Topic Summary
|
จากคุณ: radio12 |
โพสเมื่อวันที่: 08/02/18 เวลา 21:47:52 |
ว่าด้วยเรื่องศัลยแพทย์บางท่าน ที่รับราชการ แล้วเปิดคลินิกส่วนตัวไปด้วย เป็นเรื่องที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าการพบศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลมันยุ่งยากมาก ต้องผ่านด่าน GP กว่าจะได้นัดคิวตรวจ เลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆ กว่าจะได้ผ่าตัดจริงๆ ต้องรอกันเป็นปีก็มี แต่ถ้าไปที่คลินิกส่วนตัว ได้ตรวจทันที ถ้าอยากผ่าเร็ว ใส่ซองเพิ่มซักหน่อยก็จะได้ผ่าเร็ว (คนไข้เคยเล่าให้ฟัง จากคิว 6 เดือน กลายเป็นผ่าพรุ่งนี้เลยก็มี) ตรงนี้มันค่อนข้างจะ grey zone คือคนที่กำหนดว่าใครควรได้ผ่าเมื่อไหร่ คือศัลยแพทย์อยู่แล้ว ต่อให้คนอื่นมองต่างก็เถียงไม่ได้ แต่ล่าสุด เห็นมีคนแชร์มาในเฟส เป็นนวัตกรรมใหม่ของการใช้โรงพยาบาลเป็นเครื่องมือหาเงินเลยทีเดียว โฆษณาผ่านหน้าเพจของคลินิกเลย ว่ามาตรวจที่นี่สิ ได้ผ่าตัดในโรงพยาบาลนะ แล้วก็โจมตีคลินิกอื่นที่ผ่ากันในคลินิก ว่าไม่ปลอดภัยบ้างล่ะ ไม่สะอาดบ้างล่ะ ต้องมาตรวจที่คลินิกนี้เท่านั้น ถึงจะได้ผ่าในโรงพยาบาลนะ ส่วนตัวคิดว่าไม่แฟร์เลย ห้องผ่าตัดโรงพยาบาลศูนย์ก็เต็มตลอดอยู่แล้ว กลับต้องมากันห้องให้เคสเสริมจมูก เสริมหน้าอก ทำตาสองชั้น ที่ส่งมาจากคลินิก ทำเหมือนโรงพยาบาลเป็นสาขาของคลินิกยังไงยังงั้น ปล.ขอไม่บอกนะว่าที่ไหน ไม่ได้ต้องการให้เอาผิดใคร เพราะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แค่อยากถามความเห็นคนอื่น ว่าเรื่องแบบนี้มันข้ามจุดที่แอบทำกันเงียบๆมาทำกันอย่างโจ่งแจ้งตั้งแต่เมื ่อไหร่กัน
|
จากคุณ: Hybrid VI |
โพสเมื่อวันที่: 08/02/18 เวลา 23:10:14 |
1. การใส่ซอง ไม่ใช่ grey zone ไม่ใช่เทาๆ แต่เป็นความผิด เป็นดำ ครับ อย่าเข้าใจผิด 2. การมาทำศัลยกรรมตกแต่งโดยใช้ทรัพยากร รพ. ควรแจ้ง ผอ. ให้ดำเนินการ เพราะเป็นการเบียดบังทรัพยากรของรัฐเพื่อเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว
|
จากคุณ: only2b |
โพสเมื่อวันที่: 08/03/18 เวลา 06:07:29 |
ขอหลักฐานชัดๆจะดีกว่า ที่โฆษณาว่าไปทำโรงพยาบาล เขาโฆษณาว่าเอาไปทำโรงพยาบาลรัฐบาล เลยหรือ หรือแค่พูดลอยๆว่าเอาไปทำโรงพยาบาล แล้วไปมโนเองว่าเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล ไม่ใช่โรงพยาบาลเอกชน
|
จากคุณ: crv01 |
โพสเมื่อวันที่: 08/03/18 เวลา 10:14:47 |
เห็นมากขึ้น. โดยเฉพาะแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง. กิเลสไม่เข้าใครออกใคร. ขอให้พอเพียงกันดีกว่า
|
จากคุณ: doreus |
โพสเมื่อวันที่: 08/03/18 เวลา 11:40:43 |
ทำไมคิดว่าเอาผิดไม่ได้ครับ ส่งเรื่อง จริง ไปที่ผู้ว่าหรือ สตง รับรองจอดไม่ต้องแจวดีไม่ดีโดนเรียกย้อนหลังต่างหาก
|
จากคุณ: know555 |
โพสเมื่อวันที่: 08/03/18 เวลา 12:14:36 |
ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องที่เอาผิดไม่ได้ ก็ไม่ควรเอามาพูดหรือเล่าครับเพราะเหมือนเป็นการสาดโคลนให้วงการแพทย์ทั้งหม ดด้วยโดยเฉพาะศัลย์ตกแต่งที่ดีๆ ผมถือว่าเป็นแค่เรื่องเล่าที่ไม่มีมูลใดๆ และถ้าสืบแล้วว่าจริงต่อไปก็อย่าไปด่าหมอที่คลินิกละกันว่าไม่ดี เพราะไม่ว่าที่ไหนถ้าคนไม่ดีอยู่ก็เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้ทั้งนั้นใช่มั้ยคร ับ
|
จากคุณ: SeReE |
โพสเมื่อวันที่: 08/03/18 เวลา 13:28:29 |
เคยถามคนไข้หลายคนที่ไปจ่ายให้หมอที่คลินิกเพื่อไปผ่าที่รพ เค้าเต็มใจจ่ายเพื่อให้ตัวเองได้อะไรตามต้องการและความสะดวก แถมยังบอกว่าหมอไม่ผิดหรอก เป็นค่าส่งตัวไปรพ 555 ฟังแล้วเวียนหัว .... สรุปว่า ไม่เคยเอาผิดได้เลย ในเคสแบบนี้ เพราะ ไม่มีผู้ร้องทุกข์ ถ้ามีซักราย และ ดำเนินการจนได้รับโทษ คงดีขึ้น
