หน้าแรกเว็บบอร์ด หน้าแรกเว็บบอร์ด
   For MD.
   Doctor Room l ห้องพักแพทย์
   Post reply ( Re: วิธีกลับเข้ารับราชการทำไงบ้างคะ )
ขอเชิญเพื่อนแพทย์พูดคุย แสดงความคิดเห็นครับ
หัวข้อ:
ใส่ชื่อ:
Email:
Add YABBC tags:
Add Smileys: <more...>
ข้อความ:

Disable Smilies




Topic Summary
จากคุณ: ornnyornny123 โพสเมื่อวันที่: 08/21/19 เวลา 23:02:02
สวัสดีคะ พอดีเป็นหมอเอกชน จีพี อายุ 31 ปีคะ   เดิมรับราชการอยู่ รพช แต่มีปัญหาเรื่อเงินไม่พอใช้ในครอบครัว เพราะเป็นเสาหลักครอบครัว  ทำเอกชนได้สัก 2 ปี แล้วคะ  
 
ตอนนี้อยากกลับเข้าไปเรียนต่อ แต่คิดว่าถ้าเป็นฟรีเทรน คงเข้าเรียนยาก เลยมาสอบถามคะ ว่ามีวิธีกลับเข้าราชการยังไงดีคะ
 
สาเหตุที่อยากกลับเข้าไปเรียนต่อ
1.ทำคลินิกเอกชน รายได้ราวๆ 200 k มีเวลาว่าง 5-7 วันต่อเดือน
แต่พอมองเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ที่เรียนต่อแล้วรู้สึกตัวเองต้องเรียนด้วย ถึงจะเข้าสังคมเป็นที่ยอมรับ
 
2.ที่บ้านรับราชการ ไม่ค่อยเห็นด้วยกับงานเอกชน เพราะบอกว่าไม่มั่นคง  
 
3.ถ้ากลับไปเรียน คงเรียนสาขา minor ที่ทำเงินส่วนนึง เพราะเป้าหมายหลัก คือ เงิน และเวลา
 
ควรทำเอกชนแบบนี้ไปจนแก่ หรือควรเข้าระบบไปเรียนต่อให้จบสักสาขาคะ
 
 
จากคุณ: gundamwing โพสเมื่อวันที่: 08/22/19 เวลา 07:29:51
ถามหลังไมค์ได้ไหมคะ   คลินิกไหน
จากคุณ: gundamwing โพสเมื่อวันที่: 08/22/19 เวลา 07:39:38
คลินิกความงามแน่เลย
จากคุณ: Xanz โพสเมื่อวันที่: 08/22/19 เวลา 10:17:47
เปนผมทำคลินิกความงามสะสมเงินศึกษาลงทุน ยังไงคุ้มกว่าเรียนต่อ
ที่ตอนนี้สเปเริ่มล้นตลาด gp ยังขาดเพราะสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครอยากเป็นทุกคนมุงหาสเปจนงานในเอกชนต้องปรับค ่าตัวลงถ้าไม่ตัวtopจริงโดนหั่นค่าตัวเยอะผมว่ายังไงgp มั่นคงกว่านะอันนี้เพราะกำไร รพ เอกชนเริ่มหดเพราะต้นทุนสูงการจ้างสเปนอกจากใช้เงินแล้วยังต้องลงทุนอุปกรณ์ อีกมันเริ่มมีคนจ่ายไม่ไหวต้องกลับไปรพ รัฐอยู่ดีเห็นมีแต่คนบอกเราขาดสเป แต่มองมุม นธก ไม่รู้จ้างสเปเยอะๆทำไมในเมื่อคนที่มีกำลังจ่ายและอุปกรณ์แพงแถมเรื่องมากเก ี่ยงงานอีก ถ้าสังเกตดีๆงานเดี๋ยวนี้เงินเดือนสเปกเบgp Gapแคบขึ้นถ้าgp ล้นจริงgapน่าจะห่างถ้าเป้าหมายเงินกับเวลา ยังไงศึกษาลงทุนดีกว่าไม่ต้องเก็บเอาแบบพอไปรอดแล้วจะรู้ว่าสมัยนี้การไปลงท ุนเรียนสเปขาดทุนเพราะต้องใช้เวลาโดนโขกสับ 3ปีเทียบกับเล่งหาเงินขยายทรัพย์สินทำเงินจะรู้ว่าอันไหนคุ้มกว่า
จากคุณ: Hybrid VI โพสเมื่อวันที่: 08/22/19 เวลา 12:41:57
specialist เดินชนกัน
GP จำนวนน้อย ควงเวรกันมือประวิง
บาง รพ.จังหวัด หมอ staff แผนกเดียว มีจำนวนมากกว่าหมอ รพช.ทั้งจังหวัดรวมกันเสียอีก  
ไปถามน้องหมอ med ที่ลาออกไป full time รพ.เอกชน บอกทำงานวันละ 9 ชั่วโมง (ไม่มีคนไข้ ก็ต้องนั่งในห้องตรวจ) ได้วันละ 15,000 บาท ตกชั่วโมงละ 1,667 บาท
แต่ GP รพช.ได้เงินเฉลี่ยวันละ 4,000 บาท (วันทำการเดือนละ 22 วัน หักลบสิทธิลาพักผ่อน ลากิจเหลือเฉลี่ย 20 วัน) ได้เงินเดือนรวมเบี้ยต่างๆ เดือนละ 80,000 บาท) แต่ตรวจวันละ 3 ชั่วโมง ตกชั่วโมงละ 1,337 บาท
ตอนบ่ายไปเปิดคลินิค 3 ชั่วโมง อย่างขี้ๆ ก็ได้ ชม.ละ 2,000 บาท
ทั้งวัน ได้ 10,000 บาท
จากคุณ: SantaNiCo โพสเมื่อวันที่: 08/22/19 เวลา 19:10:47
โป เป็นสเปเชี่ยลลิสได้วันละ15000เลยเหรอคะ
น่าอิจฉาจัง
จากคุณ: crv01 โพสเมื่อวันที่: 08/22/19 เวลา 19:16:26
ไปสมัครทำงานที่โรงบาลชุมชนที่ขาดแพทย์.  เป็นลูกจ้างก่อนแล้วขอรับทุนไปเรียนต่อ. อายุน้อยควรหาความรู้ก่อน.
จากคุณ: น้ำเน่าในเงาจันทร์ โพสเมื่อวันที่: 08/23/19 เวลา 15:46:39
on 08/22/19 เวลา 19:10:47, SantaNiCo wrote:
โป เป็นสเปเชี่ยลลิสได้วันละ15000เลยเหรอคะ
น่าอิจฉาจัง

