Topic Summary
|
จากคุณ: dr_bond |
โพสเมื่อวันที่: 05/22/19 เวลา 21:54:13 |
พี่ๆน้องๆ คิดอย่างไร...ช่วยกันโหวตหน่อยนะ
|
จากคุณ: Hybrid VI |
โพสเมื่อวันที่: 05/22/19 เวลา 23:39:32 |
radiologist ล่ะครับ ตกงานก่อนเพื่อน เพราะงานเป็นสิ่งที่ AI สามารถเรียนรู้ได้โดยไม่ซับซ้อน AI สามารถฝึกฝนอ่านฟิล์มนับล้านฟิล์มได้โดยใช้เวลาไม่กี่วัน ซึ่งไม่มี radiologist คนไหนทำได้
|
จากคุณ: Sandoz |
โพสเมื่อวันที่: 05/22/19 เวลา 23:55:01 |
Radiologist Pathologist งานเทือกเดียวกันครับ pattern recognition ที่ว่าต่างจากคน เป็นจุดชูโรงของมนุษย์ คือเรื่อง clinical correlation คิดกันว่า AI มัน correlate ไม่ได้หรอก เอ่อ จะไปยากอะไรสำหรับ AI ครับ จริงอยู่ว่าการวิเคราะห์รูปมันง่ายกว่าการ correlate แต่สักวันนึง ทำอัลกอริทึมดีๆ สุดท้ายก็ทำได้ อ้อ Pathologist อาจจะได้เปรียบหน่อย คือมีขั้นตอนของ specimen handling ซึ่งก็คือขั้นตอนที่เป็นเนื้อจาก OR มาตรวจ gross กับ sampling ตรงนี้คิดว่าถ้าจะมีอะไรมาแทนได้ก็น่าจะเป็นขั้นตอนที่ clinician เริ่มถูกแท่ที่ครับ ลำดับ disruption ที่ผมคาดไว้ ไล่จากเร็วไปช้า (นับจากเวลาปัจจุบันไปถึงจุดที่ FDA approve หลังจาก approve แล้วการแทนที่จะค่อยๆ เกิดขึ้น จนสุดท้ายหมอที่เป็นคนในสาขานั้น ก็จะตกงาน 100% ของอัตรา) ***เมืองไทยมีข้อดี!! คือเหมือนทุกๆ การเปลี่ยนแปลงในทุกวงการ จะเกิดกับฝรั่งก่อน และจะมีดีเลย์นานประมาณหนึ่งถึงจะลามมาไทย เยื่องจากประเทศเรายากจน ต้องรอให้ cost เทคโนโลยีมัน drop มาประมาณหนึ่ง เราถึงจะ apply ได้ หมอไทยเราได้เปรียบ ตกงานข้ากว่าหมอฝรั่งแน่นอน ฟันธง*** Image/tissue diagnosis (radiologist/pathologist) ~ 10 years for FDA approval Clinical correlation (radiologist/pathologist) ~ 15 years for FDA approval Non-invasive clinical experience ~ 20 years (internal medicine/pediatric) for FDA approval Non-surgical treatment machine ~ 20 years for FDA approval Surgical treatment machine ~ 30 years for FDA approval (total replacement of surgeons jobs หมายรวมถึงทุกสาขาที่จับมีด) สาขาที่ไม่น่าจะโดน disrupt หรือโดนช้าไปกว่านี้ คือสาขาที่ต้องมีหมอเป็นคน แบบมีอารมณ์ร่วม น่าจะเป็นจิตเวช กับเวชศาสตร์ฟื้นฟู สาขาอื่นให้ผมรักษากับหุ่นผมโอเค แต่ถ้าให้ไปปรึกษาปัญหาทางจิต หรือวางแผนฟื้นฟูหลัง stroke กับหุ่น อันนี้ไม่โอเคครับ 55 ส่วนสาขาอื่นๆ ไม่ต้องกังวล เพราะถึงตอนนั้น white collar อาชีพอื่นๆ ก็ไม่รอดเหมือนกัน มีเพื่อนตกงานเยอะแยะเลย 555