|
จากคุณ: philosophy |
โพสเมื่อวันที่: 08/03/18 เวลา 20:13:45 |
1.คำตอบ ในการทำลักษณะอย่างนี้ คำตอบ ชัดอยู่แล้ว คือ ผิด ทั้งในแง่พฤตินัย และนิตินัย 2.แต่การกระทำแบบ หมอท่านนี้ กลับถูกต้อง เมื่อคิดตามแบบทุนนิยม มองผลประโยชน์ทุกฝ่ายที่จะได้โดยนัยยะ โดยเป็น ระบบที่สมยอม ทั้งตัวผู้ป่วยเอง หมอ และระบบราชการปัจจุบัน หมอวิน ผู้ป่วยวิน(หมออยู่ดีกว่าลาออก แม้นจะถูกแซงคิว) รัฐวิน(มีคนทำงานให้แม้นประสิทธิภาพไม่เต็มร้อยแต่ดีกว่าไม่มีคน) ส่วนใหญ่ ต้องทำเป็นปิดตาข้างเดียว เพื่อ รักษาหมอบางแผนกให้สามารถอยู่ในโรงพยาบาลรัฐได้ เพราะลำพังเงินเดือนและการอยู่เวร ของแพทย์ไม่สามารถทำให้รักาาแพทย์ไว้ในระบบ โรงพยาบาลใหญ่ๆได้ อย่างที่เกิดขึ้นกับคิว CAG ของโรงพยาบาลทางภาคใต้แห่งหนึ่งที่เรียกเงิน เพื่อทำ CAG ก่อน เป็นข่าวดัง แต่สุดท้าย ผู้อำนวยการต้องใกล่เกลีย เพื่อ สมยอม ให้แพทย์ อยู่ต่อได้เพราะ หากไล่แพทย์ออกผลเสียมีมากมายหลายเท่านัก และผลจะตกอยู่กับผู้ป่วยโดยรวมเอง ซึ่งข่าวก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว เพราะแม้นแต่สื่อเอง ก็ยังต้องยอมไม่กล้าเล่นต่อ เพราะหากเล่นไป ก้ไม่มีใครได้อะไร มีแต่เสียกันทุกฝ่าย ดังนั้นผิดถูก ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองมุมไหน พา สตง มาตรวจสอบ หมอออก ประชาชนได้อะไร ผมมองว่า ระบบที่เกิดขึ้นเกิดจากการปรับตัวของคนในระบบบทุนนิยม ทีใช้ demand supply เมื่อ supply น้อย แต่ demand มาก ราคาที่จ่ายจึงต้องจึง ต้อง สูง แต่รัฐไม่มีเงินจ่าย supply ใช้วิธีแก้ปัญหากเองโดยไปดึง ส่วนตางจาก demand เอง ระบบเลยเกิดความสมดุล จริงๆ เราไม่ต้องแก้อะรไมาก เมื่อ supply น้อย สักพัก จะมี supply มาเพิ่มแน่นอน หาก หมอคนแรกอยู่แล้ว work ก็จะมีหมอมาอยู่เพิ่ม ยิ่งมีหมอมาอยู่ คนจะยิ่งมาอยู่เพราะงานจะเบาขึ้นไม่เครียดและมีเวลาว่างมากขึ้น เพราะ เมื่อหมอทำงานไปสักพกก็จะรู้ว่า เวลา มีค่ามากกว่าเงิน ดังนั้นผลประโยชน์จะถุกปรับด้วยเวลา ผลสุดท้าย คือ คิวผ่าตัดผู้ป่วย หรือ CAG ในโรงพยาบาลจะลดลงเองครับเพราคนมาอยู่มากขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วกรณีหมอ intervention CAG ในโรงพยาบาลรัฐหลายโรงพยาบาล ซึ่งระบบจะ correct ของมันเองครับ
|
จากคุณ: WeaReGroot |
โพสเมื่อวันที่: 08/03/18 เวลา 22:01:57 |
on 08/03/18 เวลา 20:13:45, philosophy wrote:1.คำตอบ ในการทำลักษณะอย่างนี้ คำตอบ ชัดอยู่แล้ว คือ ผิด ทั้งในแง่พฤตินัย และนิตินัย 2.แต่การกระทำแบบ หมอท่านนี้ กลับถูกต้อง เมื่อคิดตามแบบทุนนิยม มองผลประโยชน์ทุกฝ่ายที่จะได้โดยนัยยะ โดยเป็น ระบบที่สมยอม ทั้งตัวผู้ป่วยเอง หมอ และระบบราชการปัจจุบัน หมอวิน ผู้ป่วยวิน(หมออยู่ดีกว่าลาออก แม้นจะถูกแซงคิว) รัฐวิน(มีคนทำงานให้แม้นประสิทธิภาพไม่เต็มร้อยแต่ดีกว่าไม่มีคน) ส่วนใหญ่ ต้องทำเป็นปิดตาข้างเดียว เพื่อ รักษาหมอบางแผนกให้สามารถอยู่ในโรงพยาบาลรัฐได้ เพราะลำพังเงินเดือนและการอยู่เวร ของแพทย์ไม่สามารถทำให้รักาาแพทย์ไว้ในระบบ โรงพยาบาลใหญ่ๆได้ อย่างที่เกิดขึ้นกับคิว CAG ของโรงพยาบาลทางภาคใต้แห่งหนึ่งที่เรียกเงิน เพื่อทำ CAG ก่อน เป็นข่าวดัง แต่สุดท้าย ผู้อำนวยการต้องใกล่เกลีย เพื่อ สมยอม ให้แพทย์ อยู่ต่อได้เพราะ หากไล่แพทย์ออกผลเสียมีมากมายหลายเท่านัก และผลจะตกอยู่กับผู้ป่วยโดยรวมเอง ซึ่งข่าวก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว