หน้าแรกเว็บบอร์ด หน้าแรกเว็บบอร์ด
   For MD.
   Doctor Room l ห้องพักแพทย์
   Post reply ( Re: ติดเชื้อ hiv เรียนต่อเฉพาะทางได้ไหม )
ขอเชิญเพื่อนแพทย์พูดคุย แสดงความคิดเห็นครับ
หัวข้อ:
ใส่ชื่อ:
Email:
Add YABBC tags:
Add Smileys: <more...>
ข้อความ:

Disable Smilies




Topic Summary
จากคุณ: Yuut โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 01:41:17

ตอนนี้ใช้ทุนมาสองปีแพลนจะเรียนต่อเฉพาะทางแต่เกิดตรวจพบเชื้อซะก่อน ชีวิตเหมือนพังทลายเลยเพราะไม่รู้จะไปต่อยังไง อยากขอคำแนะนำพี่ๆในนี้หน่อยครับ ใจจริงก็อยากเรียน medicine ตอนนี้คิดไว้ว่าจะไปต่อพระมงกุฎ แต่ไม่รู้ว่าจะไปต่อได้ไหม เค้าต้องตรวจเลือดก่อนรึเปล่าครับ เครียดมากเลยครับ
จากคุณ: megacure โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 08:20:12
ไม่เห็นที่ไหนรับสมัคร dent บังคับตรวจ hiv นะ แต่ถ้ามีเหตุ post exposure ต่อ infectious material คงโดนบังคับตรวจ
 
อย่ากังวล ไม่มีใครรู้ และไม่เป็นอันตรายต่อใคร ถ้าเราไม่ได้มี opportunistic infection โดยเฉพาะ TB
จากคุณ: bridge โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 08:44:13
ของผมสมัครเดนท์ตรวจนะครับ เท่าที่ทราบส่วนใหญ่ตรวจให้รู้จะได้เป็นหลักฐานว่าติดก่อนทำงานครับ ไม่เกี่ยวกับพิจารณาไม่รับ
 
train ได้ครับไม่มีใครทราบด้วยนอกจากอาจารย์ที่รักษา ขึ้นกับว่าร่างกายไหวไหมกับการเทรน  ถ้าทานยาแล้วอดนอนไม่ไหวผมว่าอย่าไปเทรนเลยครับ  
จากคุณ: pracha โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 09:54:17
เลือกเรียน สาขาที่ไม่ต้องทำหัตถการหรือการสัมผัสโรคที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งต่อต นเองและคนไข้ครับ
 
จากคุณ: know555 โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 10:06:49
ยาสมัยนี้ดีครับ  กินแต่เนิ่นๆยิ่งดีใหญ่   ใช้ชีวิตได้เป็นปกติสบาย
 
 
แต่อย่างไรก็ตาม  ต้องชั่งน้ำหนักหลายอย่าง  เช่นการเรียนหนักไปมั้ย(โดยเฉพาะคนหัวธรรมดา  ถ้าคนหัวดีอ่านบ้างไม่อ่านบ้างจำเก่งแบบนี้จะดีกว่าเพราะเรียนสบายๆ)  ถ้าไม่เรียนแต่เป็นจีพีธรรมดาจะอยู่ที่ไหนและคิดว่าจะมีความสุขได้มั้ย(ถ้าไ ด้ก็อยู่เป็นจีพีรักษาตัวและสุขภาพดีกว่) การเงินต้องการมากมั้ย(ถ้าเป็นจีพีแล้วมีเงินพอจุนเจือทุกอย่างได้ก็อย่าเรี ยนเลยเอาเวลาไปหาความสุขดีกว่าครับเช่นท่องเที่ยวกับคนที่เรารัก  เดินสายทำบุญไปตามเรื่อง  )
 
ขอให้โชคดีครับไม่ว่าจะเลือกแบบไหนก็ถูกทุกอย่างครับ
 
 
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 10:35:14
มันอาจเป็นฟ้าลิขิต  
 
มันเป็นไปแล้ว  
 
อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิต  
 
ให้ตีความหมาย "เป็นสิ่งดี"  
 
