หน้าแรกเว็บบอร์ด หน้าแรกเว็บบอร์ด
   For MD.
   Doctor Room l ห้องพักแพทย์
   Post reply ( Re: Novo Nordisk เผยผลการศึกษาทดลอง insulin icodec ทางคลินิกเฟส 2 )
ขอเชิญเพื่อนแพทย์พูดคุย แสดงความคิดเห็นครับ
หัวข้อ:
ใส่ชื่อ:
Email:
Add YABBC tags:
Add Smileys: <more...>
ข้อความ:

Disable Smilies




Topic Summary
จากคุณ: IQ โพสเมื่อวันที่: 09/24/20 เวลา 13:23:26
การศึกษาวิจัยระยะที่ 2 ชี้ การเปลี่ยนไปใช้ insulin icodec สัปดาห์ละครั้ง มีประสิทธิภาพและทนต่อผลข้างเคียงได้ดีในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2
     วันนี้ Novo Nordisk ได้ประกาศผลการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2 จำนวนสามรายการ ซึ่งเป็นการศึกษา insulin icodec ซึ่งเป็นสารคล้ายคลึงอินซูลินพื้นฐานแบบสัปดาห์ละครั้ง และได้นำเสนอผลการศึกษาดังกล่าวในงานประชุมประจำปี 2020 ครั้งที่ 56 ของสมาคมการศึกษาโรคเบาหวานแห่งยุโรป (European Association for the Study of Diabetes - EASD)
 
การศึกษาทดลองรายการแรกแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนจากอินซูลินพื้นฐานอื่นๆ มาใช้ insulin icodec ซึ่งใช้แนวทางการเปลี่ยนยาสองแนวทางนั้น มีประสิทธิภาพและทนต่อผลข้างเคียงได้ดีในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมื่อเทียบกับการใช้ insulin glargine U100 แบบวันละครั้ง โดยการเปลี่ยนนี้ไม่มีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่รุน แรงหรือมีนัยสำคัญทางคลินิก เมื่อเทียบกับ insulin glargine U100 แบบวันละครั้ง[1] การศึกษาทดลองทางคลินิกในระยะที่ 2 เป็นระยะเวลา 16 สัปดาห์นี้ มีผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 วัยผู้ใหญ่เข้าร่วมจำนวน 154 ราย ซึ่งไม่ได้รับการควบคุมอย่างเพียงพอด้วยการให้ยาต้านเบาหวานทางปากและยาอินซ ูลินพื้นฐานแบบวันละครั้งหรือสองครั้ง โดยสุ่มผู้เข้าร่วมการทดลองที่มีการให้ insulin icodec แบบสัปดาห์ละครั้ง ทั้งในขนาดสูง (loading dose) และต่ำกว่า และ insulin glargine U100 [1],[2] ในผลการศึกษาหลักของการทดลองครั้งนี้ ค่า time in range ของน้ำตาลในเลือดที่ระดับ 3.9-10.0 mmol/L ระหว่างสัปดาห์ที่ 15 และ 16 ชี้ว่า ผู้ป่วยที่ได้รับ insulin icodec ในขนาดสูง มีค่า time in range สูงกว่าเมื่อเทียบกับ insulin glargine U100 (73% และ 65% ตามลำดับ) ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับ insulin icodec ในขนาดที่น้อยกว่ามีค่า time in range ของค่าน้ำตาลในเลือดใกล้เคียงกับ insulin glargine U100 (66% และ 65% ตามลำดับ)[1]
 
“เราทราบดีว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หลายคนไม่ต้องการยุ่งยากวุ่นวาย ซึ่งหมายถึงการฉีดยาน้อยครั้งกว่าและสะดวกกว่าการรักษาด้วยยาอินซูลินพื้นฐา นแบบวันละครั้งหรือสองครั้ง” Dr. Harpreet Bajaj หัวหน้าคณะวิจัยและแพทย่ต่อมไร้ท่อ LMC Diabetes & Endocrinology รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา กล่าว “การศึกษาทดลองในระยะที่ 2 นี้แสดงให้เห็นว่า insulin codec มีศักยภาพที่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ต้องรักษาด้วยการใช้ยาอินซูลิน โดยจะช่วยให้เปลี่ยนไปใช้ทางเลือกการรักษาใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องให้ยาทุกวันด ังเช่นวิธีการรักษาในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังอาจจะมีการควบคุมน้ำตาลในเลือดเป็นระยะเวลาที่นานกว่า และมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
 
อีกผลการศึกษาหลักแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากค่าพื้นฐานของระดับน้ำตาลสะสมในเ ลือดหรือ HbA1c ซึ่งไม่มีนัยสำคัญทางสถิติสำหรับการใช้ icodec ในขนาดสูงหรือน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ insulin glargine U100 (-0.77, -0.47 และ -0.54% ตามลำดับ) อัตราของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่รุนแรงหรือมีนัยสำคัญทางคลินิกใกล้เคียงกัน ระหว่างการใช้ insulin icodec ในขนาดสูง insulin glargine U100 (อัตราของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำระดับ 2 [<3 mmol/L] และระดับ 3 [รุนแรง] อยู่ที่ 0.78 และ 0.79 ครั้งต่อปีที่ผู้ป่วยใช้ insulin icodec และ insulin glargine U100 ตามลำดับ) และต่ำกว่าในผู้ป่วยที่ใช้ insulin icodec ในขนาดที่ต่ำกว่า (0.15 ครั้งต่อปีที่ผู้ป่วยใช้ยา) นอกจากนี้ ไม่พบประเด็นด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ insulin icodec แบบสัปดาห์ละครั้ง และไม่มีอาการที่รุนแรงเกิดขึ้นในการศึกษาทดลองครั้งนี้ [1]
 
ในการประชุมยังมีการนำเสนอข้อมูลที่เปรียบเทียบผลของอัลกอริทึมการไตเตรทที่ ต่างกันระหว่าง insulin icodec กับ insulin glargine U100 เพื่อความเข้าใจการไตเตรทที่ดีที่สุดสำหรับการใช้ยาอินซูลินพื้นฐานแบบสัปดา ห์ละครั้งในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่ได้รับการควบคุมที่เพียงพอในการให้ยาต้านเบาหวานทางปาก ในการศึกษาทดลองระยะเวลา 16 สัปดาห์นี้ พบว่าอัลกอริทึมการไตเตรทสำหรับ insulin icodec แบบสัปดาห์ละครั้งที่นำมาศึกษาทดลองทั้งสามรายการ มีประสิทธิภาพและทนต่อผลข้างเคียงได้ดีในผู้ป่วย นอกจากนี้ยังมีค่า time in range ที่ใกล้เคียงกับการใช้ยา insulin glargine U100 แบบวันละครั้ง โดยขึ้นอยู่กับอัลกอริทึมการไตไตรทที่ใช้ [3],[4]
 
นอกจากนี้ในการประชุมประจำปีของ EASD ยังมีการนำเสนอผลจากการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2 เป็นระยะเวลา 26 สัปดาห์ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 วัยผู้ใหญ่ ซึ่งไม่เคยใช้อินซูลินมาก่อน ผลการทดลองดังกล่าวชี้ว่า การใช้ insulin icodec ในผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถลดระดับน้ำตาลและมีความปลอดภัยในระดับที่ใกล้เคียงก ับ insuline glargine U100 อีกทั้งยังได้มีการตีพิมพ์ผลการทดลองดังกล่าวในวารสาร New England Journal of Medicine [5],[6] และก่อนหน้านี้ยังได้นำเสนอในงานประชุม Scientific Sessions ครั้งที่ 80 ของสมาคมโรคเบาหวานแห่งอเมริกา (American Diabetes Association) เมื่อเดือนมิถุนายน 2020
 
“Novo Nordisk เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเกี่ยวกับโรคเบาหวาน เราตระหนักดีว่ามีความต้องการที่จะสร้างทางเลือกการรักษาแบบใหม่เพื่อช่วยเห ลือผู้ป่วยโรคเบาหวานและให้ผลการรักษาที่ดีขึ้น” Mads Krogsgaard Thomsen รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ บริษัท Novo Nordisk กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นกับข้อมูลจากการศึกษาทดลอง insulin icodec ในระยะที่ 2 ซึ่งได้นำเสนอในงานประชุม EASD 2020 และ ADA 2020 โดยผลการทดลองแสดงถึงประสิทธิผลและการไร้ผลข้างเคียง จึงมีศักยภาพที่จะเป็นทางเลือกการรักษาที่สะดวกง่ายดายกว่าสำหรับผู้ป่วยโรค เบาหวานชนิดที่ 2 ที่เพิ่งเริ่มการรักษาด้วยอินซูลิน และผู้ที่ใช้อินซูลินอยู่แล้วและต้องการเปลี่ยนยา”


  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by