 
ถ้าเป็นsub med ที่มีหัตถการมากกว่านั้นนะ
แล้วยิ่งถ้าเป็นsub med แต่ลงมาช่วยตรวจงาน gen medก็ได้เพิ่มไปอีกนะ  
 
รพ อื่นไม่รู้นะ แต่ รพ ผม แค่ EGD DFปาไป 5000-8000 แค่เอากล้องแหย่ๆ15-30นาทีเสร็จ
colono DF12000-15000
ERCP นี่ DFปาไป 30000-40000
ยังไม่รวมตรวจเคสOPDกะround ward อีกนะ
 
ไม่เลือกงานมาก ไม่ยากจนหรอก
   
จากคุณ: Omo โพสเมื่อวันที่: 08/24/19 เวลา 07:31:13
รพ อื่นไม่รู้นะ แต่ รพ ผม แค่ EGD DFปาไป 5000-8000 แค่เอากล้องแหย่ๆ15-30นาทีเสร็จ  
colono DF12000-15000  
ERCP นี่ DFปาไป 30000-40000  
 
นี่คือเหตุผลว่าก่อนเราส่งเคส consult GI ต้องคัดกรองเยอะมาก
ห้ามส่งมั่วๆ
เพราะ GI รพ.เอกชน เห็นแก่เงิน
การรักษาแทบไม่เปลี่ยนแปลง
ให้แค่ PPI หรือ H.pyroli
คนไข้ที่งบน้อย เราจะแนะนำไปส่องกล้อง รพศ.
เดี๋ยวนี้ GI แทบล้นแล้ว
ทำเป็นแค่ส่องกล้อง คิด DF แพงๆ
คุณภาพชีวิตคนไข้ไม่เปลี่ยน
ระวังเวรกรรม
จากคุณ: Omo โพสเมื่อวันที่: 08/24/19 เวลา 07:46:35
on 08/22/19 เวลา 12:41:57, Hybrid VI wrote:
specialist เดินชนกัน
GP จำนวนน้อย ควงเวรกันมือประวิง
บาง รพ.จังหวัด หมอ staff แผนกเดียว มีจำนวนมากกว่าหมอ รพช.ทั้งจังหวัดรวมกันเสียอีก  
ไปถามน้องหมอ med ที่ลาออกไป full time รพ.เอกชน บอกทำงานวันละ 9 ชั่วโมง (ไม่มีคนไข้ ก็ต้องนั่งในห้องตรวจ) ได้วันละ 15,000 บาท ตกชั่วโมงละ 1,667 บาท
แต่ GP รพช.ได้เงินเฉลี่ยวันละ 4,000 บาท (วันทำการเดือนละ 22 วัน หักลบสิทธิลาพักผ่อน ลากิจเหลือเฉลี่ย 20 วัน) ได้เงินเดือนรวมเบี้ยต่างๆ เดือนละ 80,000 บาท) แต่ตรวจวันละ 3 ชั่วโมง ตกชั่วโมงละ 1,337 บาท
ตอนบ่ายไปเปิดคลินิค 3 ชั่วโมง อย่างขี้ๆ ก็ได้ ชม.ละ 2,000 บาท
ทั้งวัน ได้ 10,000 บาท

 
รพ.เอกชนไม่ให้เงินหมอฟรีๆ ถ้าหมอไม่ทำรายได้ให้ รพ.
นั่งเฉยๆ แล้วได้ วันละ 15,000 บาท เรียกว่าโม้ โอ้อวด
คุณจะมีรายได้เยอะ ก็ต่อเมื่อคนไข้เยอะ
รายได้แปรตรงกับค่า DF และ ปริมาณคนไข้
หมอแต่ละคนใน รพ.เอกชน รายได้ไม่เท่ากัน
ช่วงทำงานปีแรกได้การันตีก็จริง
แต่ทาง รพ. จะไม่จ่ายเงิน ให้เกินสัดส่วนทีคุณทำงานได้
ความคิดของผู้บริหาร และ แพทย์ลูกจ้าง จะไม่เหมือนกัน
จากคุณ: bodinkung โพสเมื่อวันที่: 08/24/19 เวลา 08:42:46
"แต่พอมองเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ที่เรียนต่อแล้วรู้สึกตัวเองต้องเรียนด้วย ถึงจะเข้าสังคมเป็นที่ยอมรับ " ช่างมันครับ
 
"ที่บ้านรับราชการ ไม่ค่อยเห็นด้วยกับงานเอกชน เพราะบอกว่าไม่มั่นคง" ทำไม่กี่ปีเท่าที่บ้านทั้งชาติรวมบำนาน Grin Grin
 