เขาอาจกำลังให้เราค้นหาอะไรบางอย่างที่มีความหมายอยู่  
 
ให้มองหาสิ่งดีจากสิ่งนี้
จากคุณ: Dr._Panya โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 10:47:15
ผมว่าเค้าตรวจเลือด/ ตรวจร่างกาย/ ตรวจประวัติอาชญากรรม/ สารเสพติด ฯลฯ... อยู่แล้วล่ะครับ ส่วนมากจะตรวจเมื่อเค้ารับเราแล้วครับ  
คือก่อนจะเปิดเรียน ในเดือน มิ. ย. ของทุกปี (ไม่ใช่ตรวจตั้งแต่วันที่เรามาสมัครเทรน)
ซึ่งผมคิดว่าเค้าต้องการ Screen คนที่มีโรค/ ข้อห้ามต่าง ออกไปนั่นแหละครับ
ดังนั้นผมคิดว่าหากเลือดบวก (ซึ่งจะมีโรคแทรกซ้อนอีกมากมายในภายหลัง) ผมว่าเค้าไม่รับเทรนแน่ๆครับ... อาจารย์/ เพื่อนๆ Residents/ พยาบาลในวอร์ด/ จนท. ใน รพ./ ผู้ป่วย/ ญาติ ฯลฯ อีกหน่อยก็ต้องรู้ความจริงไปเรื่อยๆ เพราะความลับไม่มีในโลกครับ
ซึ่งจะมีปัญหาในการทำงาน/ ร่วมงาน/ ความเป็นอยู่/ การเทรนฯ ไม่มากก็น้อยแหละครับ
จากคุณ: Winter is coming โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 18:26:34
ไปเรียนสาขาที่ไม่ต้องสัมผัสคนไข้ได้ไหมครับ
เช่น รังสี  เวชศาสตร์ป้องกัน  อาชีวอนามัย อะไรงี้ได้ไหมครับ
จากคุณ: Yuut โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 19:03:33
ขอบคุณนะครับ อ่านแล้วรู้สึกถึงพลังที่ส่งมอบมาให้ ทำให้อยากก้าวต่อไป ถึงแม้ว่าอนาคตอาจจะยากลำบากก็ตาม
 
on 05/28/18 เวลา 10:35:14, <<GOOD LIFE<< wrote:
มันอาจเป็นฟ้าลิขิต  
 
มันเป็นไปแล้ว  
 
อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิต  
 
ให้ตีความหมาย "เป็นสิ่งดี"  
 
เขาอาจกำลังให้เราค้นหาอะไรบางอย่างที่มีความหมายอยู่  
 
ให้มองหาสิ่งดีจากสิ่งนี้

จากคุณ: Yuut โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 19:07:28
on 05/28/18 เวลา 18:26:34, Winter is coming wrote:
ไปเรียนสาขาที่ไม่ต้องสัมผัสคนไข้ได้ไหมครับ
เช่น รังสี  เวชศาสตร์ป้องกัน  อาชีวอนามัย อะไรงี้ได้ไหมครับ

 
ผมเข้าใจนะครับว่าไม่อยากให้สัมผัสกับตัวคนไข้ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็มองแนวทางเอาไว้ จริงๆไม่ได้อยากเป็นจำเลยของสังคมหรอกครับ ผมเข้าใจสถานะของตัวเอง บางอย่างก็พูดยากนะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ผมก็คงแก้อะไรไม่ได้ แต่ผมก็อยากมองอนาคตที่พอจะมีหนทางได้บ้างครับ ส่วนสาขาที่เรียนจริงๆถ้าเป็นไปได้ก็อยากเลือกเรียนในสิ่งที่ชอบแต่ถ้ามันมี ข้อจำกัดอย่างที่บอกก็อาจจะเลือกแนวทางที่เหมาะสมครับ
จากคุณ: brownie โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 23:08:41
เกิดอุบัติเหตุ ก็ต้องโดนบังคับตรวจ ถึงตอนนั้นความลับไม่มีในโลกครับ เมดก็ต้องเจาะ blood gas เจาะหลัง
กินยาด้วย ถ้าอดนอนจะกินยายังไง หรือถ้าใช้ยาที่ต้องกินพร้อมอาหาร เกิดกินข้าวไม่ตรงเวลาจะมีปัญหามั้ย
เรื่องแพร่เชื้อให้คนไข้ ผมไม่ห่วงนะ เพราะเดี๋ยวนี้ U undetectable = U untransmittable
จากคุณ: Yuut โพสเมื่อวันที่: 05/28/18 เวลา 23:56:15
ถ้าเรียนต่อเชิงเวชศาสตร์ต่างๆ จะดีกว่าไหมครับ จะได้ลดการเกิดอุบัติเหตุทางการแพทย์ด้วย รบกวนขอคำแนะนำด้วยครับ
จากคุณ: Dr._Panya โพสเมื่อวันที่: 05/29/18 เวลา 09:53:07
การเรียนต่อใน Major Wards โดยเฉพาะในโรงเรียนแพทย์ ยิ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ชั้นนั้นนำนั้น
1. มีผู้สมัครเรียนมากมายกว่าจำนวนรับได้+ (อย่าง เมดจุฬาฯ สมัคร 200+ รับ 40+ คน เป็นต้น...แต่ละคนมี Profiles เลิศหรู+ เส้นใหญ่พอตัวทั้งสิ้น และตรวจเลือดแน่นอนล้าน %... คุณ จขกท. คิดว่าตัวเองจะมีคุณสมบัติพอได้เรียนเมดจุฬาฯมั้ยครับ)
2. งาน Service and Academic หนักมากๆๆๆ...ซึ่งงานก็หนักมาก และวิชาการก็เข้มข้น อาจารย์ก็อัดหนักมาก ยิ่งหากเป็น Immuno-compromised  Host อยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าจะเป็นระยะ Asymptomatic AIDS ก็เถอะ  จะมีปัญหาต่อสุขภาพร่างกาย+ จิตใจ ของคุณ จขกท.มากขึ้นแน่นอน
3. จากข้อข้างบนๆ ที่ โพสต์ไว้ก่อนแล้ว เมื่อมีการตรวจเลือดแล้ว มีคนอื่นทราบผลเลือดบวกของเราแล้ว พวกเค้าเหล่านั้น (ซึ่งจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอาจจะรู้ทั้งโรงพยาบาล) จะมีท่าทีรังเกียจ/ แหยง/ ไม่สนิทสนม ต่อคุณ จขกท. ไม่มากก็น้อยแหละครับ (ต่อให้แค่พูดคุย กินข้าวร่วมโต๊ะ สัมผัส เล็กๆน้อยๆ ซึ่งไม่ติดเอดส์ อย่างที่เรารู้ๆกันดี ก็เถอะ)
 