|
จากคุณ: brownie |
โพสเมื่อวันที่: 05/23/19 เวลา 00:43:22 |
radio แหละครับ น่าจะกระทบสุด ก็เหลือแต่ไถ ultrasound ถ้าไม่โดนหมอสาขาอื่นแย่ง intervention แต่วินิจฉัย ยังไงก็ต้องมีหมอ confirm หมอคงได้ DF ลดลง
|
จากคุณ: 6699 |
โพสเมื่อวันที่: 05/23/19 เวลา 07:10:00 |
น่าจะมีข้อเลือก จิตแพทย์ ที่ให้คำปรึกษา ร่วมด้วย
|
จากคุณ: jumpoo |
โพสเมื่อวันที่: 05/23/19 เวลา 08:34:10 |
เวรจะน้อยลงป่าว ว่าแต่ตอนนี้ หมอ pathoเพียงพอรึยังคะ ถ้าหมอ มารักษาแทนคนเลยละ เป็นaiภามตอบ จะทำได้ในกี่ปีคะ
|
จากคุณ: Any_Obtion |
โพสเมื่อวันที่: 05/23/19 เวลา 11:45:42 |
ก็พัฒนาตัวเองไปเป็นผู้ Operate เตรื่องพวกนั้นซิ ดูในหนัง Startrek ก็ยังต้องใช้หมออยู่ดี
|
จากคุณ: simath |
โพสเมื่อวันที่: 05/24/19 เวลา 13:44:51 |
น่าจะเริ่มจาก RadioDx ตามด้วย Patho Skin พวกดู lesion คงแพ้ AI แต่ก็ยังเหลืองานพวกเลเซอร์ ปลูกผม ทำหน้า ฯลฯ จึงไม่น่าจะตกงาน แล้วถึงคิว Internal Med พวกที่ต้องลงมือ คือ Surgeon ทุกสาย ทั้งศัลย์ สูติ ออร์โถ eye ENT คือลำดับท้ายๆ และสุดท้ายจริงๆคือจิตเวชกับหมอเด็ก เพราะเด็กไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ที่สามารถกรอกอาการป่วยตัวเองลงคอมได้ จึงจำเป็นต้องมีหมอตัวเป็นๆไปตรวจมากกว่า med
|
จากคุณ: Dr.ER |
โพสเมื่อวันที่: 05/24/19 เวลา 13:45:32 |
รพช.ที่หมอมีไม่กี่คน อยากให้มี AI หมอ ไว้รับตรวจและ consult โรคนอกเวลา ส่วนหมอจริงเอาไว้มาดูคนไข้ที่AI ทำไม่ได้ครับ แต่กว่าจะทำได้ต้องรอระเบียบและงบประมาณ
|
จากคุณ: only2b |
โพสเมื่อวันที่: 05/24/19 เวลา 16:15:18 |
หมอที่ทำงานด้านกระดาษและเอกสาร หมอสปสช หมอผู้ทรง(คุณวุฒิ ไม่ใช่ผู้ทรงเจ้าเข้าผี)
|
จากคุณ: know555 |
โพสเมื่อวันที่: 05/24/19 เวลา 19:05:45 |
หุ่นยนต์ไม่มีทางแทนคนได้ครับ ไม่ว่าด้านใด
|
จากคุณ: philosophy |
โพสเมื่อวันที่: 05/24/19 เวลา 20:22:18 |
