแลคนไข้ที่ผลเลือดเป็นบวกครับ
ถ้างบน้อย ช่วงแรกไม่ควรลงทุนมากครับ. บางทีเราก็มองตลาดผิดเหมือนกันนะครับ? คนอาจจะไม่เยอะช่วงแรก หรือไม่เยอะตลอดไปก็เป็นได้ครับ. ลงทุนให้น้อยไว้ก่อน. แล้วค่อยๆโตตามตลาด ตามการตอบสนองของคนไข้ครับ.  เราต้องนั่งตบยุงอย่างน้อย6เดือนครับ ถึงจะเริ่มมีคนไข้มานั่งคอยเราตรวจเยอะๆครับ
เราจริงจังกับคลินิกแค่ไหน?
กะอยู่ยาว หรือเปิดเล่นๆรอไปเรียนต่อ รอย้ายจังหวัด. ถ้าไม่คิดจะยึดเป็นอาชีพที่สอง ก็อย่าลงทุนเยอะครับ มันจะไม่คุ้มค่าเช่าที่เอานะครับ. แต่อย่างไรก็ดีเครื่องมือแพทย์นี่เก็บได้นานเลยครับ ผมเคยเปิดคลินิก10ปีก่อน แล้วไปเรียนเลยปิดไป10ปีเลย ตอนนั้นซื้ออุปกรณ์สแตนเลส เช่น รถทำแผล รถให้IV กรรไกร forceps เตียงคนไข้ ตู้.  ของอย่างดี. ผ่านไป10ปี เอามาใช้ได้อีกครับ ยังทนทานมาก. เรียกว่าเปิดอีกครั้ง ลดต้นทุนไปเยอะครับ
EKG AED ถ้างบไม่ถึง ไม่ควรลงทุนครับ แพงเอาเรื่อง เป็นแสนครับ ถ้าอยากมีลองหามือสองดูครับ.  ส่วนคลินิกผม สงสัยหัวใจ รีเฟอร์โล้ดครับ.  ชาตินึงมั้งจะเจอคนไข้ในคลินิกที่ควรทำอีเคจี. ผมว่าคนไข้ก็พอรู้ว่าอาการอะไรควรมาคลินิก อะไรควรไปโรงพยาบาลครับ. ยิ่งเขาเหันคลินิกเล็กๆ. เขาก็พอเดาๆได้อยู่ครับ
อุปกรณ์ใช้กู้ชีพต้องมีครับ พวกทิ้วแอมบู ยาอะดรีนาลิน.  หาซื้อได้อยู่ครับ มีร้านขายเฉพาะอยู่ครับ
AEDกำหนดมาตรฐานต้องมีเฉพาะคลินิกที่ทำผ่าตัดครับ คลินิกทั่วไปไม่ได้กำหนดว่าต้องมี , AED เครื่องละห้าหมื่นบาทได้ครับ จะลงทุนต้องคิดให้ดีเลยครับ ถ้างบเรามีจำกัดครับ  อาจเป็นเครื่องมือที่เราไม่ได้ใช้เลยก็ได้ครับ
อีกอย่างที่หินมาก คือการจดทะเบียนร้านครับ ระเบียบค่อนข้างเยอะ. ควรศึกษาระเบียบการเปิดคลินิกก่อน ว่าต้องสร้างอย่างไร ประตูกว้างแค่ไหน มีอุปกรณ์อะไรบ้าง ขยะติดเชื้อเก็บยังไง. ไม่ใช่ว่าทำคลินิกไปแล้ว ทำเองมั่วไป. แต่จดทะเบียนไม่ผ่าน ต้องมาแก้ร้าน มาทุบประตูนะครับ.   กว่าจะขออนุญาตเสร็จใช้เวลาเป็นเดือนครับ. คิดถึงจุดนี้ไว้ด้วยครับ
จะจ้างใครเป็นผู้ช่วย พยาบาลไหม หรือผู้ช่วย เภสัช หรือใครก็ได้มาทำหน้าร้าน? ขึ้นกับงบประมาณที่เรามีครับ ยิ่งความสามารถสูงก็ยิ่งต้องจ่ายมากครับ อาจกระทบต่อรายได้กำไรคลินิกด้วยครับ ถ้าความสามารถไม่สูงนัก หมอก็ต้องเหนื่อยมากหน่อยที่ต้องคุมคุณภาพร้านครับ เพราะยามที่คลินิกมีรายได้น้อย หรือวันที่ไม่มีคนไข้. พนักงานจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องเสียครับ แม้ว่าเราจะไม่ได้กำไรสักบาทในวันนั้นเลยครับ ถ้าไม่คิดให้ดี จะขาดทุนสะสมแล้วเราจะเสียกำลังใจด้วยครับ เอาไว้คลินิกลอยตัว รายได้ดี แล้วค่อยลงทุนจ้างพนักงานที่ความสามารถสูงๆก็ได้ครับ