เพราะแม้นแต่สื่อเอง ก็ยังต้องยอมไม่กล้าเล่นต่อ เพราะหากเล่นไป ก้ไม่มีใครได้อะไร มีแต่เสียกันทุกฝ่าย ดังนั้นผิดถูก ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองมุมไหน พา สตง มาตรวจสอบ หมอออก ประชาชนได้อะไร ผมมองว่า ระบบที่เกิดขึ้นเกิดจากการปรับตัวของคนในระบบบทุนนิยม ทีใช้ demand supply เมื่อ supply น้อย แต่ demand มาก ราคาที่จ่ายจึงต้องจึง ต้อง สูง แต่รัฐไม่มีเงินจ่าย supply ใช้วิธีแก้ปัญหากเองโดยไปดึง ส่วนตางจาก demand เอง ระบบเลยเกิดความสมดุล จริงๆ เราไม่ต้องแก้อะรไมาก เมื่อ supply น้อย สักพัก จะมี supply มาเพิ่มแน่นอน หาก หมอคนแรกอยู่แล้ว work ก็จะมีหมอมาอยู่เพิ่ม ยิ่งมีหมอมาอยู่ คนจะยิ่งมาอยู่เพราะงานจะเบาขึ้นไม่เครียดและมีเวลาว่างมากขึ้น เพราะ เมื่อหมอทำงานไปสักพกก็จะรู้ว่า เวลา มีค่ามากกว่าเงิน ดังนั้นผลประโยชน์จะถุกปรับด้วยเวลา ผลสุดท้าย คือ คิวผ่าตัดผู้ป่วย หรือ CAG ในโรงพยาบาลจะลดลงเองครับเพราคนมาอยู่มากขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วกรณีหมอ intervention CAG ในโรงพยาบาลรัฐหลายโรงพยาบาล ซึ่งระบบจะ correct ของมันเองครับ |
| อ่านมาตั้งนาน สุดท้ายให้ยอมๆทำผิดไป หมอคนที่ทำ CAG เอาคิวคลินิกมาทำ ยังหน้าด้านทำแบบเดิมได้อีกหรอครับ เอาอะไรมาบอกว่า วิน วิน วิน ทุกฝ่าย รพ รัฐ ตั้งขึ้นมาเพื่อการรักษาแบบเท่าเทียมกันตามสิทธิ์ เอาเงินมาสอดใต้โต๊ะแล้วได้รักษาเร็ว มันก็คอรัปชั่นดีๆนี่เอง สุดท้ายประเทศมันก็ไม่พัฒนา ระบบก็เน่าต่อเพราะระบบสมยอม วินๆแบบมโนไปเอง
|
จากคุณ: Hybrid VI |
โพสเมื่อวันที่: 08/03/18 เวลา 22:13:51 |
Winๆ ทุกฝ่ายตรงไหน.. ถ้า winๆ ทุกฝ่าย คงไม่แอบๆ ทำอย่างนี้หรอก
|
จากคุณ: megacure |
โพสเมื่อวันที่: 08/04/18 เวลา 07:25:36 |
ไม่วินครับ คนไข้ด่วนต้องผ่าติดคนใช้ OR ทำเสริมดั้ง ทีมไม่พอ เคส trauma ตายก่อนห้อง OR พร้อม คนไข้ trauma ที่ต้องตายเพราะห้องผ่า ทีมดมยา scrub ไม่พร้อมเนื่องจากติดเคสเสริมสวยนอกงานรัฐ คนไข้คนนี้ win ตรงไหน ยังไม่รวมการใช้ ventilator, Pack red cell และอื่น ๆ อีก แย่งทรัพยากรเคสอื่น ได้ตังเข้ารัฐมาชดเชยการใช้ทรัพยากรมั้ย สรุปว่าไม่ใช่ win win รัฐเสียทรัพยากร คนไข้จริงเสียคิว เสียชีวิต คนที่ได้คือ แพทย์ที่รับเงิน และคนไข้นอกที่จ่ายสินบน
|
จากคุณ: Dr._Panya |
โพสเมื่อวันที่: 08/04/18 เวลา 09:36:44 |
การศัลยกรรมตกแต่งนั้น กรณีส่วนใหญ่ (คือตกแต่งเสริมความงาม ไม่ใช่แก้ไข Defect ต่างๆ) นั้นใช้สิทธิ์บัตรทอง หรือ ประกันสังคมไม่ได้ นิครับ เพราะงั้นถ้าคิดในแง่ดี ก็คือ การผ่าตัดเหล่านี้เป็นการหาเงินสดเข้าโรงพยาบาล ทั้งจาก 1. ค่าผ่าตัด 2. ค่าห้องพิเศษ...ศัลยกรรมเพื่อความงาม เช่น Breast Augmentation นั้นใส้สิทธิ์นอน รพ.ฟรีไม่ได้ ต้องนอนห้องพิเศษ คือจ่ายเงินเอง เพราะว่า จริงๆแล้วไม่มี Indication for Surgery 3. หาค่าขนม/ ค่าเวรให้จนท.ห้องผ่าตัดทั้งหลาย (อยู่เวรบ่าย- ดึก ถ้าไม่มีเคสเปิด OR. ก็อาจจะไม่ได้ค่าเวร หรือได้ค่าเวรแค่ครึ่งเวร แต่ถ้ามีการเปิด OR. ก็อาจจะได้เงิน OT. นอกจากเงินค่าเวรอีกด้วย ซึ่งเป็นเงินที่จำเป็นสำหรับการครองชีพของ จนท. เป็นอย่างมาก) ส่วนเรื่อง แพทย์รับซองนั้น จริงแล้ว แพทย์ สูติ ศัลย์ เมด เด็ก กระะดูก ที่เปิดคลินิกส่วนตัว หรือ ไปทำงานที่ รพ.เอกชน นั้นก็รับเงินซอง/ เงินพิเศษ จากคนป่วยที่ไปหาที่คลินิก หรือรพ.เอกชน เพื่อจะได้ลัดคิวในการตรวจ- รักษาในรพ.ของรัฐหรือ การ Admit. ใน รพ.ของรัฐ ทั้งนั้นแหละครับ
|
จากคุณ: Hybrid VI |
โพสเมื่อวันที่: 08/04/18 เวลา 10:00:34 |