on 05/22/19 เวลา 23:55:01, Sandoz wrote:Radiologist Pathologist งานเทือกเดียวกันครับ pattern recognition ที่ว่าต่างจากคน เป็นจุดชูโรงของมนุษย์ คือเรื่อง clinical correlation คิดกันว่า AI มัน correlate ไม่ได้หรอก เอ่อ จะไปยากอะไรสำหรับ AI ครับ จริงอยู่ว่าการวิเคราะห์รูปมันง่ายกว่าการ correlate แต่สักวันนึง ทำอัลกอริทึมดีๆ สุดท้ายก็ทำได้ อ้อ Pathologist อาจจะได้เปรียบหน่อย คือมีขั้นตอนของ specimen handling ซึ่งก็คือขั้นตอนที่เป็นเนื้อจาก OR มาตรวจ gross กับ sampling ตรงนี้คิดว่าถ้าจะมีอะไรมาแทนได้ก็น่าจะเป็นขั้นตอนที่ clinician เริ่มถูกแท่ที่ครับ ลำดับ disruption ที่ผมคาดไว้ ไล่จากเร็วไปช้า (นับจากเวลาปัจจุบันไปถึงจุดที่ FDA approve หลังจาก approve แล้วการแทนที่จะค่อยๆ เกิดขึ้น จนสุดท้ายหมอที่เป็นคนในสาขานั้น ก็จะตกงาน 100% ของอัตรา) ***เมืองไทยมีข้อดี!! คือเหมือนทุกๆ การเปลี่ยนแปลงในทุกวงการ จะเกิดกับฝรั่งก่อน และจะมีดีเลย์นานประมาณหนึ่งถึงจะลามมาไทย เยื่องจากประเทศเรายากจน ต้องรอให้ cost เทคโนโลยีมัน drop มาประมาณหนึ่ง เราถึงจะ apply ได้ หมอไทยเราได้เปรียบ ตกงานข้ากว่าหมอฝรั่งแน่นอน ฟันธง*** Image/tissue diagnosis (radiologist/pathologist) ~ 10 years for FDA approval Clinical correlation (radiologist/pathologist) ~ 15 years for FDA approval Non-invasive clinical experience ~ 20 years (internal medicine/pediatric) for FDA approval Non-surgical treatment machine ~ 20 years for FDA approval Surgical treatment machine ~ 30 years for FDA approval (total replacement of surgeons jobs หมายรวมถึงทุกสาขาที่จับมีด) สาขาที่ไม่น่าจะโดน disrupt หรือโดนช้าไปกว่านี้ คือสาขาที่ต้องมีหมอเป็นคน แบบมีอารมณ์ร่วม น่าจะเป็นจิตเวช กับเวชศาสตร์ฟื้นฟู สาขาอื่นให้ผมรักษากับหุ่นผมโอเค แต่ถ้าให้ไปปรึกษาปัญหาทางจิต หรือวางแผนฟื้นฟูหลัง stroke กับหุ่น อันนี้ไม่โอเคครับ 55 ส่วนสาขาอื่นๆ ไม่ต้องกังวล เพราะถึงตอนนั้น white collar อาชีพอื่นๆ ก็ไม่รอดเหมือนกัน มีเพื่อนตกงานเยอะแยะเลย 555 |