 อีกเรื่องคือโควิดครับ. อยากให้คำนึงด้วยว่าคลินิกเรารับมือโควิดได้แค่ไหน ห้องตรวจเราระบายอากาศไหม แยกคนไข้มีไข้ออกจากไม่มีไข้ได้ไหม มันไม่ใช่ข้อกำหนดอะไรจากรัฐว่าคลินิกต้องใส่ใจเรื่องโควิดนะครับ แต่เราควรคิดว่าคลินิกส่วนตัวของเราก็เหมือนบ้านของเราเอง. เราเอาคนไข้ที่อาจเป็นโควิดเข้าในบ้านเรา. เราหายใจร่วมกับพวกเขา แล้วเราจะติดโควิดไหม?  อย่างโรงพยาบาลเขามีระบบนี้อยู่แล้ว เขามีห้องARI เฉพาะ. ผมเห็นหลายๆคลินิกคนไข้นั่งรอติดกันเป็นพืดๆ. ให้ห้องแอร์แคบๆ ไม่มีระบบระบายอากาศเลย. เราก็พูดกับตลอดว่า social distancing แต่ทำไมคนไข้มานั่งติดๆกับไปหมดในคลินิก อย่างนี้คนไม่ป่วยไม่ต้ดกันไปหมดเหรอครับ? แล้วหมอเราเองจะติดไหมละครับ? ถ้าเราป่วยเราก็ต้องปิดร้าน. รายได้ก็หายอีก ไม่มีสวัสดิกราอะไร? คลินิกผมทำห้องแยกคนไข้มีไข้ออกไป แม้แต่นั่งคอยก็ไม่ให้ปนกันครับ ตรวจแยกห้อง.  และใช้พัดลมระบายอากาศมาก คำนวณทิศทางลมที่จะระบายออกไป ไม่เปิดแอร์ครับ ทำห้องให้โปร่งมากที่สุดครับ  
ที่ผ่านมาช่วงโควิด คลินิกหลายแห่งปิดครับ เพราะกลัวโควิดในคลินิก. ถ้าตอนนี้เราออกแบบคลินิกเราดี ให้ระบายอากาศได้ดี แยกคนไข้มีไข้ออกจากกัน.  ในอนาคตไม่ว่าจะมีเชื้อบ้าบออะไร. คลินิกเราก็ยืนยัดอยู่ได้ไม่ต้องกลัวครับ และปลอดภัยด้วย
เปิดคลินิกไม่ง่ายแต่สนุกครับ
ไม่รวยมากแต่รวยก็มีและเจ้งก็มีครับ
หัวใจหลักที่ต้องสร้างให้ได้คือ ความศรัทธาครับ
คลินิก อยู่ได้เพราะคนไข้ศรัทธาในหมอคนนั้นครับ
ใช้เวลานานในการสร้างความศรัทธาครับ แต่มันคุ้มค่าครับ
เพราะคนไข้จะอยู่กับเราไปอีกนาน และบอกต่อๆๆๆไปเรื่อยๆครับ
สร้าง แบรนด์ให้ตนเอง แล้วเราจะครองพื้นที่ตรงนั้น. แม้ว่ามีคู่แข่ง. เขาก็จะกินเรายากครับ
ปล .ยาน้ำของเด็ก ผมเปิดชิมเองทุกชนิดครับ ถ้ารสชาดขม ไม่อร่อย ไม่เอาเข้าร้านครับ ผมเลือกซื้อมาหลายยี่ห้อมากครับ เอามาชิม แล้วคิดว่าเด็กๆจะชอบรสไหน เช่น ยาฆ่าเชื้อรสกล้วยหอม. ยาแก้ไอรสเชอรี่ ยาลดน้ำมูกรสครีมโซดา แล้วจะเปลี่ยนยี่ห้อยาทุกสามเดือนครับ เพราะคนไข้เด็กกลับมา จะได้รู้สึกว่าไม่ได้ยาขวดเดิมๆ. เป็นความโรคจิตอันนึงหรือจะเรียกว่าการใส่ใจบริการจนเกินไปก็ได้มั้งครับ
อ่านจบแล้ว คิดจะเลิกทำหรือเปล่าครับ?
จากคุณ: yyyyy โพสเมื่อวันที่: 12/04/20 เวลา 15:45:36
ยังไม่คิดเลิกค่า ตั้งใจว่าจะทำจริงจังเป็นงานหลักเลยค่ะ
คิดถูกแล้วที่เข้ามาถามก่อน จะนำคำแนะนำไปวางแผนและปรึกษาทางครอบครัว
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของทั้งสองท่านมากเลยค่ะ  Smiley Smiley
จากคุณ: positive โพสเมื่อวันที่: 12/04/20 เวลา 17:05:40
จริงๆแล้ว ทำเล ที่เหมาะสม สำคัญที่สุดเลยครับ สำหรับคลินิกเปิดใหม่  
 