on 08/04/18 เวลา 09:36:44, Dr._Panya wrote:การศัลยกรรมตกแต่งนั้น กรณีส่วนใหญ่ (คือตกแต่งเสริมความงาม ไม่ใช่แก้ไข Defect ต่างๆ) นั้นใช้สิทธิ์บัตรทอง หรือ ประกันสังคมไม่ได้ นิครับ เพราะงั้นถ้าคิดในแง่ดี ก็คือ การผ่าตัดเหล่านี้เป็นการหาเงินสดเข้าโรงพยาบาล ทั้งจาก 1. ค่าผ่าตัด 2. ค่าห้องพิเศษ...ศัลยกรรมเพื่อความงาม เช่น Breast Augmentation นั้นใส้สิทธิ์นอน รพ.ฟรีไม่ได้ ต้องนอนห้องพิเศษ คือจ่ายเงินเอง เพราะว่า จริงๆแล้วไม่มี Indication for Surgery 3. หาค่าขนม/ ค่าเวรให้จนท.ห้องผ่าตัดทั้งหลาย (อยู่เวรบ่าย- ดึก ถ้าไม่มีเคสเปิด OR. ก็อาจจะไม่ได้ค่าเวร หรือได้ค่าเวรแค่ครึ่งเวร แต่ถ้ามีการเปิด OR. ก็อาจจะได้เงิน OT. นอกจากเงินค่าเวรอีกด้วย ซึ่งเป็นเงินที่จำเป็นสำหรับการครองชีพของ จนท. เป็นอย่างมาก) ส่วนเรื่อง แพทย์รับซองนั้น จริงแล้ว แพทย์ สูติ ศัลย์ เมด เด็ก กระะดูก ที่เปิดคลินิกส่วนตัว หรือ ไปทำงานที่ รพ.เอกชน นั้นก็รับเงินซอง/ เงินพิเศษ จากคนป่วยที่ไปหาที่คลินิก หรือรพ.เอกชน เพื่อจะได้ลัดคิวในการตรวจ- รักษาในรพ.ของรัฐหรือ การ Admit. ใน รพ.ของรัฐ ทั้งนั้นแหละครับ |
| รับซองทั้งนั้น ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องถูก ?? เพราะว่าทำกันทั้งนั้น เหรอครับ ก็บอกแล้วไง ถ้ามัน win-win จริง ป่านนี้ รพ.โปรโมตห้อง OR ให้เช่าผ่าตัดแบบเปิดเผยไปแล้วครับ ป่านนี้คงมีราคาค่าห้อง ค่าบุคลากรออกมาแล้วครับ
|
จากคุณ: Dr._Panya |
โพสเมื่อวันที่: 08/04/18 เวลา 10:39:27 |
on 08/04/18 เวลา 10:00:34, Hybrid VI wrote: รับซองทั้งนั้น ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องถูก ?? เพราะว่าทำกันทั้งนั้น เหรอครับ ก็บอกแล้วไง ถ้ามัน win-win จริง ป่านนี้ รพ.โปรโมตห้อง OR ให้เช่าผ่าตัดแบบเปิดเผยไปแล้วครับ ป่านนี้คงมีราคาค่าห้อง ค่าบุคลากรออกมาแล้วครับ |
| เป็นมุมมองส่วนตัว ที่อาจจะมองคนละมุมกับคุณ Hybrid VI...แต่ว่า ถ้าความเห็นของคุณ Hybrid VI (ซึ่งพยายามจุดประเด็น+ หาแนวร่วมในลักษณะนี้มาหลายครั้งแล้ว) ถูกต้อง ... 1. ป่านนี้หมอที่เปิดคลินิก/ ทำเอกชน (ซึ่งก็ต้องมีเคสส่วนตัวมาจากคลินิก/ รพ. เอกชน ตามมารักษาที่รพ. ของรัฐ ไม่มากก็น้อยแหละ) คงจะถูกเล่นงานทั่วประเทศไทยมานานแล้วครับ 2. แนวร่วม(ทางความเห็น) กับคุณ Hybrid VI ในประเด็นนี้ ในห้องนี้ก็ไม่ได้มี 100% ซักหน่อย 3. ผอ. รพ. รัฐทั่วประเทศไทย ทำ/ เคยทำคลินิกส่วนตัว/ รับจ้อบ รพ.เอกชน มาก่อนน่าจะมากกว่า 50%...เพราะงั้นการที่ ผอ. รพ.จะห้าม/ เอาผิด แพทย์คนอื่นๆในประเด็นนี้ ตัวผอ. เอง(ส่วนใหญ่ ) อาจจะเป็นทำนอง "ว่าแต่เขา แต่ อิเหนา เป็นเอง" น่ะสิครับ
|
จากคุณ: WeaReGroot |
โพสเมื่อวันที่: 08/04/18 เวลา 11:23:38 |
จรรยาบรรณทางการแพทย์ปัจจุบันมันไม่มีหรอกครับ น้องหมอใหม่ๆก็ทำตามพี่ๆหมอทั้งนั้นแหละ หมอดีๆมีเยอะ แต่มาส่วนใหญ่มาจากจิตสำนึก ที่ปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กๆตะหาก ระบบกับนโยบายที่คุม รพ รัฐ เรามันห่วย ต้องเข้าใจครับ
|
จากคุณ: megacure |
โพสเมื่อวันที่: 08/04/18 เวลา 12:43:40 |
Dr. Panya เป็นตัวอย่างคนไทยกลุ่มใหญ่เลยครับ เชื่อว่า corruption หยั่งลึกจนถอนไม่ได้ หากถอนก็พัง ส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าการกำจัดเจ้าหน้าที่ที่ corruption จะทำให้ระบบสาธารณสุข dysfunction จนทำงานไม่ได้ สนับสนุนการจัดการด้วยความเฉียบขาดครับ เรื่องนี้เหมือนหาบเร่ แผงลอย จอดรถข้างถนน ไม่มีใครเชื่อว่าจะทำได้ หรือทำแล้วเกิดความเสียหายเกินจะรับได้ แต่ถ้าทำจริงก็ทำได้ สิงคโปร์ทำได้มาแล้วทั้งเรื่องแพทย์ และหาบเร่ ขยะ จอดรถ