| โดยส่วนตัว ความคิดนี้ถูก ถ้าไม่มีมนุษย์เป็นคนคุมเกมส์ แต่ โลกปัจจุบัน ที่ยุ่งอยู่เพราะการเมือง ดังนั้น ต้องมองในมุมกลับ จะมีการปกป้องผลประโยชน์ โดยแพทยสมาคม แต่ละสาขาของประเทศนั้นๆ หมายถึงถ้า FDA approve แล้ว แต่ การที่จะเอาผลไปใช้นั้นต้องมีแพทย์ ในสาขานั้นๆ เป็นคนเซ้นรับรองความถูกต้องอีกครั้ง พูดง่ายๆ คือไ่มีใครตกงานเพิ่มแต่ ใช้robot เป็น เครื่องมือในการทำงาน และหมอจะมีเวลามากขึ้น สามารถอ่านฟิล์ม ได้ในปริมาณมาก พร้อมกับรายได้ ที่เพิ่มมากขึ้น เหมือนหมอ patho จะออกผลได้ ต้อง มีลายเซ็น รับรองโดยแพทย์ เพราะ ธุรกิจ robot ที่อ่านฟิลม์ คง ชอบเฉพาะรับ แต่ ชอบ คือเงิน แต่ถ้าผิดพลาด เขาก็ไม่อยากเจ๊ง เพราะ ถ้าอ่านผลพลาด บริษัท robot จะถูกฟ้อง หลายกรณีอาจล้มละลายได้ ดังนั้นแนวโน้มสูงที่ การรับผิดจะถูกแชร์ ให้ แพทย์สาขานั้นๆ เป็ฯคนกำกับ หากผิดพลาด แพทย์สาขานั้นก็จะถุกฟ้อง เนื่องจากมีความรับผิดชอบกำกับอยู่ ส่ิงที่หมดได้จะมาพร้อมกับผลตอบแทน
|
จากคุณ: Dr.Mae |
โพสเมื่อวันที่: 05/25/19 เวลา 00:48:46 |
สาขาที่ค่าใช้จ่ายค่าจ้างสูงๆแพงๆ ตกงานก่อน เพราะคนทำ AI ต้องเลือกผลิตทำมาเพือต้องการเซฟค่าใช้จ่ายสูงๆ ให้รพ ก่อน ส่วนอันไหนที่จ้างคนถูกกว่า(ถูกและดี) จะไปเสียเวลาทำ AI ทำไม รพ เอกชน มีกำไรเพิ่มขึ้น แต่แพทย์รายได้ลดลง แพทย์ต่อยอดสาขาที่ อยู่ท้ายน้ำตกงานก่อน แพทย์บางคนที่ได้รับงานเซ้นรับรองจะร่ำรวยมหาศาล ซึ่งจะมีเพียงไม่กี่คน หากไม่ทำไร
|
จากคุณ: jumpoo |
โพสเมื่อวันที่: 05/26/19 เวลา 08:53:06 |
เอามาจ่ายยา tb ก่อนเลย ส่งเสมหะตรวจ จ่ายtb ไม่ก็ตามcxr ลด การ contact
|
จากคุณ: Hybrid VI |
โพสเมื่อวันที่: 05/26/19 เวลา 16:40:00 |
on 05/24/19 เวลา 20:22:18, philosophy wrote: โดยส่วนตัว ความคิดนี้ถูก ถ้าไม่มีมนุษย์เป็นคนคุมเกมส์ แต่ โลกปัจจุบัน ที่ยุ่งอยู่เพราะการเมือง ดังนั้น ต้องมองในมุมกลับ จะมีการปกป้องผลประโยชน์ โดยแพทยสมาคม แต่ละสาขาของประเทศนั้นๆ หมายถึงถ้า FDA approve แล้ว แต่ การที่จะเอาผลไปใช้นั้นต้องมีแพทย์ ในสาขานั้นๆ เป็นคนเซ้นรับรองความถูกต้องอีกครั้ง พูดง่ายๆ คือไ่มีใครตกงานเพิ่มแต่ ใช้robot เป็น เครื่องมือในการทำงาน และหมอจะมีเวลามากขึ้น สามารถอ่านฟิล์ม ได้ในปริมาณมาก พร้อมกับรายได้ ที่เพิ่มมากขึ้น เหมือนหมอ patho จะออกผลได้ ต้อง มีลายเซ็น รับรองโดยแพทย์ เพราะ ธุรกิจ robot ที่อ่านฟิลม์ คง ชอบเฉพาะรับ แต่ ชอบ คือเงิน แต่ถ้าผิดพลาด เขาก็ไม่อยากเจ๊ง เพราะ ถ้าอ่านผลพลาด บริษัท robot จะถูกฟ้อง หลายกรณีอาจล้มละลายได้ ดังนั้นแนวโน้มสูงที่ การรับผิดจะถูกแชร์ ให้ แพทย์สาขานั้นๆ เป็ฯคนกำกับ หากผิดพลาด แพทย์สาขานั้นก็จะถุกฟ้อง เนื่องจากมีความรับผิดชอบกำกับอยู่ ส่ิงที่หมดได้จะมาพร้อมกับผลตอบแทน |
