Topic Summary
|
จากคุณ: หมอหมู |
โพสเมื่อวันที่: 06/13/19 เวลา 15:02:53 |
สนใจเรื่องกัญชาทางการแพทย์ เชิญอ่าน เห็นด้วยหรือเห็นต่างก็ควรอ่าน เผื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้าง ^_^ นพ.ธีระ วรธนารัตน์ : บทเรียนสังคมไทยจากเรื่องกัญชา Wed, 2019-06-12 14:46 -- hfocus หลายเดือนก่อน ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองท่านหนึ่งได้เมสเสจคุยกับผม ถามว่าผมประเมินสถานการณ์เรื่องกัญชาในสังคมไทยอย่างไร ผมบอกกับท่านตรงๆ ว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวเพื่อปลดล็อคกัญชาในเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมาห ลายปีนี้ เหตุผลหลักของผมคือ ผมไม่เชื่อว่ารัฐ และกลไกต่างๆ ในสังคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ จะสามารถที่จะดูแลปกป้องประชาชนจากผลร้ายที่จะเกิดขึ้นจากการปลดล็อคกัญชาได ้ สิทธิและเสรีภาพของประชาชนในฐานะพลเมืองของประเทศนั้นย่อมต้องมีทุกคน โดยเป็นบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐที่จะต้องดูแลให้เกิดความเป็นธรรม และคนทุกคนในสังคมต้องอยู่ได้โดยมีความสงบสุข ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี หากเกิดปัญหาหรือสิ่งคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศทั้งโดยตรงโดยอ้อม หรือส่งผลต่อสวัสดิภาพความปลอดภัย รัฐก็จำเป็นต้องตัดสินใจควบคุม ป้องกัน และแก้ไข โดยยืนพื้นฐานบนหลักการดังกล่าว จริงๆ ผมตอบผู้ใหญ่ท่านนั้นไปเพียงประโยคแรก และต่อด้วยความเห็นส่วนตัวของผมว่า ณ จุดนี้ สังคมไทยคงยากที่จะต้านทานกระแสการเคลื่อนไหวเพื่อปลดล็อคกัญชาแล้ว เพราะได้ประกาศเป็นกฎหมายเพื่ออนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์ โดยแท้จริงแล้วเป็นการปลดล็อคโดยที่หารู้ไม่ว่าจะเกิดผลกระทบทางลบตามมาอย่า งมากมายและยากที่จะจัดการ เช่น การเข้าใจผิดของประชาชนและนำไปใช้ต่างๆ นานาโดยยากที่จะควบคุม จนเกิดผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ป่วย ครอบครัว และกระบวนการดูแลรักษาทางการแพทย์มาตรฐานที่มีอยู่ ยังไม่นับเรื่องการค้าขายกัญชาและผลิตภัณฑ์อย่างผิดกฎหมายที่คาดว่าจะมีมากม าย รวมถึงปัญหาด้านสุขภาพและสังคมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุจราจร ปัญหาจิตเวช อาชญากรรม และการนำไปสู่การเสพติดอื่นๆ ควบคู่กันไป และที่แน่ๆ คือจะมีการเคลื่อนไหวไปสู่เรียกร้องให้เกิดกัญชาเสรีตามมา ที่กล่าวมาข้างต้นมิได้เอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย หากแต่เป็นสิ่งที่ถูกระบุเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ทั้งจากงานวิจัยติดตามผลจากการประกาศนโยบายปลดล็อคกัญชาของประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแคนาดา สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป ฯลฯ รวมถึงรายงานขององค์กรต่างประเทศที่ดูแลทั้งด้านวิชาการและนโยบาย อย่าง International Narcotics Control Board (INCB) ซึ่งเป็นกลไกทำงานของสหประชาชาติเรื่องยาเสพติดด้วย ผมบอกท่านไปว่า "ตอนนี้คงไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว นอกจากหาทางช่วยกันเตือนประชาชนในสังคมไทยให้เตรียมรับมือกับปัญหาสังคมที่จ ะเกิดขึ้นจากนโยบายกัญชา" "ครอบครัวเป็นหน่วยเล็กที่สุดในสังคม ที่จะต้องเลี้ยงดูลูกหลานของตนเองให้ดี ดูแลใกล้ชิด สอนให้รู้เท่าทันภัยคุกคามที่มีในสังคม รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ"...