|
จากคุณ: SeReE |
โพสเมื่อวันที่: 08/04/18 เวลา 14:01:12 |
ได้แค่ไม่เห็นด้วย แต่ไม่เห็นทางจัดการ แบบรูปธรรมเลย หนักกว่าแผงลอยนะ นั่นยังมีเทศกิจจัดการบ้าง(ไม่จัดการบ้าง) นี่ไม่(เคย)มีใครทำอะไรเลย
|
จากคุณ: Dr._Panya |
โพสเมื่อวันที่: 08/04/18 เวลา 14:10:29 |
โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่าการทุจริตในระบบราชการ ทั้งของกระทรวงสาธารณสุข/ กระทรวงอื่นๆ เช่น การขโมย/ ยักยอกทรัพย์ (เป็นการ ทุจริต แบบโบราณซึ่งนับวันจะพบได้ยากมากๆในปัจจุบัน)/ การทุจริตเชิงนโยบาย เกี่ยวกับการจัดซื้อ- จัดจ้าง เวชภัณฑ์- คุรุภัณฑ์ต่างๆ/ เงินทอนกรณีต่างๆ/ การต่อเติม- ก่อสร้างอาคารต่างๆ ฯลฯ นั้นเลวร้ายมากกว่า และควรจะกำจัดมากกว่า การที่แพทย์ของรัฐหลายๆคน ในหลายๆ รพ. จะเอื้อประโยชน์ให้ Private Case จะได้รับประโยชน์ ในการตรวจ- รักษา ต่างๆใน รพ.ของรัฐ เพราะว่า การผ่าตัดตกแต่งนั้นส่วนใหญ่เป็น Elective Case อยู่แล้วครับ...ไม่ใช่ว่าจะเอาเคสเหล่านี้ ไปแทรกเคส Emergency/ Trauma/ Major case e.g. Whipple/ Wertheim/ Transplantations ซะหน่อยนิครับ (+ นอกจากแพทย์เจ้าของเคสจะได้เงินแล้ว ทางรพ.+ จนท. ผู้เกี่ยวข้องก็ได้เงินด้วย ดังกล่าวแล้วครับ หากรพ. ไม่มีเคสเงินสด (บัตรทอง- ประกันสังคม ไม่คุ้มครอง การผ่าตัดเสริมความงาม) เลย รพ. ก็จะขาดสภาพคล่องทางการเงิน อย่างที่เป็นอยู่ในหลาย รพ. ในตอนนี้ครับ)
|
จากคุณ: WeaReGroot |
โพสเมื่อวันที่: 08/04/18 เวลา 22:44:44 |
Elective case แต่เอาเคสคลินิคมาผ่าแล้วยังได้ค่าซองอีก ... คนไข้เสียเงินให้ รพ แล้วยังเสียค่าซองให้หมออีก แล้วคนไม่มีค่าซองก็ไม่ต้องผ่าหรอ ตรรกะอะไร พยายามคิดเรื่องผิดให้ดูถูกต้อง
|
จากคุณ: philosophy |
โพสเมื่อวันที่: 08/05/18 เวลา 14:55:40 |
on 08/03/18 เวลา 22:01:57, WeaReGroot wrote: อ่านมาตั้งนาน สุดท้ายให้ยอมๆทำผิดไป หมอคนที่ทำ CAG เอาคิวคลินิกมาทำ ยังหน้าด้านทำแบบเดิมได้อีกหรอครับ เอาอะไรมาบอกว่า วิน วิน วิน ทุกฝ่าย รพ รัฐ ตั้งขึ้นมาเพื่อการรักษาแบบเท่าเทียมกันตามสิทธิ์ เอาเงินมาสอดใต้โต๊ะแล้วได้รักษาเร็ว มันก็คอรัปชั่นดีๆนี่เอง สุดท้ายประเทศมันก็ไม่พัฒนา ระบบก็เน่าต่อเพราะระบบสมยอม วินๆแบบมโนไปเอง |
| ประเด็นที่ 1 ผิด หรือ ถูก ประเด็นที่ตอบอันที่จริงก็บอกชัดแล้ว ว่าคือ ผิด ณ เวลาปัจจุบัน ไม่ว่าจะมองในแง่กฎหมายหรือข้อบังคับแพทยสภา (แต่อนาคตอาจถูกก้ได้ เพราะกฎทุกอย่างสมารถแก้ไขได้ เพราะทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติ ไม่ควรไปยึดติด ผิดเวลาหนึ่งอาจจะถูก ณ อีกเวลาหนึ่ง ถูกเวลาหนึ่ง ก็อาจจะผิด ณ เวลาหนึ่ง) ประเด็นที่ 2 ผมอธิบายถึงเหตุผล ประโยชน์นิยมโดยสมยอม อันนี้ ไม่ใช่ผม เห็นด้วย แต่เป็นสังคม ต่างหากที่ทำให้ระบบนี้เกิดขึ้นมา คือ การกระทำใดๆ ที่คิดว่าผิด โดยยึดตรรกะหนึ่ง ตรรกะใด ก็ตาม แต่การกระทำผิด นั้น ได้ กระทำต่อๆ กันมา โดยไม่มีความขัดแย้งรุนแรง หรือเกิด สงครามขึ้นมา แปลได้ 2 อย่าง คือ แบบที่ 1. ผลประโยชนฺลงตัวกันทุกฝ่าย (คือหมายถึงโดยรวม หากมองจุดย่อยๆ อาจมีคนที่เสียประโยชน์ บ้าง แต่ โดยรวม คนส่วนใหญ่คือ กำไร ) เพราะ หาก ผลประโยชน์ ไม่ลงตัว สิ่งที่ตามมาคือความขัดแย้งอย่างรุนแรง โดยอาจเป็นสงครามย่อยๆ ได้ แต่ที่ผ่านมา เห็นความขัดแย้งน้อยมาก แสดงว่า การกระทำได้เข้าสู่ภาวะสมดุล โดยเพิ่งเห็นข่าวจากประเด็น CAG ไม่กี่เดือนก่อน สุดท้ายก็ลงเอยด้วยสมยอม (จริงๆหากวิเคราะห์ย่อยลงไป จะเห็นว่าหมอท่านนี้ล้ำเส้น