Topic Summary
|
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< |
โพสเมื่อวันที่: 07/08/20 เวลา 11:25:08 |
หลักการลงทุนของ Warren Buffett ************************** 1) มองหาธุรกิจที่เข้าใจง่าย 2) ต้องมีอนาคตในระยะยาว 3) มีผบห.ที่ซื่อสัตย์ 4) มีกำไรสม่ำเสมอ 5) มีผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นที่ดี 6) มีหนี้น้อย 7) ราคาเหมาะสมไม่แพงเกินไป
|
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< |
โพสเมื่อวันที่: 07/08/20 เวลา 11:25:30 |
ความได้เปรียบ.. ของการนั่งทับเงินสดกองโต.. จะปรากฏชัดเมื่อตลาดพังครืนลงมา .. ในช่วงขาลง เวลาที่เงินเริ่มตึงตัว ราคาสินทรัพย์มักพังพาบลงมา ความหดหู่เศร้าหมองเข้ามาครอบงำทั่วทั้งตลาด .. บริษัทที่อุดมไปด้วยเงินสดจึงอยู่สถานะที่สามารถขยายส่วนแบ่งตลาดด้วยต้นทุน ที่ต่ำกว่า .. ในขณะบริษัทที่กู้มาสูงๆ ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสน .. ปรับปรุงจาก-How to spot the next Starbucks, Whole foods, Walmart or McDonald's
|
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< |
โพสเมื่อวันที่: 07/08/20 เวลา 11:25:45 |
การผันผวนของราคา.. มีความหมายสำคัญต่อนักลงทุนเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ.. -ทำให้นักลงทุนมีโอกาสดีในการซื้อเมื่อราคาลดลงอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสที่ดีในการขายเมื่อราคาเพิ่มขึ้นอย่างมาก -ในช่วงเวลาอื่นๆ นักลงทุนจะทำได้ดีกว่าหากเขาจะลืมเรื่องตลาดหุ้น และให้ความสนใจกับเงินปันผลที่เขาได้รับและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เขาลง ทุน -บรมครู เบนจามิน เกรแฮม
|
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< |
โพสเมื่อวันที่: 07/08/20 เวลา 11:26:35 |
ฟิลลิป ฟิชเชอร์: ให้คำแนะนำไว้ในหนังสือ Common Stocks and Uncommon Profits เกี่ยวกับการลงทุน โดยเน้นให้มีความอดทนและมั่นคงในหลักการ นักลงทุนควรจะเป็นผู้ที่คิดให้เร็วกว่านักลงทุนคนอื่นๆ และรู้จักรอคอยจนกว่าพวกเขาเหล่านั้นจะตามทัน บางครั้งการลงทุนที่ยอดเยี่ยมอาจใช้เวลาถึง 5 ปี กว่าที่จะมอบผลตอบแทนอันงดงามให้กับความมุ่งมั่น หากนักลงทุนปฏิบัติตามหลักการที่ถูกต้องในตอนที่ซื้อหุ้นแล้ว ก็แทบไม่ต้องคำนึงถึงช่วงเวลาที่จะขายหุ้นแต่อย่างใด มีเหตุผลเพียง 3 ข้อเท่านั้น ในการขายหุ้น 1) เมื่อการตัดสินใจซื้อนั้นผิดพลาด คนส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากยอมรับว่าตัวเองทำผิดพลาด จึงทำให้ขาดทุนจากการทนถือหุ้นเอาไว้จนแทบไม่เหลือมูลค่า (loss aversion) 2) เมื่อพื้นฐานของกิจการเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง หรือถูกทำลายล้าง 3) มีหุ้นตัวอื่นที่น่าสนใจซื้อมากกว่า มักจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก .. อย่าลืมว่าบริษัทที่มีความโดดเด่นนั้น "ไม่ใช่จะทำได้เพียงแค่นี้" คุณควรจะอยู่กับมันจนถึงเวลานั้น