ผมบอกท่านไปประมาณนี้ และจบการสนทนากันในวันนั้น นั่นเป็นการสนทนาประมาณต้นๆ ปีที่ผ่านมา ผ่านมาครึ่งปีหลังจากประกาศปลดล็อคกัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทย เราเห็นอะไรกันบ้าง? 1. ปรากฏการณ์ "ความเชื่อและงมงายว่ากัญชารักษาได้ทุกโรค" จากอิสระเสรีเหนืออื่นใด ในการป่าวประกาศ ประชาสัมพันธ์ ความ "รู้" แบบลวงๆ โดยที่กลไกอำนวยความยุติธรรมของรัฐไม่สามารถทำอะไรได้ หรืออาจไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี 2. ปรากฏการณ์ "การเติบโตของธุรกิจซื้อขายกัญชาและผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างผิดกฎหมายผ่านสื่อออนไลน์" ทั้งในไลน์กรุ๊ป เฟซบุ๊ค และอื่นๆ ราคาค่างวดขวดนึงหลายร้อยไปจนถึงพันบาท คิดค่าใช้จ่ายที่คนเต็มใจควักเงินจากกระเป๋า คาดว่าเยอะกว่าค่าใช้จ่ายรายหัวด้านสุขภาพของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และระบบประกันสังคมเสียด้วยซ้ำ 3. ปรากฏการณ์ "การสร้างระบบการตลาดด้านกัญชา" ทั้งการประยุกต์ใช้แนวคิด Multi-level marketing และระบบขายตรงผ่านตัวแทนในหลากหลายลักษณะ โดยอาศัยการต่อยอดจากการเล่นกับความกลัวโรคร้ายต่างๆ ของคน ควบคู่กับการเล่นกับกิเลสด้านรายได้จากการเป็นตัวแทนขาย ทำให้สมประโยชน์ทั้งคนผลิต คนขาย ตัวแทน และคนซื้อ อย่างครบวงจร 4. ปรากฏการณ์ "ดีครับนาย ได้ครับผม เหมาะสมครับท่าน" นโยบายถูกดันจากเบื้องบน ขาดเหลืออะไร กลไกมดงานในระบบรัฐก็สนองได้หมด ขาดความเชี่ยวชาญด้านกัญชา แต่สามารถเนรมิตให้เกิดขึ้นได้ผ่านการอบรมระยะสั้นตีตราให้พร้อมอย่างไม่น่า เชื่อ 5. ปรากฏการณ์ "โยนบาปให้เหยื่อ" เห็นได้จากจำนวนเหยื่อ ในรูปแบบของผู้ป่วย และผู้ที่ไม่ป่วยแต่หลงเชื่องมงาย ตัดสินใจหาผลิตภัณฑ์มาใช้เอง หรือมีตัวแทนมาเสนอให้ลอง หรืออื่นๆ ใช้แล้วเกิดปัญหาตามมาตามพาดหัวข่าว เช่น ใช้กัญชาแล้วน็อคต้องหามส่ง รพ.ด้วยอาการต่างๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็โดนโยนบาปจากกลุ่มคลั่งกัญชาว่า ใช้ไม่เป็นเลยเกิดปัญหา แต่ไม่เคยยอมรับผิดว่า ที่มันเกิดปัญหาเช่นนี้ เพราะอะไรกันแน่ เพราะการสื่อสารสาธารณะที่ไม่เหมาะสม? เพราะการเร่งผลักดันโดยที่ไม่คิดหน้าคิดหลังและไม่เตรียมกลไกที่จำเป็นให้พร ้อม รวมถึงไม่เตรียมคนในสังคมให้พร้อมก่อนจะผลักดัน? 6. ปรากฏการณ์ "คนทำงานในระบบสุขภาพน้ำตาตก" หลายคนน้ำตาตกเพราะคิดไม่ถึงเลยว่า เฮ้ย...