โดย เรียกเงินจากเคสประกันสังคม แล้วเอามาทำในเวลา อันนี้ล้ำเส้นไปมาก) ผมก็เลยใช้คำว่า ประโยชน์นิยมแบบสมยอม (คำนี้ผมตั้งขึ้นมาเองไม่มีในพจนานุกรม) เพราะคิดว่าอธิบาย บริบท นี้แบบสั้นๆ ได้ดีที่สุด แบบที่ 2. ฝ่ายใด่ฝ่ายหนึ่ง ชนะ อีกฝ่ายหนึ่งเด็ดขาดมีอำนาจควบคุมทุกอย่าง เช่นกรณีสงคราม ที่ความขัดแย้งรุนแรงสุดท้าย ฝ่ายหนึ่งชนะ ทั้งที่อาจเป็นฝ่ายกระทำผิดก็ได้ แต่ ความผิด ยังอยู่ต่อมาได้ เพราะเป็นฝ่ายชนะ คุมอำนาจเด็ดขาด ซึ่งผมไม่คิดว่าจะเป๋นกรณีที่ 2 เลยอธืบาย จาก ประโยชน์นิยมแบบสมยอม ฝากทิ้งท้าย 1. ปัญหาคอร์รัพชั่นจากอดีต สู่ปัจจุบัน (ปัญหานี้มนานเป็นร้อยๆปีแล้ว อาจจถึงพันปี ประวัติศาสตร์ โรมัน จีน ไทยเช่น เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) etc... มีหมด) โดยส่วนตัวผม ไม่คิดว่า การบังคับด้วยการใช้กฎหมายอย่างเดียวจะสามมารถแก้ปัญหานี้ได้ ต้องแก้ทั้งปลูกฝังจิตสำนึกตั้งแต่ระดับครอบครัว รวมถึง กระจาย ความั่งคั่ง ให้เสมอภาค เท่าที่จะทำได้ ให้ดีที่สุด ถึงแม้นไม่หมดแต่ให้บรรเทาเบาบางลง เราไม่สามารถไปแก้ไขคนอื่นได้แต่เราสามารถแก้ไขที่ตัวเองได้ หากไม่เห็นด้วย อย่างน้อยสุดเราก็ไม่ควรทำตาม ปลูกฝังลูกหลานให้เคารพกฎเกณฑ์ของสังคมและกฎหมาย แล้วยกตัวอย่างคำสอนของท่านพุทธทาส เพื่อจะได้ไม่ให้เป็นทุกข์ ว่าทำไมไม่เป็ฯอย่างนั้นอย่างนี้ ปัญหาหลายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายโดย generation เดียว ต้องใช้เวลา เปนตัวรักษา เช่นความเชื่อ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คอรรัพชัน
|
จากคุณ: megacure |
โพสเมื่อวันที่: 08/05/18 เวลา 15:59:12 |
on 08/05/18 เวลา 14:55:40, philosophy wrote: ประเด็นที่ 1 ผิด หรือ ถูก ประเด็นที่ตอบอันที่จริงก็บอกชัดแล้ว ว่าคือ ผิด ณ เวลาปัจจุบัน ไม่ว่าจะมองในแง่กฎหมายหรือข้อบังคับแพทยสภา (แต่อนาคตอาจถูกก้ได้ เพราะกฎทุกอย่างสมารถแก้ไขได้ เพราะทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติ ไม่ควรไปยึดติด ผิดเวลาหนึ่งอาจจะถูก ณ อีกเวลาหนึ่ง ถูกเวลาหนึ่ง ก็อาจจะผิด ณ เวลาหนึ่ง) ประเด็นที่ 2 ผมอธิบายถึงเหตุผล ประโยชน์นิยมโดยสมยอม อันนี้ ไม่ใช่ผม เห็นด้วย แต่เป็นสังคม ต่างหากที่ทำให้ระบบนี้เกิดขึ้นมา คือ การกระทำใดๆ ที่คิดว่าผิด โดยยึดตรรกะหนึ่ง ตรรกะใด ก็ตาม แต่การกระทำผิด นั้น ได้ กระทำต่อๆ กันมา โดยไม่มีความขัดแย้งรุนแรง หรือเกิด สงครามขึ้นมา แปลได้ 2 อย่าง คือ แบบที่ 1. ผลประโยชนฺลงตัวกันทุกฝ่าย (คือหมายถึงโดยรวม หากมองจุดย่อยๆ อาจมีคนที่เสียประโยชน์ บ้าง แต่ โดยรวม คนส่วนใหญ่คือ กำไร ) เพราะ หาก ผลประโยชน์ ไม่ลงตัว สิ่งที่ตามมาคือความขัดแย้งอย่างรุนแรง โดยอาจเป็นสงครามย่อยๆ ได้ แต่ที่ผ่านมา เห็นความขัดแย้งน้อยมาก แสดงว่า การกระทำได้เข้าสู่ภาวะสมดุล โดยเพิ่งเห็นข่าวจากประเด็น CAG ไม่กี่เดือนก่อน สุดท้ายก็ลงเอยด้วยสมยอม (จริงๆหากวิเคราะห์ย่อยลงไป จะเห็นว่าหมอท่านนี้ล้ำเส้น โดย เรียกเงินจากเคสประกันสังคม แล้วเอามาทำในเวลา อันนี้ล้ำเส้นไปมาก) ผมก็เลยใช้คำว่า ประโยชน์นิยมแบบสมยอม (คำนี้ผมตั้งขึ้นมาเองไม่มีในพจนานุกรม) เพราะคิดว่าอธิบาย บริบท นี้แบบสั้นๆ ได้ดีที่สุด แบบที่ 2. ฝ่ายใด่ฝ่ายหนึ่ง ชนะ อีกฝ่ายหนึ่งเด็ดขาดมีอำนาจควบคุมทุกอย่าง เช่นกรณีสงคราม ที่ความขัดแย้งรุนแรงสุดท้าย ฝ่ายหนึ่งชนะ ทั้งที่อาจเป็นฝ่ายกระทำผิดก็ได้ แต่ ความผิด ยังอยู่ต่อมาได้ เพราะเป็นฝ่ายชนะ คุมอำนาจเด็ดขาด ซึ่งผมไม่คิดว่าจะเป๋นกรณีที่ 2 เลยอธืบาย จาก ประโยชน์นิยมแบบสมยอม ฝากทิ้งท้าย 1. ปัญหาคอร์รัพชั่นจากอดีต