พออายุมากๆแล้วจะรู้ว่าสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตคือ"เวลา"
จากคุณ: Xanz โพสเมื่อวันที่: 08/24/19 เวลา 09:17:54
ผมบอกเลย gi ไม่ได้รวยจากพวกมะเร็งเน่าๆหรือgibleedหรอก
ส่วนใหญ่หากินกะdyspepsia. รักษาไม่หายจับส่องกล้องโอเคไม่มีอะไรให้ยาต่อเงินเดือนไม่ถึง1000000 ผมแทบไม่อยากเรียนเอาเวลาบริหารพอรตกองทุน ที่ดิน คอนโดปล่อยเช่าดีกว่าได้เงินแถมง่ายกว่าไม่ต้องทนมือทนตียอดหลับอดนอน แล้วภ้าจบแล้วยังต้องใช้ทุนเป็นมือเป็นตีนแค่คิดชีวิตห่วยๆlowๆแบบนี้ก็สยอง  
จากคุณ: Dr._Panya โพสเมื่อวันที่: 08/24/19 เวลา 10:13:06
on 08/22/19 เวลา 12:41:57, Hybrid VI wrote:
specialist เดินชนกัน
GP จำนวนน้อย ควงเวรกันมือประวิง
บาง รพ.จังหวัด หมอ staff แผนกเดียว มีจำนวนมากกว่าหมอ รพช.ทั้งจังหวัดรวมกันเสียอีก  
ไปถามน้องหมอ med ที่ลาออกไป full time รพ.เอกชน บอกทำงานวันละ 9 ชั่วโมง (ไม่มีคนไข้ ก็ต้องนั่งในห้องตรวจ) ได้วันละ 15,000 บาท ตกชั่วโมงละ 1,667 บาท
แต่ GP รพช.ได้เงินเฉลี่ยวันละ 4,000 บาท (วันทำการเดือนละ 22 วัน หักลบสิทธิลาพักผ่อน ลากิจเหลือเฉลี่ย 20 วัน) ได้เงินเดือนรวมเบี้ยต่างๆ เดือนละ 80,000 บาท) แต่ตรวจวันละ 3 ชั่วโมง ตกชั่วโมงละ 1,337 บาท
ตอนบ่ายไปเปิดคลินิค 3 ชั่วโมง อย่างขี้ๆ ก็ได้ ชม.ละ 2,000 บาท
ทั้งวัน ได้ 10,000 บาท
...
 
อ๊ะ...ผ่านไป 20+ ปี เดี๋ยวนี้น้องๆ GP ในรพช. งานเบา (ทำงานวันละ 3 ชั่วโมง)+ เงินดี (ค่าจ้าง 4 พันบาท) กว่าสมัยผมเป็น GP. เยอะเลย แฮะ...ขนาดพวกผมสามัคคีกัน(แทบจะดื่มน้ำ สาบานกันเลย)  ว่าจะช่วยกันทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่อู้งาน/ ไม่เกี่ยงงาน ช่วยกันทำงานในเวลาเต็ม 8 ชั่วโมงเต็มก็ยังได้ค่าเวรแค่ 800 บาทเองมั้ง จนต้องขอ ลามาเรียนต่อเฉพาะทาง ก็ยังงานหนักเหมือนเดิม (แต่ว่าได้ค่าแรงมากขึ้น อิ อิ อิ)
จากคุณ: น้ำเน่าในเงาจันทร์ โพสเมื่อวันที่: 08/24/19 เวลา 10:18:35
on 08/24/19 เวลา 09:17:54, Xanz wrote:
ผมบอกเลย gi ไม่ได้รวยจากพวกมะเร็งเน่าๆหรือgibleedหรอก
ส่วนใหญ่หากินกะdyspepsia. รักษาไม่หายจับส่องกล้องโอเคไม่มีอะไรให้ยาต่อเงินเดือนไม่ถึง1000000 ผมแทบไม่อยากเรียนเอาเวลาบริหารพอรตกองทุน ที่ดิน คอนโดปล่อยเช่าดีกว่าได้เงินแถมง่ายกว่าไม่ต้องทนมือทนตียอดหลับอดนอน แล้วภ้าจบแล้วยังต้องใช้ทุนเป็นมือเป็นตีนแค่คิดชีวิตห่วยๆlowๆแบบนี้ก็สยอง

 
ผมคนจนขอดูพอร์ทพันล้านพี่หน่อยได้ไหมฮะ จะได้เป็นบุญตา
จากคุณ: 6699 โพสเมื่อวันที่: 08/24/19 เวลา 14:13:30
มาดูหมอรวยๆเขาคุยกัน หมอสูติจนๆ เดินจากไปอย่างเงียบๆ
จากคุณ: น้ำเน่าในเงาจันทร์ โพสเมื่อวันที่: 08/24/19 เวลา 14:17:38
on 08/24/19 เวลา 07:31:13, Omo wrote:
รพ อื่นไม่รู้นะ แต่ รพ ผม แค่ EGD DFปาไป 5000-8000 แค่เอากล้องแหย่ๆ15-30นาทีเสร็จ  
colono DF12000-15000  
ERCP นี่ DFปาไป 30000-40000  
 
นี่คือเหตุผลว่าก่อนเราส่งเคส consult GI ต้องคัดกรองเยอะมาก
ห้ามส่งมั่วๆ
เพราะ GI รพ.เอกชน เห็นแก่เงิน
การรักษาแทบไม่เปลี่ยนแปลง
ให้แค่ PPI หรือ H.pyroli
คนไข้ที่งบน้อย เราจะแนะนำไปส่องกล้อง รพศ.
เดี๋ยวนี้ GI แทบล้นแล้ว
ทำเป็นแค่ส่องกล้อง คิด DF แพงๆ
คุณภาพชีวิตคนไข้ไม่เปลี่ยน
ระวังเวรกรรม