มาตรฐานการแพทย์และการวิจัยที่เราร่ำเรียนตลอดมานั้นมีขั้นตอนต่างๆ มากมายกว่าจะเข็นยาแต่ละตัวออกมาใช้ในระบบการแพทย์ได้ แต่ละตัวใช้เวลาเฉลี่ย 12-15 ปี ลงทุนมากกว่า 800 ล้านเหรียญ มีทั้งขั้นตอนในหลอดทดลองก่อนจะไปถึงสัตว์ทดลอง และค่อยเข้ามาสู่ระยะการทดลองวิจัยในคน ซึ่งมีอีก 4 ระยะ ที่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรเยอะมากมาย ก็เพื่อให้แน่ใจใน 2 เรื่องหลักคือ สิ่งที่คิดว่าจะเป็นยานั้นจะต้องมีสรรพคุณรักษาโรคนั้นๆ ได้จริง และสิ่งที่คิดว่าจะเป็นยานั้นต้องมีความปลอดภัยจริง แต่ปรากฏว่า ที่ผ่านมากัญชากลับถูกนำมาตีรวนให้สับสน และหาทางลัดเลาะให้นำมาใช้ทันทีในระบบการดูแลรักษาโดยกล่าวอ้างข้อมูลวิจัยท ี่จับแพะมาชนแกะ งานวิจัยทั้งหลายของสากลที่ทำกันนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นการวิจัยทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ต้องทำการสกัดสารเคมีจากวัตถุดิบให้ได้ สามารถวัดปริมาณได้ ทำให้คงตัวได้ ทำให้บริสุทธิ์ไม่มีสิ่งเจือปน และค่อยนำมาทดสอบในสัตว์และในคนตามที่กล่าวมา จนทราบได้แน่ชัดว่าปริมาณแค่ไหนปลอดภัย ให้ทางการกินการฉีดการหยดจะให้อย่างไร และจะมีสรรพคุณรักษาโรคใดได้จริงบ้าง และเมื่อเทียบกับยามาตรฐานต่างๆ ที่มีอยู่นั้น มันดีกว่า เท่ากัน หรือด้อยกว่า ในขณะที่การวิจัยการแพทย์แบบพื้นบ้านหรือการแพทย์ทางเลือกนั้น จะใช้ระบบการศึกษาวิจัยที่เป็นคนละแบบกัน และมีความยากลำบากพอสมควรในการพิสูจน์ทั้งเรื่องความปลอดภัยและสรรพคุณ เนื่องจากหากศึกษาพืช สมุนไพร หรือตำรับยาต่างๆ ว่าจะรักษาโรคได้หรือไม่นั้น พืช สมุนไพร หรือตำรับยาต่างๆ นั้นมักประกอบด้วยสารมากมายหลายอย่าง บางครั้งก็ยากมากที่จะกำหนดปริมาณตายตัว กำนึงของพืชชนิดเดียวกัน ใบนึงของพืชชนิดเดียวกัน ก็มีปริมาณสารต่างๆ แตกต่างกันไปด้วย เราจึงเห็นได้ว่าจากอดีตจนถึงปัจจุบัน การแพทย์พื้นบ้านหรือการแพทย์ทางเลือกนั้นมักจะมีงานวิจัยที่สามารถพิสูจน์ส รรพคุณและความปลอดภัยได้ค่อนข้างจำกัด และยากที่จะฟันธงถึงความเป็นเหตุและผลได้อย่างแม่นยำ ช่วงที่ผ่านมา กระแสกัญชาในเมืองไทยนั้นจึงสร้างความสับสนให้กับคนในสังคม และส่งผลให้เกิดปัญหาดังกล่าวตามมา บุคลากรทางการแพทย์จึงได้แต่น้ำตาตกที่เห็นการสื่อสารสาธารณะที่มุ่งแต่ผลัก ดัน แต่ไม่สนใจว่าคนรับนั้นจะเข้าใจอย่างไร ทั้งๆ ที่การสื่อสารที่ดีนั้น ควรเป็นดังคำที่เราเคยได้ยินว่า "Words that work: It's not what you say, it's what people hear" นอกจากนี้อีกเหตุผลหลักที่บุคลากรทางการแพทย์ในระบบสุขภาพน้ำตาตกคือ ความสงสารต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากข่าวสารกัญชาเหล่านั้น นอกจากเสียตังค์โดยไม่จำเป็น ตกเป็นเหยื่อเหล่าเสือหิวแล้ว ยังต้องเจ็บป่วยไม่สบายจากผลข้างเคียงต่างๆ จากกัญชา และการเสียโอกาสจากการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาทางการแพทย์ จนทำให้โรคกำเริบหรือเป็นรุนแรงยิ่งขึ้น จำนวนเหยื่อมีมากขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลต่อเนื่องไปถึงภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่ประเทศจะต้องจ่ายไปจากปร ากฏการณ์นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เอาล่ะ...แล้วจะทำอย่างไรดี? สารภาพตรงๆ ว่า ผมเริ่มเห็นทางตันครับ เท่าที่คิดได้คงมีเพียง... 1.รัฐต้องยึดหลักการดูแลประชาชนในสังคม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยมั่นคงของประเทศ สวัสดิภาพและคุณภาพชีวิต ไม่ตัดสินใจโดยอิงแต่ตัวเลขเศรษฐกิจที่อาจถูกปั่นให้เกิดกิเลสแบบได้ไม่คุ้ม เสีย 2.