สู่ปัจจุบัน (ปัญหานี้มนานเป็นร้อยๆปีแล้ว อาจจถึงพันปี ประวัติศาสตร์ โรมัน จีน ไทยเช่น เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) etc... มีหมด) โดยส่วนตัวผม ไม่คิดว่า การบังคับด้วยการใช้กฎหมายอย่างเดียวจะสามมารถแก้ปัญหานี้ได้ ต้องแก้ทั้งปลูกฝังจิตสำนึกตั้งแต่ระดับครอบครัว รวมถึง กระจาย ความั่งคั่ง ให้เสมอภาค เท่าที่จะทำได้ ให้ดีที่สุด ถึงแม้นไม่หมดแต่ให้บรรเทาเบาบางลง เราไม่สามารถไปแก้ไขคนอื่นได้แต่เราสามารถแก้ไขที่ตัวเองได้ หากไม่เห็นด้วย อย่างน้อยสุดเราก็ไม่ควรทำตาม ปลูกฝังลูกหลานให้เคารพกฎเกณฑ์ของสังคมและกฎหมาย แล้วยกตัวอย่างคำสอนของท่านพุทธทาส เพื่อจะได้ไม่ให้เป็นทุกข์ ว่าทำไมไม่เป็ฯอย่างนั้นอย่างนี้ ปัญหาหลายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายโดย generation เดียว ต้องใช้เวลา เปนตัวรักษา เช่นความเชื่อ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คอรรัพชัน |
| ทำไมสิงคโปร์ทำได้ครับ ทั้งเรื่องหาบเร่ แผงลอย จอดรถ และการฝากเคส(สิงคโปร์) รัฐและเอกชนแพทย์จะแยกกันเด็ดขาด ไม่สามารถทำงานทั้งรัฐและเอกชนได้
|
จากคุณ: philosophy |
โพสเมื่อวันที่: 08/05/18 เวลา 16:54:16 |
สิงคโปร์ VS ไทย จริงๆน่าจะรู้อยู่แล้วนะครับ 1.ประเทศเล็กและเป๋นเกาะ โหญ่ยากกว่าเล็ก เกาะ ดีกว่าเขตแดนติดหลายประเทศหากประเทศรายรอบเป็นประเทศกำลังพัฒนา 2.ประชากรน้อยประมาณ 5.607 ล้าน มาก ยากกว่าน้อย 3.ลีกวนยู ผู้นำคนเก่า และภรรยาเรียนมาทางด้านกฎหมายโดยตรงเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการบังคับไช้กฏหม าย ผู้นำที่ดี ดีกว่า ผู้นำที่คอรัพชันและอ่อนแอด้านศีลธรรม คุณว่าผมหมายถึงใคร? 4.ความมั่งคั่งของประเทศ จากยุทธศาสตร์และเมืองท่า ในอดีต และผลประโยชน์ของชาติตะวันตกที่เลือกใช้ฮ่องกงและสิงคโป่์เป็นฐานสู่ เอเชียตะวันออก โดยสัมพันธ์กับความเก่งของผู้นำประเทศ รวยทำง่ายกว่าจนแน่ๆ 5.การปลูกฝังเรื่องศึกษาและระเบียบวินัยของประชากร การศ๊กษาไทย กับสิงคโปร์ ต่างกันอย่างไร ดู University ก็ได้ ส่วนตัวประเทศไทย พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวเรื่องการศึกษา แต่สิงคโปร์ไม่ใช่ไม่มีคอร์รัพชันนะครับ แต่มีน้อยครับ หากคงสภาพทุกอย่างเหมือนเดิมไว้ แต่เพิ่มประชากรสิงคโปร์ เป็น 70 ล้าน และลดความมั่งคั่งลง เหลือเท่าไทย คุณว่าจะเกิด อะไรขึ้น ทุกประเทศมีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง สิงคโปร์โชคดีที่มีผู้นำแบบ ลีกวนยู แต่ถึงกระนั้นเอง สิงคโปร์ก้มีปัญหากับมาเลเซียตลอด ตามประวัติศาสตร์ ปัญหาที่ผมพูดตอบ ไว้ข้างบนผมพูดแบบรวมๆ กว้าง รวมถึง ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วย และอาจอธิบายปรากฎการณ์ สงครามในซีเเรีย อัฟกานิสถาน ด้วย ปัญหามองได้หลายมุม จะมองแบบในอุดมคติก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะมองตามความเป็นจริงมากกว่า ตามบริบท ณ เวลานั้นๆ
|
จากคุณ: cmumed |
โพสเมื่อวันที่: 08/05/18 เวลา 17:26:20 |
ขอหลักฐานชัดๆครับ ว่ามีจริงหรือเปล่าที่ทำแบบนั้น ไม่ต้องระบุชื่อก็ได้ เดี๋ยวผมอาจทำให้ดูว่า ทำอะไรได้หรือเปล่า แต่ขออะไรที่ชัดๆนะครับที่ไม่ใช่การใส่ความหรือกลั่นแกล้งกัน ยิ่งตอนนี้กำลังประกาศรับสมัครกรรมการแพทยสภาใหม่ ผมจะได้ทดสอบกรรมการปัจจุุบันก่อนเลย
|
จากคุณ: WeaReGroot |
โพสเมื่อวันที่: 08/06/18 เวลา 00:58:42 |