|
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< |
โพสเมื่อวันที่: 07/08/20 เวลา 11:26:57 |
วินัยเชิงอารมณ์กับการลงทุน ************************** #ปีเตอร์ ลินช์.. อดีตผู้จัดการกองทุนและรองประธานกรรมการของ Fidelity investments เคยอธิบายว่า นักลงทุนจะต้องผ่านอารมณ์ 3 ลักษณะอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ -ความกังวล -ความชะล่าใจ -และการยอมจำนน .. เขาบอกว่า นักลงทุนโดยทั่วไปจะเกิดความกังวลหลังจากการเกิดภาวะตกต่ำของตลาดหุ้นหรือเศ รษฐกิจเริ่มชะลอตัว ซึ่งทำให้นักลงทุนเหล่านี้ไม่ได้เข้าซื้อหุ้นดีๆ ที่ราคาถูกๆ .. ด้วยเหตุผลลักษณะเดียวกัน หลังจากที่นักลงทุนซื้อหุ้นที่ราคาสูงขึ้นแล้ว หากราคาหุ้นยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็จะเริ่มรู้สึกชะล่าใจ จริงๆแล้ว นี่เป็นเวลาที่ต้องมาทบทวนปัจจัยพื้นฐานของบริษัทกันอีกครั้ง นักลงทุนแบบนี้คิดว่าหุ้นจะขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อหุ้นตกลงอย่างหนัก และราคาตลาดตกลงมาต่ำกว่าราคาต้นทุน นักลงทุนเหล่านี้ก็จะยอมจำนนและเทขายหุ้นออกมา .. กระทั่งคนที่บอกว่าตัวเองเป็นนักลงทุนระยะยาว ก็อาจเปลี่ยนไปเมื่อตลาดหุ้นเกิดภาวะตกต่ำลงอย่างหนัก .. หากนักลงทุนไม่สามารถทนทานต่อความเจ็บปวดจากการตกต่ำของตลาด และไม่มีความสามารถในการมองข้ามการตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นในตลาด พวกเขาก็ไม่สามารถเป็นนักลงทุนระยะยาวได้ .. จำนวนของนักลงทุนระยะยาวนั้นมีน้อยกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด เนื่องจากวินัยเชิงอารมณ์(ความสามารถควบคุมการตอบสนองอย่างฉับพลันและการไม่ ให้อารมณ์มาครอบงำการตัดสินใจ)เป็นสิ่งที่พบเจอได้ยากในตลาดหุ้น
|
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< |
โพสเมื่อวันที่: 07/08/20 เวลา 12:05:09 |
-อันนี้พูดตรงๆนะ ไม่ได้คุยอะไร ประเด็นคือ -ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราเริ่มตอนอายุเยอะมากๆแล้ว -เริ่มลงทุนเต็มๆ ตอนอายุ 44 -นาทีนั้นเราเป็นผู้ใหญ่มากๆแล้ว -เราใช้ทฤษฎีมาตั้งแต่แรก -เรา Conservative เราDiversify -เรารู้เรื่องมาเยอะตั้งแต่แรก -เราศึกษาเยอะมาก่อนที่จะเข้ามาลงทุน -ได้ลองผิดลองถูกมาเยอะกับบริษัท -บริษัทที่เคย failไปอะไรไปมี แต่ไม่เคยเป็นตัวใหญ่ -ถ้าตัวใหญ่failเมื่อไหร่อันนั้นอันตรายมาก -ต้องไม่ให้สิ่งใหญ่ๆ บิ๊กๆ fail -ถ้าอันไหน fail แล้วใหญ่พอที่จะทำลายชีวิตเรา...ชีวิตติดขัด..คุณตายได้ อย่าทำ -แต่ถ้า fail แล้วอยู่ได้ ฟื้นได้ ทำใหม่ได้ อย่างนี้ไม่เป็นไร อันนี้ผมแนะนำ คุณสู้ไป -คุณจะ failจริงๆ ก็ต่อเมื่อคุณเลิกทำ ข้อคิดจากประสบการณ์การลงทุนของ:ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