นายกรัฐมนตรีโปรดพิจารณาคัดเลือกเสนาบดีที่จะมาคุมกระทรวงต่างๆ ให้ดี อย่าให้ใช้เป็นสะพานในการดำเนินการที่ส่งผลเสียต่อประเทศโดยรวม 3.นายกรัฐมนตรีโปรดทบทวนโครงสร้างหน่วยงาน และคณะกรรมการต่างๆ ทั้งด้านการปฏิรูปประเทศ ด้านสาธารณสุข ด้านพาณิชย์ และอื่นๆ โดยตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และพฤติกรรมที่ผ่านมาว่าสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอคติในการดำเนินงานหรือปฏิบัติ หน้าที่หรือไม่ 4.หน่วยงานด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะ อย. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค โปรดยึดมั่นในหลักเกณฑ์มาตรฐาน อย่าหวั่นไหวกับการปั่นสังคมใช้กฎหมู่มาเหนือกฎหมาย 5.ราชวิทยาลัยแพทย์สาขาต่างๆ สมาคมวิชาชีพแพทย์และบุคลากรสาขาสุขภาพต่างๆ ตลอดจนโรงเรียนแพทย์ชั้นนำของประเทศควรพิจารณาประกาศจุดยืนทางวิชาชีพของท่า น ในการนำกัญชาหรือผลิตภัณฑ์จากกัญชามาใช้ดูแลรักษา โดยขอให้ยึดมั่นหลักฐานทางวิชาการที่หนักแน่น จนกว่าจะพิสูจน์เรื่องความปลอดภัยและสรรพคุณได้ตามมาตรฐานสากล ย่างก้าวนี้สำคัญยิ่งที่จะช่วยเป็นประทีปส่องทางให้ประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์มีหลักยึด 6.โรงพยาบาลต่างๆ โปรดพิจารณาออกประกาศนโยบายของโรงพยาบาล (Hospital policy) ในการใช้กัญชาหรือผลิตภัณฑ์จากกัญชาในการดูแลรักษา โดยยึดมั่นในหลักวิชาการ เพื่อช่วยปกป้องทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ของท่าน และช่วยป้องกันปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้น ทั้งจากระบบประกันสุขภาพ และปัญหาทางกฎหมาย 7.เรื่องนี้ยากสุดสำหรับทั้งสังคมไทยและสังคมโลก คือ รัฐควรพัฒนากลไกตรวจ ติดตาม กำกับ การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพที่เป็นเท็จ ทั้งนี้ยังไม่มี best practice ใดๆ ที่จะมาต้านทานกระแส Fake information อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำครับ ด้วยรักต่อทุกคน ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นพ.ธีระ วรธนารัตน์ : บทเรียนสังคมไทยจากเรื่องกัญชา https://www.hfocus.org/content/2019/06/17257 #กัญชาไม่ใช่ยาวิเศษ ข้อดีก็มีข้อเสียก็มาก แถม .. กัญชาทางการแพทย์ (ฉบับ Evidence-based) คัดลอกจาก SISO Magazine https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-04-2019& ;group=2 8&gblog=17 กัญชายาครอบจักรวาล ไม่จริง ? กัญชาเพื่อความเพลิดเพลิน อันตรายรึเปล่า ? และ บทเรียนจากอเมริกา https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-03-2019& ;group=2 8&gblog=15
|
จากคุณ: jumpoo |
โพสเมื่อวันที่: 06/13/19 เวลา 17:16:41 |
ถ้ายังไม่มีมาตรการที่จะควบคุมได้ ควรให้ ผิด กม ไปก่อนค่ะ เอาไปลงใต้ดินเหมือนเดิม คุณหมอ เอาโพสลงเฟส ยังไงดีคั จะได้ช่วยแชร์
|
จากคุณ: Hybrid VI |
โพสเมื่อวันที่: 06/14/19 เวลา 01:32:25 |
ไม่ทันแล้ว ไอ้เสี่ยหนูมันจะดันกัญชาเสรี ปลูกได้เองหลังบ้านแล้ว ไอ้พวกขี้ยาก็เลือกไป อยากจะได้นโยบายกัญชาเสรี ไม่ได้เอาไปรักษาโรคอะไรหรอก มันอยากเสพมากกว่า แสร่ดเอ๊ยย