 
พี่ไม่ให้GI scope กะทำERCP จะให้ไปผ่าตัดเหรอฮะ เรียนมาด้านนี้ก็ต้องทำด้านนี้ละฮะ
ส่วน หัตถการที่gen medทำได้ผมก็ทำได้หมดฮะ ทั้งใส่ETT,แทงcentral lineกะ A line, LP ,เจาะข้อ เจาะปอด เจาะท้อง ใส่ICD,CPR  
ุทุกวันนี้ก็ไม่ได้ราวด์แต่เคสGI หรอกครับ เคสgen medก็ราวด์  
 
ส่วนการset endoscopy มันมีindicationแน่นอนก่อนจะทำเพราะคนไข้เอกชนส่วนใหญ่มีประกัน เราจะทำpre claimขอประกันอนุมัติก่อนทำหัตถการหมดในcase elective ถ้าประกันผ่านถึงจะได้ทำ ทางประกันเองก็มีแพทย์ของเค้าคอยmonitor indicationในการทำว่าสมเหตุสมผลหรือไม่  ถ้าset endoscopy โดยไม่มีindication คิดว่าประกันจะให้ทำไหมครับ  
ส่วนการคิดDFเองมันมีrate ในการคิดของมันเทียบกับมาตรฐานอยู่แล้วครับว่าหัตถการแต่ละหัตถการrangeอยู่ ที่เท่าไหร่ คิดแพงก็ไม่ได้ คุณจะโดนUM nurseโทรมาตามจิกแน่นอนเรื่องคิดค่าDFแพง
จากคุณ: only2b โพสเมื่อวันที่: 08/24/19 เวลา 16:53:30
วิธีกลับเข้ารับราชการทำไงบ้าง ดูเหมือนคนที่ตอบกระทู้ตอบไม่ตรงคำถามนัก
 
พูดง่ายๆเลยไปหาตามหน่วยงานที่ ต้องการแพทย์ทั่วไป และมีตำแหน่งว่างมีเงินเดือนอยู่ ที่ตามกรอบอัตรากำลังไม่ต้องมีวุฒิบัตร ก็ไปสมัคร เขาก็จะทำตามขั้นตอนต่างๆ ขออนุมัติจากผู้มีอำนาจบรรจุ ถ้าเขาต้องการจริงๆ ทำไม่นานสักประมาณสองสัปดาห์ก็เรียบร้อยแล้วได้ไปทำงาน
 
แต่ที่ยากคือ หาหน่วยงานที่มีตำแหน่งว่างในสถานที่ที่ชอบได้ยากๆ
 
&#128522;&#128519;&#128521;
จากคุณ: positive โพสเมื่อวันที่: 08/24/19 เวลา 18:44:40

1.ทำคลินิกเอกชน รายได้ราวๆ 200 k มีเวลาว่าง 5-7 วันต่อเดือน
แต่พอมองเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ที่เรียนต่อแล้วรู้สึกตัวเองต้องเรียนด้วย ถึงจะเข้าสังคมเป็นที่ยอมรับ
 
ผมคิดว่าให้คุณค่ากับการยอมรับของเพื่อนมากเกินไปครับ จะคิดอย่างไรก็ช่างเขาครับ  
 
2.ที่บ้านรับราชการ ไม่ค่อยเห็นด้วยกับงานเอกชน เพราะบอกว่าไม่มั่นคง  
 
ถ้าเห็นด้วยกับทางบ้าน ก็ดีครับ ว่าแต่มันมั่นคงกว่าจริงๆเหรอครับ ? ผมไม่เห็นด้วยเลยครับ  
 
3.ถ้ากลับไปเรียน คงเรียนสาขา minor ที่ทำเงินส่วนนึง เพราะเป้าหมายหลัก คือ เงิน และเวลา
 
เงินและ เวลาหาได้จากทางอื่นง่ายกว่าครับ  
 
ควรทำเอกชนแบบนี้ไปจนแก่ หรือควรเข้าระบบไปเรียนต่อให้จบสักสาขาคะ
 
ควรทำแบบนี้ไปก่อน แล้วหาทางอื่นๆเสริม ช่องทางใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาทั้งสามอย่างนี้ครับ  
 
ผมคิดว่าการไปเรียนต่อ มีประโยชน์ชัดเจนเรื่อง ได้ความรู้เพิ่มครับ  
 
การเรียนต่อนั้นมีความดี ความงดงามในตัวมันเองครับ แต่ไม่แน่ว่าจะแก้ปัญหา 3 ประเด็นนั้นได้ หรือ อย่างน้อยผมก็ไม่เห็นว่าการเรียนต่อจะเป็นคำตอบที่ดี ในการแก้ปัญหาเหล่านี้
จากคุณ: น้ำเน่าในเงาจันทร์ โพสเมื่อวันที่: 08/24/19 เวลา 21:43:13
on 08/24/19 เวลา 14:13:30, 6699 wrote:
มาดูหมอรวยๆเขาคุยกัน หมอสูติจนๆ เดินจากไปอย่างเงียบๆ

 
แถวบ้านผม สูตินี่รวยสุดแล้วฮะ  
จากคุณ: pipolulu โพสเมื่อวันที่: 08/25/19 เวลา 12:05:33
เรื่องราชการมั่นคง ผมคิดว่าไม่นะครับ
 
สมมติทำเอกชน ได้มากกว่ารัฐบาล 3 เท่า (ซึ่งถ้าเป็น board ก็น่าจะประมาณนี้เป็นอย่างน้อย แต่จริงๆก็มากกว่า 3 เท่าอยู่ ปัจจุบันเทียบกับเพื่อน ผมค่าแรงมากกว่ารับราชการ ประมาณ 4 เท่า)
 