| ถ้าแพทย์ radio สามารถดูฟิล์มได้มากขึ้นด้วยความช่วยเหลือของ AI ดังนั้น demand ความต้องการแพทย์ radio จะลดลงตามลำดับ ส่งผลให้อาจจะตกงานได้ ยกตัวอย่างเช่น จากวันนึงอ่านได้ 30 แผ่น หลังจากมี AI สามารถอ่านได้ 60 แผ่น เท่ากับว่า แพทย์ 1 คน+AI ทำงานได้เท่ากับแพทย์ 2 คน ดังนั้น แพทย์คนนึงตกงาน
|
จากคุณ: know555 |
โพสเมื่อวันที่: 05/26/19 เวลา 23:20:36 |
https://www.techmoblog.com/japan-robot-hotel-laid-off-half-robot-employe es/
|
จากคุณ: WeaReGroot |
โพสเมื่อวันที่: 05/27/19 เวลา 00:12:42 |
หมอรังสี รพ.ผม อยากตกงานแย่ละ นอกเวลาแม่งไม่เคยอ่านเลย นอนได้ค่าเวรชิวๆ ขอผลอ่าน CT หรือ ultrasound นอกเวลาแม่งยังกับขอส่วนบุญ ทำงาน Emer ในเวลาหนักนิดหน่อยก็งอแง ยังกับคนอื่นไม่ต้องทำงั้นแหละ
|
จากคุณ: Hybrid VI |
โพสเมื่อวันที่: 05/27/19 เวลา 08:48:12 |
on 05/27/19 เวลา 00:12:42, WeaReGroot wrote:หมอรังสี รพ.ผม อยากตกงานแย่ละ นอกเวลาแม่งไม่เคยอ่านเลย นอนได้ค่าเวรชิวๆ ขอผลอ่าน CT หรือ ultrasound นอกเวลาแม่งยังกับขอส่วนบุญ ทำงาน Emer ในเวลาหนักนิดหน่อยก็งอแง ยังกับคนอื่นไม่ต้องทำงั้นแหละ |
| อย่างนั้นจะได้ตกงานจริงๆ ครับ เพราะทีนี้ หมอรังสีคนเดียว+AI สามารถรับอ่านได้ทั้งจังหวัด
|
จากคุณ: philosophy |
โพสเมื่อวันที่: 05/29/19 เวลา 20:10:03 |
on 05/26/19 เวลา 16:40:00, Hybrid VI wrote: ถ้าแพทย์ radio สามารถดูฟิล์มได้มากขึ้นด้วยความช่วยเหลือของ AI ดังนั้น demand ความต้องการแพทย์ radio จะลดลงตามลำดับ ส่งผลให้อาจจะตกงานได้ ยกตัวอย่างเช่น จากวันนึงอ่านได้ 30 แผ่น หลังจากมี AI สามารถอ่านได้ 60 แผ่น เท่ากับว่า แพทย์ 1 คน+AI ทำงานได้เท่ากับแพทย์ 2 คน ดังนั้น แพทย์คนนึงตกงาน |
| ส่วนตัว มันน่าจะถูกถูก แค่ครึ่งเดียวอีก ที่หมายถึงคือ ถูก ในสถาณการณ์ที่ถูก fix ไว้คงที่ แต่โลกปัจจุบันเป็น dynamic คือมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมาของ AI ใันจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา จากการอ่านของ AI ทำให้งานของหมอรังสี เพิ่มแน่นอน และอีกอย่าง ทั่วโลกจะเข้าสู้ง aging society ก็จะทำให้งานหมอรังสี มากขึ้นไปอีก สรุปงานเพิ่ม แต่มี AI ช่วย ดังนั้น ทุกอย่างจะผลักเข้าสู่จุดสมดุลย์ โดยหมอรังสี โอกาส ตกงาน คงามน่าจะเป็ฯโดยส่วนตัวผทให้น้อยกว่า 5 % กุมารแพทย์เสียอีกผมว่าน่าห่วงกว่า