|
จากคุณ: Sound_of_silence |
โพสเมื่อวันที่: 06/14/19 เวลา 07:07:47 |
โพสต์นี้ตรงใจจริงๆ
|
จากคุณ: positive |
โพสเมื่อวันที่: 06/14/19 เวลา 09:30:52 |
ผมว่าแรงผลักดันส่วนใหญ่ ไม่ได้มาจากเหตุผลทางการแพทย์ แต่เป็นเรื่อง คนอยากเสพ กับ คนอยากขาย
|
จากคุณ: Hippo |
โพสเมื่อวันที่: 06/14/19 เวลา 18:19:00 |
การศึกษาไทยไม่สามารถสร้างทักษะที่สำคัญในศตวรรษนี้ได้ คือ data literacy ตรงนี้ทำให้คุณภาพของประชากรเราถดถอยกว่าชาติอื่นมากๆครับ มีความเสี่ยงถูกกลืนกินในอนาคต
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 06/15/19 เวลา 12:49:30 |
บทความนี้ กระผมคิดยังไง? - ตัวกัญชาเองไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่คน ผู้เขียนบทความแค่ขาดทักษะชีวิตที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลง.....
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 06/17/19 เวลา 11:13:02 |
กัญชา ใครควรเป็นผู้เชี่ยวชาญ ? - ตอนนี้ อยู่ที่ใครแต่งเรื่องเก่งกว่า ครับ"
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 06/19/19 เวลา 11:13:16 |
เรื่องแต่งที่ดี(คนเชื่อเยอะ) ทำยังไง? - อย่าโกหกทั้งแท่ง ต้องจริง๑-๒ส่วน โกหก ๘- ๙ส่วน ครับ มีจริงผสมหน่อยนึง..
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 06/21/19 เวลา 16:05:56 |
....กัญชา-บุหรี่ ? - " ตลาดเดียวกัน"....
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 06/22/19 เวลา 14:55:08 |
เชี่ยวชาญกัญชา ลึกๆแปลว่า ผูกขาดกัญชา ตอนนี้ แย่งกันผูกขาด กัญชาไม่ควรมีใครผูกขาด........
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 06/25/19 เวลา 11:43:28 |
กัญชายาเสพติด จริงมั้ย ? - " เรื่องแต่งที่ผู้คนเชื่อหวิดๆ๑๐๐ปี คล้ายๆศาสนาเป็นเรื่องแต่งที่ผู้คนเชื่อ๑๐๐๐ปี"
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 06/26/19 เวลา 18:56:52 |
เสพกัญชา...ชั่วมั้ย? - " เมื่อดูข้อมูลจำนวนมากพอก็จะเห็นภาพรวมของกัญชาว่า ไม่ใช่สิ่งชั่วช้า ครับ"
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 06/27/19 เวลา 19:51:14 |
กัญชา ? - " มีเหตุผลมากมายที่กัญชาถูกบิดเบนไปจากความเป็นจริงจนไม่มีใครตั้งคำถาม ครับ "
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 06/28/19 เวลา 16:31:25 |
อยากผูกขาด ทำไง ? - เริ่มจาก ปั้นเรื่อง(แต่งเรื่อง) เผยแพร่ออกไปทั่วๆ โน้มน้าวผู้คนเชื่อถือ ที่สำคัญ อุปโลกน์ฝ่ายอื่นเป็นศัตรูของสังคม ครับ....
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 07/03/19 เวลา 19:26:51 |
ถ้า(แพทย์)อยากผูกขาดกัญชา ทำไง? - " ทำเรื่องราวให้ยุ่งยากไปหมด อุปโลกน์ฝ่ายอื่นๆเป็นคนบาป แล้วรวบมาไว้ในอุ้งมือ "
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 07/04/19 เวลา 12:08:57 |
กัญชายาเสพติด ถูกหรือผิด ? - " ผิด "...
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 07/09/19 เวลา 12:19:19 |
...ถ้ามองกัญชาอย่างที่มันเป็น กัญชาก็ไม่ใช่ยาเสพย์ติด.....
|