ทำงานราชการ 30 ปี (จบเฉพาะทางประมาณอายุ 30 ปี)
รายได้เท่ากับทำเอกชน 10 ปี
 
คุณทำเอกชน เหลือเวลาอย่างน้อย 20 ปี ไปทำอย่างอื่นได้อีกเยอะครับ
 
ปล. อันนี้ไม่รวมทำราชการแค่ครึ่งวัน หรือแค่อาทิตย์ละ 2-3 วัน แล้วเวลาที่เหลือไปทำธุรกิจส่วนตัวอื่นๆนะครับ (โกงเวลาราชการ)
 
เพราะถ้าทำแบบนี้ ก็จะมีรายได้มากที่สุดครับ เหมือนกับที่ข้าราชการผู้ใหญ่หลายๆท่านทำกัน 5555 แต่ก็ถือว่าขี้โกงครับ
จากคุณ: doreus โพสเมื่อวันที่: 08/25/19 เวลา 17:02:21
on 08/24/19 เวลา 21:43:13, น้ำเน่าในเงาจันทร์ wrote:

 
แถวบ้านผม สูตินี่รวยสุดแล้วฮะ  

เค้าถ่อมตัวครับ ในนี้เค้าน่าจะรวยอันดับต้นๆของบอร์ดแล้ว
จากคุณ: น้ำเน่าในเงาจันทร์ โพสเมื่อวันที่: 08/25/19 เวลา 17:25:12
on 08/25/19 เวลา 17:02:21, doreus wrote:

เค้าถ่อมตัวครับ ในนี้เค้าน่าจะรวยอันดับต้นๆของบอร์ดแล้ว

 
ต้องเรียกว่าถล่มตัวมากกว่าฮะพี่โด
จากคุณ: Omo โพสเมื่อวันที่: 08/25/19 เวลา 22:25:34
on 08/24/19 เวลา 09:17:54, Xanz wrote:
ผมบอกเลย gi ไม่ได้รวยจากพวกมะเร็งเน่าๆหรือgibleedหรอก
ส่วนใหญ่หากินกะdyspepsia. รักษาไม่หายจับส่องกล้องโอเคไม่มีอะไรให้ยาต่อเงินเดือนไม่ถึง1000000 ผมแทบไม่อยากเรียนเอาเวลาบริหารพอรตกองทุน ที่ดิน คอนโดปล่อยเช่าดีกว่าได้เงินแถมง่ายกว่าไม่ต้องทนมือทนตียอดหลับอดนอน แล้วภ้าจบแล้วยังต้องใช้ทุนเป็นมือเป็นตีนแค่คิดชีวิตห่วยๆlowๆแบบนี้ก็สยอง

 
เดาว่าเป็น GP แต่รวยจากการลงทุน และเปิดคลีนิคผิวหนัง แต่ไม่ใช่หมอ skin
ค่อนข้างต่อต้านการเรียนต่อบอร์ดหรือ subboard
เพราะเสียเวลาหาเงิน น่าจะเป็นปมในใจ
 
สรุปว่า สนใจแต่เรื่องรวย สงสารคนไข้วะ
จากคุณ: น้ำเน่าในเงาจันทร์ โพสเมื่อวันที่: 08/25/19 เวลา 23:20:52
ถ้าผมเป็น จขกท นะ
อาจจะคิดโดยขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง
1ถ้าคิดจะแต่งงานมีครอบครัวและมีลูก คงไม่เลือกเรียนต่อ แต่จะทำงานเป็นGPในเอกชนแบบนี้ต่อ เพราะรายได้ถือว่าดีเลย ซึ่งบางคนจบบอร์ดแล้วอาจไม่ได้เท่านี้เลย แล้วก็เอาเงินที่ได้มาไปลงทุน ต่อยอดทำอย่างอื่น อย่างที่ความเห็นอื่นบอกไว้ เช่น หุ้น อสังหา หรือ ธุรกิจอะไรก็ว่าไป เพราะผู้หญิงถ้าคิดจะมีครอบครัวและมีลูก จะมีข้อจำกัดเรื่องอายุ ถ้าเริ่มอายุมากจะมีลูกก็มีความยากลำบากจากหลายๆปัจจัย
 
2ถ้าจะเรียนต่อเพื่อให้ได้รับการยอมรับและเป็นการพิสูจน์ตัวเองก็เรียนไป ไม่งั้นจะคาใจไปตลอดชีวิตว่าทำไมไม่เรียนต่อ
จะกลับเข้าราชการเพื่อไปเอาทุนก็ได้  หรือจะfreetrainก็ดี  
แต่ส่วนตัวผมคงชอบการไม่ผูกมัดเป็นอิสระ  คงเลือกfreetrain แต่เลือกสถาบันที่ไม่ได้มีคู่แข่งมาก เลือกเรียนในสถาบันที่คิดว่าวิชาการดีในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับต้องดีเลิศมาก แค่dentรุ่นก่อนๆที่ผ่านมาสอบบอร์ดผ่านเป็นเปอร์เซ็นต์สูงหรือผ่านหมดยกรุ่น ก็โอเคแล้ว  
จบแล้วจะอยู่เอกชนหรือราชการก็ได้แล้วแต่จะเลือก เอกชนต่างจังหวัดดีๆยังมีอีกมาก ยังขาดคนทำงาน ส่วนใหญ่เอกชนที่ไม่มั่นคงก็คงเป็นใน กทม.เพราะมีหมอให้โรงพยาบาลเลือกมาก ส่วนจบแล้วจะกลับเข้าราชการแล้วเปิดคลินิกก็ได้ ขึ้นกับว่าที่บ้านมีความจำเป็นต้องใช้เงินมากน้อยแค่ไหน  
 