เรื่องราคา  
1 ถ้ามีที่ตัวเอง แต่ทำเลไม่ดี ให้ยอมเช่าดีที่ทำเลดี ราคาเหมาะสมดีกว่าครับ เพราะถ้าเริ่มในทำเลไม่ดี มีแต่คิดแล้วเจ็บใจ เสียเวลา ถลำไปแล้ว นั่งเฝ้าเซ็งๆไปเรื่อยๆ ไม่ดีครับ  
 
2 ถ้าเปรียบเทียบระหว่าง ค่าเช่าแพงมาก ทำเลดีมาก กับ ค่าเช่าพอได้ ทำเลพอได้  กรณีคลินิก GP ให้เลือกทำเลพอได้ และถ้าเน้นที่จอดรถ สะดวก กว้างขวางได้ด้วยจะดีมากๆ เหตุผลคือเศรษฐกิจไม่ดีครับ ค่าเช่าแพงเหมือนขี่หลังเสือเกินไป ถ้าเขาขึ้นค่าเช่าอีก เราจะยังไหวไหมในอนาคต ทำจนติด แต่ต้องย้ายอยู่ดีก็ไม่ไหว อย่าลืมว่า GP รายได้ต่อเคสไม่สูง ไม่มีหัตถการ  แล้วเราไปชดเชยทำเลดีๆ ด้วยบริการเอาครับ
ลองคิดว่า ถ้าค่าเช่า ไปเท่ากับ กำไรของซัก 30-40 เคสต่อเดือน จะไหวไหมครับ ?
 
เข้าไปตกแต่งผิดที่ อาจจะนั่งเก้อจนท้อ พอทำใจได้ก็ต้องย้ายอยู่ดี หรือ ไม่ก็เลิกกิจการ พาลไปคิดว่าเราไม่ดี ไม่เก่ง จริงๆคือ ก้าวแรกผิด
จากคุณ: positive โพสเมื่อวันที่: 12/04/20 เวลา 17:07:32
ทำเล ดีเหมือนขี่เมฆมา  
 
 Grin Grin
จากคุณ: 6699 โพสเมื่อวันที่: 12/04/20 เวลา 19:23:39
-เปิดแบบไม่มีแลป เปิดคลินิคต้นทุนต่ำ ไม่ใช่ลดต้นทุน
ถ้ามีแลป ก็ต้องมีพนักงานตรวจแลป และต้องเอาคนมาตรวจแลปโดยไม่จำเป็น
ถ้าต้องตรวจแลป แนะนำให้มาพบที่รพ. และตรวจแลปที่จำเป็นให้เขา ทำให้เขาดีใจว่า ไม่ต้องเสียเงินมาก  
 
ต้องสร้างภาพในใจให้คนป่วยคิดว่า คลินิคเหมือนเป็น OPD นอกเวลาของรพ. ที่พบได้สะดวก รักษาเล็กน้อย แต่ถ้าต้องรักษามาก และต้องตรวจมาก คุณหมอจะส่งไปรพ.ใหม่  
 