on 08/05/18 เวลา 17:26:20, cmumed wrote:ขอหลักฐานชัดๆครับ ว่ามีจริงหรือเปล่าที่ทำแบบนั้น ไม่ต้องระบุชื่อก็ได้ เดี๋ยวผมอาจทำให้ดูว่า ทำอะไรได้หรือเปล่า แต่ขออะไรที่ชัดๆนะครับที่ไม่ใช่การใส่ความหรือกลั่นแกล้งกัน ยิ่งตอนนี้กำลังประกาศรับสมัครกรรมการแพทยสภาใหม่ ผมจะได้ทดสอบกรรมการปัจจุุบันก่อนเลย |
| หลักฐานชัดๆน่าจะมีนะครับ ลองหาดู สู้ๆมีคนจะช่วยท่าน จขกท แล้ว
|
จากคุณ: soon_soon |
โพสเมื่อวันที่: 08/06/18 เวลา 09:31:16 |
เห็นด้วย กับ คห1.1 สีดำถ้าบังคับ ให้ใส่ซอง ใส่เเล้ว แทรกคิว ไม่ใส่ไม่ทำ หรือให้ อินเทิอร์น พยาบาลทำโดยไม่มาดู เเล้ว หมอสูติรับฝากพิเศษ ถูกตามตัวมาทำคลอดในเวลาที่ ตัวไม่ได้อยู่เวร หล่ะ สีเทา หรือดำ คห 7 เห็นด้วย ครับ เวลา สำคัญ กว่า เงิน ลูกๆโตขึ้นยังบอกว่า พ่อเเม่ ต้องออกไปทำงน ตอนกลางคืนเป็นเรื่องที่ไม่น่้าประทับใจเลย ส่วน หมอเคส CAG ที่ว่าเกิดที่ไหน ครับ ถ้าไม่บอกก็ไม่เป็นไร ครับ คห11 เห็นด้วย ครับ เป็นหลายฟิลด์ ( แต่ไม่ทุกคน ที่ รับซอง) คห 12 เห็นด้วย ที่ว่า ผิดๆๆๆ ทำไม รพ มหาลัย เปิดพื้นที่ ตึกทำแบบหรู รับผป นอก เปิดห้องผ่าตัด ราคาเท่าเอกชน แต่ สธ. ทำไม่ได้ เห็นด้วย กับ คห 21 นะครับ สิงค์โปร์ เติบโตได้ เหมือน ฮ่องกง ที่เชื่อมไต้หวัน กับ จีนแผ่นดินใหญ่ เพราะ เป็น แหล่งเเลกเปลี่ยน จาก สงคราวเวียดนาม ระหว่า่ง โลก เสรี กับ คอมมิวนิสต์ และ ลีกวนยู ก็ ไม่ได้โดนเเทรกแซงจาก นอกประเทศ +คนในประเทศก็ ต้องการพัฒนาประเทศ(ที่เล็กเลยกระจายความเจริญได้ง่่าย )ทำให้ หนีห่างจากไทย ไปมาก แต่ สงสัย เรื่อง 3 จังหวัดชายแดนที่ว่า มันเกี่ยวกันยังไง ครับ ยินดีที่ได้คุยกัน ครับ
|
จากคุณ: blitzs |
โพสเมื่อวันที่: 08/06/18 เวลา 14:11:01 |
นัดจากคลินิก มา รพ รัฐ สูติ ศัล ortho ก็เทาๆดำๆทั้งนั้น ถ้าให้ใสสะอาดต้องนัดไปทำที่เอกชน ก็พอๆกับ med สั่งยาเว่อร์เฟร่อ แล้วก็ได้ทัวร์ไปเมืองนอกกัน
|
จากคุณ: SeReE |
โพสเมื่อวันที่: 08/07/18 เวลา 09:20:43 |
หลักฐานแบบไหนที่ว่าชัด อยากให้คห#22ทดสอบระบบจริงๆ แอบเชียร์
|
จากคุณ: anantom |
โพสเมื่อวันที่: 08/07/18 เวลา 12:28:20 |
ดูแล้วผมเริ่มฝันร้ายแล้ว ว่าแพทย์เราเริ่มทุจริตมากขึ้น แถมได้ดีด้วย หมอศัลย์ หมอเด็ก หมอเมดต่างเริ่มเรียกรับเงินคนไข้ทุกคน เพื่อจะได้มีเงินใช้ไม่น้อยหน้าหมอสูติ หมอตบแต่ง คนไข้ถูกบีบให้จ่ายอยู่แล้ว เพราะเขากลัวเรารักษาไม่ดี แพทย์สภา กระทรวง ดูท่าจะทำอะไรไม่ได้ อาชีพที่มีเกียรติกำลังถูกทำลายแล้วครับ โดยมือของหมอกันเอง
|
จากคุณ: Dr._Panya |
โพสเมื่อวันที่: 08/07/18 เวลา 19:31:08 |
on 08/06/18 เวลา 14:11:01, blitzs wrote: นัดจากคลินิก มา รพ รัฐ สูติ ศัล ortho ก็เทาๆดำๆทั้งนั้น ถ้าให้ใสสะอาดต้องนัดไปทำที่เอกชน ก็พอๆกับ med สั่งยาเว่อร์เฟร่อ แล้วก็ได้ทัวร์ไปเมืองนอกกัน |
| หมอเด็กบางท่าน ก็ได้ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ...ก็ไม่ใช่ว่า โชคดีถูกรางวัลจากการส่งฝาชาเขียวไปชิงโชค หรือออกเงินเอง หรอกนะครับ... ก็มาจาก การขายนมผง/ วัคซีนพิเศษต่างๆ นั่นแหละครับ ... 1. คนไข้...ได้นมผง/ อาหารเสริม/ วัคซีนพิเศษ 2. บริษัทยา/ วัคซีน/ นมผง/ อาหารเสริม... ได้เงินจากการขาย 3. แพทย์...ได้เที่ยวเมืองนอก พร้อม Pocket money ... ชีวิต ดี๊ดี เนาะ อิ อิ อิ
|
จากคุณ: Innominate |
โพสเมื่อวันที่: 08/13/18 เวลา 00:16:27 |
ปัญหาแก้ได้ด้วยการล่อซื้อ แล้วก็จับครับ ถ้าทำจริงต้องมีสมุดบัญชีแยกกันแน่นอนระหว่างคนไข้ธรรมดากับคนไข้ฝากพิเศษใค รจะไปจำได้หมด ผมเห็นบ่นกันมาแบบนี้หลายสิบปีแล้ว ไม่ใช่นวตกรรมใหม่อะไรหรอกครับ แต่ไม่มีใครลุกขึ้นมาจับจริงๆสักที แต่ผมคิดว่าจับไปแพทยสภาก็ทำแค่ตักเตือน แล้วก็ออกมาทำต่อ ไม่คุ้มค่าที่จะไปจับหรอกครับ
|