|
จากคุณ: muji |
โพสเมื่อวันที่: 05/30/19 เวลา 10:50:12 |
Interventional radiologists กำลังขาด น่าเรียนมากครับ https://www.jvir.org/article/S1051-0443(131582-3/fulltext
|
จากคุณ: a_few_good_men |
โพสเมื่อวันที่: 06/01/19 เวลา 01:30:59 |
หมอที่ไม่มี compassionate caring ขาดความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ จะตกงานก่อน เพราะไม่ต่างอะไรกับ AI
|
จากคุณ: Innominate |
โพสเมื่อวันที่: 06/02/19 เวลา 23:17:21 |
on 05/22/19 เวลา 23:55:01, Sandoz wrote: สาขาที่ไม่น่าจะโดน disrupt หรือโดนช้าไปกว่านี้ คือสาขาที่ต้องมีหมอเป็นคน แบบมีอารมณ์ร่วม น่าจะเป็นจิตเวช กับเวชศาสตร์ฟื้นฟู สาขาอื่นให้ผมรักษากับหุ่นผมโอเค แต่ถ้าให้ไปปรึกษาปัญหาทางจิต หรือวางแผนฟื้นฟูหลัง stroke กับหุ่น อันนี้ไม่โอเคครับ 55 ส่วนสาขาอื่นๆ ไม่ต้องกังวล เพราะถึงตอนนั้น white collar อาชีพอื่นๆ ก็ไม่รอดเหมือนกัน มีเพื่อนตกงานเยอะแยะเลย 555 |
| จิตเวชเดี๋ยวนี้มี chatbot มาคุยด้วย คนกล้าคุยกับบอทมากกว่าหมอจริงๆนะครับ เพราะคล้ายๆเป็นไปคุยแบบ annonymous เหมือนเอาปัญหามาถามในพันทิป แทนที่จะไปหาหมอเป็นๆ ซึ่งถ้าใช้ได้ดีอาจช่วยลดงานของหมอจิตเวชลง เช่นจากเดิมคุย 1 ชม.ก็เหลือคุยกับหมอครึ่งชม.ก็พอ ที่เหลือคุยกับหุ่นตั้งแต่ก่อนมารพ.เพื่อให้หมอรู้เรื่อง
|
จากคุณ: devilmanToT @.โหมดลั้นลา |
โพสเมื่อวันที่: 06/03/19 เวลา 19:32:10 |
ตอนนี้ AI แบบสมบูรณ์ยังไม่มา หมอหลายคนก็เริ่มปวดหัวกับ หมอกูเกิ้ลแล้วครับ ไหนจะหมอแชร์เฟสบุ๊คอีก มะนาวโซดารักษามะเร็ง เป็นอัมพาตให้เอาเข็มเจาะเลือดปลายนิ้ว
|
จากคุณ: หมอเมืองสยาม |
โพสเมื่อวันที่: 06/04/19 เวลา 14:25:30 |
ชามข้าวแตก...มั้ย ? - แพทย์จะยืนโรงตลอดไป (อย่าห่วง)
|
จากคุณ: jumpoo |
โพสเมื่อวันที่: 06/05/19 เวลา 15:21:19 |
ยังไม่ค่อยแม่นหรอกค่ะ ขนาดคนไข้ ให้ประวัติยังต้องตีความเลย ลองai ต้องซักประวัติ เองได้ก่อน
|
จากคุณ: tarusx1 |
โพสเมื่อวันที่: 07/17/19 เวลา 15:12:09 |
|