เหนือชั้นกว่าร้านขายยานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดีเท่ารพ.รัฐ แต่ชนะกันตรงความรวดเร็ว และความจริงใจของแพทย์  
 
จากคุณ: Pandermonium โพสเมื่อวันที่: 12/05/20 เวลา 09:23:47
on 12/04/20 เวลา 19:23:39, 6699 wrote:
-เปิดแบบไม่มีแลป เปิดคลินิคต้นทุนต่ำ ไม่ใช่ลดต้นทุน
ถ้ามีแลป ก็ต้องมีพนักงานตรวจแลป และต้องเอาคนมาตรวจแลปโดยไม่จำเป็น
ถ้าต้องตรวจแลป แนะนำให้มาพบที่รพ. และตรวจแลปที่จำเป็นให้เขา ทำให้เขาดีใจว่า ไม่ต้องเสียเงินมาก  
 
ต้องสร้างภาพในใจให้คนป่วยคิดว่า คลินิคเหมือนเป็น OPD นอกเวลาของรพ. ที่พบได้สะดวก รักษาเล็กน้อย แต่ถ้าต้องรักษามาก และต้องตรวจมาก คุณหมอจะส่งไปรพ.ใหม่  
 
เหนือชั้นกว่าร้านขายยานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดีเท่ารพ.รัฐ แต่ชนะกันตรงความรวดเร็ว และความจริงใจของแพทย์  
 

 
ชนะตรงความจริงใจของแพทย์??
 
คุณจะมาเบลมว่า หมอที่โรงพยาบาลรัฐไม่จริงใจ ไม่เต็มใจตรวจ
โหยยย  ความคิดไดโนเสาร์มาก
 
 
จากคุณ: 6699 โพสเมื่อวันที่: 12/05/20 เวลา 10:13:43
on 12/05/20 เวลา 09:23:47, Pandermonium wrote:

 
ชนะตรงความจริงใจของแพทย์??
 
คุณจะมาเบลมว่า หมอที่โรงพยาบาลรัฐไม่จริงใจ ไม่เต็มใจตรวจ
โหยยย  ความคิดไดโนเสาร์มาก
 
 

 
ตรงไหนที่เราว่าหมอที่โรงพยาบาลรัฐไม่จริงใจ ไม่เต็มใจตรวจ  
 
 
ไม่ใช่แค่ในบอร์ดนี้ ไม่ว่าจะสังคมไหนๆ ควรพูดจาสุภาพๆ  
แต่พอสนิทกันเมื่อไหร่ ก็อาจจะอนุโลมให้หยาบคายได้ในระดับนึง
การพูดหยาบคาย ถ้าเจตนาน่ารัก จิตใจสะอาด อันนี้เราไม่ว่ากัน เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน
แต่การแอบกัด แขวะ กระแนะกระแหน พาดพิงกันให้เกิดความขัดแย้ง
โดยใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลนั้น ไม่น่ารัก แถมยังน่ารังเกียจ เราไม่ให้อภัย  
การละเมิดกติกาหรือมารยาทต่างๆ อาจจะทำให้คุณโดนตักเตือน และโดนสาปในที่สุด!
 
จากคุณ: Yaso โพสเมื่อวันที่: 12/11/20 เวลา 09:49:06
บางคนก็พร้อมที่จะไปรอที่รพ หลายๆ ชม เพื่อเข้าตรวจ ไม่ถึง 1 นาทีเเละรับยา  
เเต่บางคนต้องการพูดคุยกับหมอเเละซื้อเวลา รับบริการที่รวดเร็ว จะเป็นคนไข้ที่มารับบริการที่คลินิก  
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 12/19/20 เวลา 17:35:41
      เปิดคลินิก  ขอคำแนะนำ ? - คืองี้  ตีกลองแต๊ก , ติดตั้งไฟเปาะแปะ....
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 12/20/20 เวลา 21:26:44
     เปิดคลินิกใหม่   อยากได้คำแนะนำดีๆ ? - " เอามีดฟันตัวโชว์หน้าคลินิก"
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 12/21/20 เวลา 19:07:47
      คำแนะนำ....เปิดคลินิกใหม่ ? - "ฉีกยิ้ม"...


  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by