งานทุกอย่างทำให้ดีที่สุดตามความสามารถเรา ไม่ว่าจะอยู่ภาครัฐหรือเอกชน ก็จะได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่อง ผมเห็นพี่หมอเด็กคนหนึ่งใน รพ ผม มีเคสราวด์ทุกวันวันละไม่ต่ำกว่า20เคส ยังไงคนไข้ก็จะขอรอตรวจกะหมอคนนี้ไม่ว่าจะรอนานขนาดไหน พี่เขาดูคนไข้เขาดีจริงๆ
จากคุณ: Omo โพสเมื่อวันที่: 08/26/19 เวลา 06:27:52
on 08/22/19 เวลา 10:17:47, Xanz wrote:
เปนผมทำคลินิกความงามสะสมเงินศึกษาลงทุน ยังไงคุ้มกว่าเรียนต่อ
ที่ตอนนี้สเปเริ่มล้นตลาด gp ยังขาดเพราะสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครอยากเป็นทุกคนมุงหาสเปจนงานในเอกชนต้องปรับค ่าตัวลงถ้าไม่ตัวtopจริงโดนหั่นค่าตัวเยอะผมว่ายังไงgp มั่นคงกว่านะอันนี้เพราะกำไร รพ เอกชนเริ่มหดเพราะต้นทุนสูงการจ้างสเปนอกจากใช้เงินแล้วยังต้องลงทุนอุปกรณ์ อีกมันเริ่มมีคนจ่ายไม่ไหวต้องกลับไปรพ รัฐอยู่ดีเห็นมีแต่คนบอกเราขาดสเป แต่มองมุม นธก ไม่รู้จ้างสเปเยอะๆทำไมในเมื่อคนที่มีกำลังจ่ายและอุปกรณ์แพงแถมเรื่องมากเก ี่ยงงานอีก ถ้าสังเกตดีๆงานเดี๋ยวนี้เงินเดือนสเปกเบgp Gapแคบขึ้นถ้าgp ล้นจริงgapน่าจะห่างถ้าเป้าหมายเงินกับเวลา ยังไงศึกษาลงทุนดีกว่าไม่ต้องเก็บเอาแบบพอไปรอดแล้วจะรู้ว่าสมัยนี้การไปลงท ุนเรียนสเปขาดทุนเพราะต้องใช้เวลาโดนโขกสับ 3ปีเทียบกับเล่งหาเงินขยายทรัพย์สินทำเงินจะรู้ว่าอันไหนคุ้มกว่า

1. คลีนิคความงามของ GP วิชามารเยอะ สมการความรวย คือ. ต้นทุนต่ำ กำไรสูงสุด แปลว่า วัตถุดิบ เช่น filler, Botox ห้ามใช้ของแพง เผลอๆ อาจใช้ของปลอม  
ระวัง!! เวรกรรมมีจริง
2. เปิดคลีนิคทำเงิน แล้วเป็นนักลงทุนเพื่อร่ำรวย ชีวิตนี้มีความสุขจริงเหรอ ชีวิตนี้ถ้าเป็นหมอ ควรสร้างคุณค่าให้กับคนไข้ไว้เยอะๆบ้าง
คุณค่า คือ ความรู้ที่ถูกหลัก ที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น
( ส่วนหมอความงามที่ใช้วิชามาร ไม่ได้เรียนจบที่ไหนเลย เป็นเพียงหมอที่หลอกให้คนไข้หลงในกิเลสตัณหามากขึ้น ห้ามเหี่ยว ห้ามแก่ เพื่อหลอกเอาเงินจากคนไข้ ทำให้ตัวเองรวยๆๆ น่ารังเกียจที่สุด)
3. แพทย์ที่อยู่ รพ. เอกชน ส่วนใหญ่แล้วเขาเป็นคนสร้างรายได้ให้ รพ. รพ.จะจ่ายเงินให้เฉพาะช่วงการันตี จริงๆแล้วทำงานได้เกินการันตีทั้งนั้น
ค่า DF คือเงินคนไข้ และหักเปอร์เซ็นต์ค่าแพทย์ให้ รพ.
ดังนั้น รพ.เอกชน จึงต้องมีกลยุทธ์แตกต่าง คือหมอบอร์ดหรือ subboard เพื่อดึงคนไข้เข้ามารักษา
การทำงานจะเป็นทีม ดูทั้ง IPD และ OPD  
ไม่ใช่คนไข้ง่ายๆแบบคลีนิค รักษาผิดพลาดก็เยอะ สุดท้ายก็มา Admit ที่ รพ.
 
ปล. หมอที่รวยจริง เขาจะไม่อวด กิริยามารยาทจะดีมาก  
หมอที่อวดรวย ก็แค่เกรียนคีย์บอร์ด Tongue
จากคุณ: devilmanToT @.โหมดลั้นลา โพสเมื่อวันที่: 08/26/19 เวลา 10:38:51
แวะมาดูว่าเขาคุยอะไรกัน  แล้วกลับไปตรวจคนไข้เป็นไข้หวัดต่อ ให้พารา กลับบ้าน
จากคุณ: Hybrid VI โพสเมื่อวันที่: 08/26/19 เวลา 20:19:53
GP ตรวจ 3 ชม.แล้วอู้ไปคลินิคโดยที่ ผอ.ไม่กล้าไล่ออก
รู้เปล่าว่าทำไง
ขู่ว่าจะลาออก แค่นี้ก็เต้นแล้ว ออกคนเดียวสะเทือนทั้งจังหวัดเลยทีเดียว
จากคุณ: Omo โพสเมื่อวันที่: 08/27/19 เวลา 09:23:37
on 08/26/19 เวลา 10:38:51, devilmanToT @.โหมดลั้นลา wrote:
แวะมาดูว่าเขาคุยอะไรกัน  แล้วกลับไปตรวจคนไข้เป็นไข้หวัดต่อ ให้พารา กลับบ้าน