|
จากคุณ: megacure |
โพสเมื่อวันที่: 07/08/20 เวลา 17:10:24 |
การพนัน กับ การลงทุน ไม่เหมือนกัน การลงทุนต้องมีปัจจัย หลักการ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วสนับสนุน ตอนนี้ผมว่าตลาดหุ้นหลุดจากความเป็นจริงไปแล้ว(โดยทั่วไป) ตลาดอสังหาเริ่มหาสินทรัพย์ลงทุนพอได้
|
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< |
โพสเมื่อวันที่: 07/09/20 เวลา 10:01:57 |
on 07/08/20 เวลา 17:10:46, 6699 wrote:-การลงทุนที่ดี ลงครั้งเดียว แล้วไม่ต้องทำการลงทุนซ้ำอีกต่อไป เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซื้อพลอยทัวร์มาลีน กะรัตละ 200 บาท เพทาย กะรัตละ 200 บาท บุษราคัม กะรัตละ 500 บาท เพราะหนังสือ Standard Gem value บอกราคากลางของพลอย เฉลี่ยแล้วกะรัตละ 4000-5000 บาท แสดงว่า ตลาดเมืองไทยตีราคาผิดพลาด 20-25 เท่า -ซื้อไปประมาณ 30 ล้าน ตอนนี้ พลอยทัวร์มาลีน และพลอยอื่นๆ ขายราคาส่งที่ตลาดพลอยที่เฉลี่ยกะรัตละ 2000 บาท ราคา 10x หรือสิบเท่าของราคาเดิม ทำให้มูลค่าพลอยที่เก็บเอาไว้ เพิ่มเป็น 300 ล้าน แต่ราคายังเพิ่มขึ้นอีกประมาณปีละ 10-15% ทำให้สามารถเก็บเอาไว้ได้ ไม่ต้องรีบร้อนขาย เพราะตอนนี้ไม่มีธุรกิจอะไรที่ทำผลตอบแทนได้กำไรปีละ 10% โดยไม่ผิดกฏหมาย และตั้งใจเก็บเอาไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานต่อไป ถ้ามองว่า ราคาเพิ่มปีละ 7 % ในเวลา 30 ปี ราคาจะเพิ่มขึ้น 7.6 เท่า ถ้าราคาเพิ่มขึ้น 8%ต่อปี ในเวลา 30 ปี ราคาจะเพิ่มขึ้น 10 เท่า ราคาในอีก 30 ปีตอนนั้นที่ให้หลาน น่าจะเป็น 300x7.6 = 2280 ล้าน หรือ 300x10 =3000 ล้านบาท ซึ่งไม่น่าจะผิดพลาด เพราะเวลา 30 ปี ถ้ามีทศวรรษที่ไม่ได้ผลตอบแทน หรือประเมินผิดราคาลดลงไปครึ่งหนึ่ง จะเท่ากับผลตอบแทนน้อยลง 2% คือประมาณจาก 10% เหลือประมาณ 7-8% -ซื้อไพลิน ตั้งแต่กะรัตละ 6,000 บาท จนราคาเพิ่มเป็น 60,000 บาท ก็หยุดซื้อ ได้ไพลิน ขนาด 14 กะรัต เอามาทำแหวนล้อมเพชร 20 สตางค์ เรือนทองคำขาว เหมือนกับของเจ้าหญิงเคสทุกอย่างเลย เอามาใส่เล่น มองว่าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนทางจิตใจ |
| ขอบคุณมากครับอาจารย์... ไม่เคยรู้ชัดมาก่อนว่า ตลาดอัญมณีมีมูลค่าเติบโตสูง
|
จากคุณ: nicenick |
โพสเมื่อวันที่: 07/09/20 เวลา 14:23:27 |