ถ้าจะตรวจคนไข้แบบงูๆปลาๆ แล้วให้พารากลับบ้าน
แนะนำว่า
1. ไปเรียนต่อบอร์ด เพื่อเพิ่มความรู้ความสามารถ
จะได้มั่นใจกว่าเดิม
2. หยุดสร้างเวรกรรมกับคนไข้ ด้วยความไม่รู้หรือไม่แสวงหาความรู้ของแพทย์
3. เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับการรักษาคนไข้
จากคุณ: philosophy โพสเมื่อวันที่: 08/28/19 เวลา 20:09:03

คำถาม ที่ควรตอบ ตัวเองให้ได้ก่อนไปเรียน
 
1.ศักดิ์ศรี วัดกันตรงไหน และใครเป็นคนวัด
แล้วการทีไม่ไปเรียนต่อ ทำให้เข้าสังคมยากจริงหรือ?
 
เมื่อน้อง อายุผ่านเลข 4 หรือ 5 ขึ้นไป  
 
สิ่งปรุงแต่ง ยศ บรรดาศักดิ์ เหล่านี้จะค่อยๆ หายไป แต่ความสัมพันธ์ การส่งปรารถานาดี ความผูกพันธ์จะมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะ เมื่อเพื่อร่วมรุ่นได้ค่อยๆ  ทะยอย ตายลง ตามกาลเวลา
 
2.เราไปเรียน เพื่อ ตัวเราเอง หรือเราเรียนเพื่อคนอื่น  และเพื่อใคร
เรียนเพื่ออะไร  อันนี้ต้องตอบให้แน่ชัด
 
หากตอบไม่ชัด  เมื่อไปเรียน แล้วเจออุปสรรค บางอย่าง
ทำให้มักล้มเลิก การเรียนก่อนจบ  ทำให้เกิดล้มเหลว
 
และจะบั่นทอนกำลังใจมากกว่าก่อนไปเรียน
 
 
3.ไปเเรียนต่อแล้วทำให้ ความสุขมากขึ้นหรือ ลดลง
ในระยะยาว
 
4.หากเรียนแล้วจบมาทำงานแล้วรายได้ลดลง ยัง พอใจอยู่หรือเปล่า
 
 
สิ่งใดที่เกิดขึ้นกับตัวเราย่อมดีทั้งนั้น
 
มันขึ้นกับมุมมอง ที่เรามองผ่าน
 
หากเราเลือกแล้ว  ก็  ไม่ต้องไปเสียใจ กับสิ่งที่เลือกไปแล้ว
 
หากมีปัญหา ก็ต้องแก้ไป   คิดดี ทำดี  ได้ดี ครับ
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< โพสเมื่อวันที่: 08/29/19 เวลา 12:28:35
# อาชีพ "vocation" มาจากภาษาละตินแปลว่า  
"การเรียกหา" (Call) และมีรากศัพท์คำเดียวกับ "เสียง" (Voice)  
 
ดังนั้นอาชีพ จึงเป็นเสียงเรียกจากชีวิต----> กำหนดงานที่เหมาะสม  
-- -- -- -- -- -- --  
 
#หน้าที่ของเรามีอันเดียวคือ ห้ามไปเปรียบเทียบตัวเองกับชาวบ้าน  
   
เพราะมักจะเป็นการเปรียบเทียบที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ลง ด้อยลง  
-- -- ---- -- -- --  
 
#เลิกดูคนอื่น แล้วให้โฟกัสไปที่การพัฒนาหาตัวตนที่ใช่ แล้วทำให้มันดีที่สุด  
 
ให้เป็น Best version ของตัวเอง หาให้เจอว่าตัวตนที่ดีที่สุดของตัวเองคืออะไร  
 
โดยไม่ต้องไปสนใจคนอื่น  
 
แล้วความสุขจะเกิดขึ้น  
 
และความสำเร็จจะตามมาอย่างเป็นไปเองครับ
จากคุณ: drclinic โพสเมื่อวันที่: 08/31/19 เวลา 09:37:20