on 07/08/20 เวลา 17:10:46, 6699 wrote:-การลงทุนที่ดี ลงครั้งเดียว แล้วไม่ต้องทำการลงทุนซ้ำอีกต่อไป เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซื้อพลอยทัวร์มาลีน กะรัตละ 200 บาท เพทาย กะรัตละ 200 บาท บุษราคัม กะรัตละ 500 บาท เพราะหนังสือ Standard Gem value บอกราคากลางของพลอย เฉลี่ยแล้วกะรัตละ 4000-5000 บาท แสดงว่า ตลาดเมืองไทยตีราคาผิดพลาด 20-25 เท่า -ซื้อไปประมาณ 30 ล้าน ตอนนี้ พลอยทัวร์มาลีน และพลอยอื่นๆ ขายราคาส่งที่ตลาดพลอยที่เฉลี่ยกะรัตละ 2000 บาท ราคา 10x หรือสิบเท่าของราคาเดิม ทำให้มูลค่าพลอยที่เก็บเอาไว้ เพิ่มเป็น 300 ล้าน แต่ราคายังเพิ่มขึ้นอีกประมาณปีละ 10-15% ทำให้สามารถเก็บเอาไว้ได้ ไม่ต้องรีบร้อนขาย เพราะตอนนี้ไม่มีธุรกิจอะไรที่ทำผลตอบแทนได้กำไรปีละ 10% โดยไม่ผิดกฏหมาย และตั้งใจเก็บเอาไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานต่อไป ถ้ามองว่า ราคาเพิ่มปีละ 7 % ในเวลา 30 ปี ราคาจะเพิ่มขึ้น 7.6 เท่า ถ้าราคาเพิ่มขึ้น 8%ต่อปี ในเวลา 30 ปี ราคาจะเพิ่มขึ้น 10 เท่า ราคาในอีก 30 ปีตอนนั้นที่ให้หลาน น่าจะเป็น 300x7.6 = 2280 ล้าน หรือ 300x10 =3000 ล้านบาท ซึ่งไม่น่าจะผิดพลาด เพราะเวลา 30 ปี ถ้ามีทศวรรษที่ไม่ได้ผลตอบแทน หรือประเมินผิดราคาลดลงไปครึ่งหนึ่ง จะเท่ากับผลตอบแทนน้อยลง 2% คือประมาณจาก 10% เหลือประมาณ 7-8% -ซื้อไพลิน ตั้งแต่กะรัตละ 6,000 บาท จนราคาเพิ่มเป็น 60,000 บาท ก็หยุดซื้อ ได้ไพลิน ขนาด 14 กะรัต เอามาทำแหวนล้อมเพชร 20 สตางค์ เรือนทองคำขาว เหมือนกับของเจ้าหญิงเคสทุกอย่างเลย เอามาใส่เล่น มองว่าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนทางจิตใจ |
| บ้านเคยขายอัญมณีคะ อยากถามว่าราคารวมใบเซอร์ยัง ราคาที่เขาตั้งพลอยไว้ให้ต่อนะคะ ถ้าไปที่ทวีปAfricaของที่ไม่ได้เผาไม่ได้เจียถูกกว่านี้ แถวมาดากัสการ์ไพรินถูกมาก
|
จากคุณ: nicenick |
โพสเมื่อวันที่: 07/10/20 เวลา 22:08:41 |
on 07/10/20 เวลา 07:09:10, 6699 wrote: -เราได้รับความรู้เรื่องพลอย จากคุณเมธี มาตั้งแต่เด็ก ท่านสอนเราเรื่องการดูพลอย การเผาพลอย การตีราคาพลอย พลอยที่เราซื้อ ส่วนใหญ่ซื้อจากตลาดจันทร์ และสีลม มีการออกใบเซอร์ แต่เป็นใบเซอร์เล็ก ถ้าต้องการใบเซอร์ใหญ่ ต้องไปทำที่สถาบัน ราคาใบละ 400 บาท แต่เราติดต่อทำใบเซอร์ทีละพันใบ ทำให้ได้ราคาพิเศษ -พลอยส่วนใหญ่ของเราเป็นทัวร์มาลีน รับรองของแท้แน่นอน เพราะเราซื้อก้อนพลอยดิบจากชาวต่างชาติ มาทำการเผาเอง และทำการเจียเอง ถ้าเม็ดที่ใหญ่กว่า 5 กะรัต เราส่งทำใบเซอร์หมด เพื่อไม่ให้มีปัญหาแก่ลูกหลาน จริงๆ เรามีพลอยเกือบทุกชนิดที่มีในโลก พอที่จะทำการเปิดสอนเรื่องการดูพลอยให้แก่คนที่สนใจได้ -เราไม่ได้แนะนำให้คุณหมอทำเรื่องการซื้อพลอย เราแค่แชร์เรื่องการบริหารเงินเท่านั้นเอง เมื่อซื้อถึงจำนวนเงินที่เราจัดสรรไว้ เราก็หยุดทำการซื้อ ถ้าซื้อต่อ เราจะได้กำไร แต่เราก็อาจจะขาดทุนได้ เราต้องการให้สินทรัพย์ของเรา กระจายไปในทางที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เพื่อรักษาความมั่งคั่งเอาไว้เท่านั้นเอง เราไม่ได้คิดที่จะเป็นแม่ค้าพลอย เพราะธุรกิจนี้ ต้องทำเป็นตระกูล กว่าจะรวยต้องใช้เวลานานเป็นชั่วคน สามีดีๆ หายากกว่าพลอยดีๆ -จริงๆแล้ว เราเขียนตำราเรื่องการดูพลอย และการประเมินมูลค่าพลอย และตำราเรื่องเกี่ยวกับเพชรทั้งหมด เป็นภาษาไทย ใช้เวลาว่างประมาณ หกเดือน เพื่อศึกษาเรื่องเพชรและพลอย เขียนตำราขึ้นมา แต่เมื่อมองดูแล้ว คนไทยอ่านหนังสือน้อยมาก ดังนั้น เลยเก็บเอาไว้เท่านั้นเอง ยุคสมัยนี้ ไม่ใช่ยุคสมัยของหนังสือ แต่เป็นเรื่องของ ยูทูปเปอร์ ถ้าใครดูพลอยเองไม่ได้ ตีราคาไม่ได้ ไม่แนะนำให้ลงทุนแบบเรา พลอยจากก้อนเดียวกัน ยังราคาไม่เท่ากัน เรียกว่า พลอยเหนือ และพลอยใต้ -ไพลิน เราทำใบเซอร์หมด ปัจจุบัน ไพลินสามารถสังเคราะห์ได้เหมือนกับไพลินธรรมชาติ ออกมาเป็นตัวเดียวกัน สูตรทางเคมีเหมือนกับของธรรมชาติ แยกยากมาก แต่ใบเซอร์จะบอกว่า มาจากห้องแลป หรือธรรมชาติ แต่คุณลักษณะเหมือนกันตัดกระจกได้เลย -การลงทุนเรื่องพลอย ในอดีต เป็นเรื่องทำกำไรได้มาก เราเรียกการลงทุนแบบนี้ว่า การทำอาร์บิทราจ (Arbitrage) เพราะตลาดสองตลาด คือตลาดเมืองไทย และตลาดเมืองนอก ราคาต่างกันมาก แต่ระยะหลังทุนจีน เข้ามาเมืองไทย ทำให้ราคาทุนปรับมาเท่ากัน ทำกำไรไม่ได้ แต่เราก็ออกมาจากตลาดนี้แล้ว การที่พลอย ราคาเปลี่ยนทุนจาก 200 มาเป็น 2000 บาท เพราะทุนจีน ซื้อแบบไม่ยั้ง แต่ราคาพลอยกลาง ในตลาดโลก ก็สูงขึ้นจากเดิม -การรับฟังคุณเมธีสอนเรื่องพลอยด้วยความตั้งใจ และถ่อมตัว ทำให้เราทำเงินได้จำนวนมากพอควร พลอยขุดบนโต๊ะ ได้มากกว่า จะไปขุดที่เหมืองที่อัฟริกา ปลอดภัยและสบายอีกด้วย |
| ดีแล้วคะที่เอาไปเจียระไน นึกว่าไม่ได้เอาไปเจียระไน ไม่ได้เป็นหมอคะ เราเอาไปขึ้นใบเซอร์ใบละห้าร้อย เขียนตำราเอาลงEbookขายได้นะคะ จะได้เป็นความรู้ เราเองก็เรียนรู้เรื่องอัญมณีกับชาวยิวและพ่อเรา เราไม่อยากทำอาชีพนี้แล้ว เราไม่อยากเหมือนพ่อเราคะ เอากล้องเลนมาโครถ่ายภาพเป็นหน้าปกก็ได้คะ เพื่อนเราที่เป็นยิว มีรอบหนึ่งเขากับเราไปซื้อพลอยด้วยกัน เขาต่อราคาจากห้าหมื่นเหลือสี่พันห้า คนขายก็ขายให้นะ ถ้ามีความรู้แล้วลงทุนก็หายห่วงแล้วคะ บางคนเห็นว่ามีใบเซอร์หลอกขายแพงก็มี เข้าใจการลงทุนต้องเลือกทำในสิ่งที่คิดว่าคุ้มค่าได้ผลตอบแทนมากที่สุด
|
จากคุณ: positive |
โพสเมื่อวันที่: 07/12/20 เวลา 19:45:44 |
กระทู้นี้ได้ความรู้ ได้ทบทวน ขอบคุณครับ
|
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< |
โพสเมื่อวันที่: 07/13/20 เวลา 10:50:01 |