สมัครที่ขาดคนค่ะ เช่น สามจังหวัดชายแดนภาคใต้  อำเภอรอบนอกชายแดน
 
ได้อายุราชการคูณสองด้วย ขอให้ผอ.ช่วยในเรื่องการบรรจุให้
 
หรือคอยมองข่าวในห้องไทยคลินิกเวลามีรับสมัครกระทรวงอื่นๆค่ะ
 
สู้ๆค่ะ
จากคุณ: พุฝอยสาหร่าย โพสเมื่อวันที่: 09/01/19 เวลา 14:39:02
ผมคิดว่ามุมมองการเรียนต่อหรือไม่ นั้น มีสองสำนักคิด คือ 1. สำนักคิดที่เรียนต่อเพื่อองค์ความรู้  และ2. สำนักคิดเรียนต่อเพื่อความก้าวหน้าในการงานและเงิน    สำหรับผม ผมฝักใฝ่ในทางสำนักคิดเรียนต่อเพื่อองค์ความรู้มากกว่าครับ สมัยเป็นจีพี รู้สึกว่าเรายังไม่เก่ง ยังเห็นเคสไม่มาก เรียนมาหกปียังไม่พอ  ก็เลยไปเรียนต่อครับ  ขณะเรียนก็อ่านหนังสือเยอะมาก เรียนรู้เคสหลายๆเคส   ตอนนี้เรียนจบมานานแล้ว  รู้สึกได้เลยว่าเราเก่งขึ้นกว่าสมัยจีพีมาก  ความผิดพลาดในการรักษาน้อยลง  ศิลปะในการรักษาคนไข้ การมองโรคและโลกก็กว้างขึ้นด้วย   และปัจจัยต่อมาคือ รายได้ก็เพิ่มตามมา   ผมก็ยังเชื่อในคำพระบิดามาตลอดครับ  ว่าให้รักษามาตรฐานวิชาชีพให้บริสุทธิ์ และลาภยศสรรเสริญก็จะตามมาเอง ซึ่งมันก็จริงๆครับ   ผมชอบที่สตีฟ จ้อบพูด ว่า Stay hungry Stay foolish  คือ พยายามทำตนเองให้โง่ตลอดเวลา  เพราะการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด    ผมหวังว่าหากจขกท ผ่านมาอ่านความเห็นผม  อาจมองเรื่องการเรียนเพื่อองค์ความรุ้ในการพัฒนาตนเอง  มากกว่าคุณค่าของการเรียนเพื่อเงินตรา
จากคุณ: luzeus โพสเมื่อวันที่: 09/07/19 เวลา 10:02:01
อยู่เอกชนดีแล้วค่ะ อยู่รัฐเงินไม่พอใช้ แถมคนไข้เยอะด้วยค่ะ
จากคุณ: Dr.Mae โพสเมื่อวันที่: 10/04/19 เวลา 22:26:49
สรุปคือ
1.ทำงานรัฐ ถ้าตัวคนเดียว ไม่ต้องรับผิดชอบครอบครัว อย่าว่าแต่เงินไม่พอใช้เลย เหลือเฟือด้วยซ้ำ เพราะมีงานจน ไม่ต้องมีเวลาเอาเงินไปใช้  ไม่ต้องไปขอหยิบยืมครอบครัว ถ้าคิดจะซื้อบ้านฐานเงินเดือนจะไม่พอผ่อนบ้านต้องไปหาเงินสดๆ มาโปะอีก  
2.เหตุผลเดียวกันหมดสำหรับคนที่รับราชการคือ เอกชนไม่มั่นคง
3.เลือกงานที่ให้ทำ แบบที่คัดกรองมาแล้ว  (จะได้มีขอบเขต ยิ่งแคบยิ่งดี ถืิอเป็นงานเกรด A)
ที่ควรหลีกเลี่ยงคือ งานให้ทำทุกอย่างในบ้าน รักษาทุกโรค (จะเปรีนบไปก็เสมือนเป็นคนรับใช้พม่าเฝ้าบ้าน ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน การ ดูแลรักษา่ทุกโรค เพราะขนาดผู้เชี่ยวชาญยังพลาดเลย จะนับประสาอะไร) ทำไปถ่้าไม่เกิดไร นานๆวันนายจ้างมีแต่แฮปปี้ๆ  ลูกจ้างมีแต่ ทุกข์ กะ คุก ยิ่งทำงานยิ่งมาเยอะ
จากคุณ: 6699 โพสเมื่อวันที่: 10/05/19 เวลา 09:36:18
หมอสูติจนๆ กลับมาให้ความเห็นอีกครั้ง ลองออกแบบแผนที่ชีวิตหลายๆอย่าง เช่น  
1.ทำงานเอกชนไปเรื่อยๆ เก็บเงินไปเรื่อยๆ ผลจะเป็นไปอย่างไร  
 
2.กลับเข้าทำงานราชการ แล้วผลเป็นอย่างไร เรียนต่อสาขาใดสาขาหนึ่ง แล้ว ก็ต้องเรียนต่ออีกเพื่อให้ได้ subboard เสียเวลา ไม่น้อยกว่า 5 ปี และเป็นห้าปีที่เต็มไปด้วยความเครียด เงินทองก็ไม่ได้
 
3.ทำงานเอกชนไปสักพัก จนได้เงินมากพอใจแล้ว ค่อยกลับมารับราชการ ตอนแรก อาจจะไปที่รพ.อำเภอ ที่เข้าง่ายๆ เช่นในจังหวัดที่คนเขาขาดแคลน เมื่อได้ตำแหน่งค่อยเรียนต่อ เรียกว่า เป็นการเดินสายกลาง
 
4.เอาดีทางเอกชนไปเลย เหมือนกับอาจารย์บางท่าน หาทางก่อสร้างรพ.เอกชนของตัวเอง ตอนนี้ แต่ละจังหวัด รพ.เอกชนอันที่สองส่วนมากจะไปไม่ไหว ถ้ามีเงินสัก 200 ล้าน สามารถลงทุนได้ ส่วนวิธีการลงทุน แล้วเก็บเงิน 200 ล้านของเราเอาไว้ ถ้าอยากจะรู้มาโพสใหม่ ถ้าผ่านมาจะตอบให้คะ วิธีการนี้ ทำเงินได้เป็นพันล้าน หมื่นล้าน  
 
เมื่อมีแผนที่ชีวิตแล้ว ก็ต้องต้องมองทางเลือก ให้น้ำหนักทางเลือกแต่ละทาง ว่าเป็นอย่างไร แต่ละทางเลือก จะมีหลายตัวแปร แต่ละตัวแปร จะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน เหมือนแต่ละวิชามีหน่วยกิตไม่เท่ากัน  อาจจะให้คะแนนเหมือนให้เกรดในแต่ละช่อง แล้วคิดเกรดรวม
 
เมื่อได้เกรดรวม แล้วก็ต้องตัดสินใจเลือกให้แน่วแน่ เวลาผ่านไปทุกวัน หมดไปทุกวัน


  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by