โฮเวิร์ด มาร์กส์ *********** บอกว่า ปรัชญาข้อแรกของกองทุน Oaktree Capital ที่เขาบริหาร คือการให้ความสำคัญกับ การควบคุมความเสี่ยง เป็นอันดับหนึ่ง มาร์กส์บอกลูกค้าของเขาว่า สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การเอาชนะตลาด ไม่ใช่การทำเงินให้ได้มากสุด และไม่ใช่การทำผลงานให้อยู่ในกลุ่มนำ แต่คือ การควบคุมความเสี่ยง การเอาเงินมาลงทุนกับเขา แปลว่าสินทรัพย์ของคุณจะอยู่ภายใต้การควบคุมความเสี่ยงที่ดี นั่นตามมาด้วยปรัชญาข้อสองในการลงทุน คือ การ เน้นความสม่ำเสมอ มาร์กส์บอกว่า หลักของเขาคือ จะไม่ มุ่งหาดวงจันทร์ หากว่าพลาดแล้วมีโอกาสร่วงลงมาร่างกายแหลกเหลว เขาบอกว่า เขาไม่เคยสนที่จะทำผลงานให้ติดกลุ่ม top5 ขอแค่ สูงกว่ากลุ่มกลางๆ ตลอดเวลา วีไอสมองเพชรผู้กล่าวต่อไปว่า ถ้าอยากเป็น top5 ก็ต้องพร้อมเป็น bottom 5 ด้วย ซึ่งเขาไม่พร้อมที่จะเป็นเช่นนั้น มาร์กส์เล่าว่า มีกองทุนบำนาญอยู่กองหนึ่ง ตลอด 14 ปี ทำผลงานอยู่ในอันดับ 27-47 ทุกปี ไม่เคยหลุดจากนี้ แต่พอครบ 14 ปี กองทุนนี้กลับอยู่ใน อันดับ 4 ทั้งที่ดูเผินๆ ควรจะอยู่ในอันดับสามสิบกว่าๆ ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? คำตอบก็คือ สำหรับกองทุนทั่วๆ ไป ในปีที่ดีก็ดีมาก พอถึงปีที่แย่ก็แย่หนักจริงๆ กองทุนที่อยู่ในระดับกลางๆ สูงกว่าเฉลี่ยเพียงเล็กน้อย แต่มีความสม่ำเสมอ บรรทัดสุดท้ายจึงได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่าเยอะ มาร์กส์บอกว่า เขาต้องการให้กองทุนของเขา ทำผลงานในระดับ a liltle but over the middle all the time คืออาจจะหลุดขึ้นไปติดท้อปบ้างในปีที่ตลาดแย่มากๆ แต่นอกเหนือจากนั้นจะอยู่แค่สูงกว่ากลางๆ นิดหน่อย ในระยะยาว ผู้คนจะนับถือเราไปในแบบนี้ มาร์กส์กล่าว นี่เป็นข้อคิดที่ดีมากสำหรับคนที่จะเลือกลงทุนในกองทุน รวมถึงกองทุนในเมืองไทยด้วยเช่นกัน อย่ามุ่งหาพวกกองทุนตัวท้อปอันดับ 1 แต่ให้หากองทุนที่ทำผลงานได้ในระดับกลางๆ แต่มีความสม่ำเสมอ นั่นต่างหาก คือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 07/15/20 เวลา 15:09:21 |
เล่นพนัน กับ ทำธุรกิจ อะไรเจ๊งบ่อย ? - เท่าที่กระผมสังเกต ทำธุรกิจโอกาสเจ๊งบ่อยกว่า ครับ.......
|
จากคุณ: Fantastic_Four |
โพสเมื่อวันที่: 07/22/20 เวลา 23:35:19 |
ขอบคุณครับ
|
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< |
โพสเมื่อวันที่: 07/29/20 เวลา 14:58:04 |
@The stock market is a device for transferring money from the impatient to the patient. :ตลาดหุ้นคือเครื่องถ่ายโอนเงินจากคนที่ไม่มีความอดทน ไปสู่คนที่มีความอดทน @Wall Street makes its money on activity, you make your money on inactivity. :วอลสตรีททําเงินจากการเคลื่อนไหว แต่คุณจะทําเงินจากการไม่เคลื่อนไหว - Warren Buffett -
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 08/09/20 เวลา 11:44:59 |
ทองคำ ๓ หมื่น/บาท ? - ยังขึ้นได้อีก ครับ...
|