เพราะงั้น อนาคต การเรียนต่อ ในแผนกใหญ่ๆ/ ในโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ไม่สดใส ราบรื่น แน่นอนครับ
จากคุณ: bridge โพสเมื่อวันที่: 05/29/18 เวลา 10:05:56
ผมว่าหน่วยเดียวที่ไม่อดนอนคือ patho นะครับ อันอื่น เวชศาสตร์ป้องกันยังต้องอยู่เวร หน่วยที่ไปวนปีแรก
จากคุณ: Yuut โพสเมื่อวันที่: 05/29/18 เวลา 15:41:29
ถ้าเป็นอย่างนั้นผมเป็น GP ต่อไปในอนาคตมันจะมีผลต่อสุขภาพไม่มากก็น้อย เรื่องเรียนต่ออาจจะต้องตัดใจ แนวทางนี้ผมต้องหาอาขีพสำรองไว้แต่เนิ่นๆไหมครับ ตอนนี้รู้สึกพอคิดเรื่องอนาคตแล้วจะ depression บ่อยๆ
on 05/29/18 เวลา 09:53:07, Dr._Panya wrote:
การเรียนต่อใน Major Wards โดยเฉพาะในโรงเรียนแพทย์ ยิ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ชั้นนั้นนำนั้น
1. มีผู้สมัครเรียนมากมายกว่าจำนวนรับได้+ (อย่าง เมดจุฬาฯ สมัคร 200+ รับ 40+ คน เป็นต้น...แต่ละคนมี Profiles เลิศหรู+ เส้นใหญ่พอตัวทั้งสิ้น และตรวจเลือดแน่นอนล้าน %... คุณ จขกท. คิดว่าตัวเองจะมีคุณสมบัติพอได้เรียนเมดจุฬาฯมั้ยครับ)
2. งาน Service and Academic หนักมากๆๆๆ...ซึ่งงานก็หนักมาก และวิชาการก็เข้มข้น อาจารย์ก็อัดหนักมาก ยิ่งหากเป็น Immuno-compromised  Host อยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าจะเป็นระยะ Asymptomatic AIDS ก็เถอะ  จะมีปัญหาต่อสุขภาพร่างกาย+ จิตใจ ของคุณ จขกท.มากขึ้นแน่นอน
3. จากข้อข้างบนๆ ที่ โพสต์ไว้ก่อนแล้ว เมื่อมีการตรวจเลือดแล้ว มีคนอื่นทราบผลเลือดบวกของเราแล้ว พวกเค้าเหล่านั้น (ซึ่งจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอาจจะรู้ทั้งโรงพยาบาล) จะมีท่าทีรังเกียจ/ แหยง/ ไม่สนิทสนม ต่อคุณ จขกท. ไม่มากก็น้อยแหละครับ (ต่อให้แค่พูดคุย กินข้าวร่วมโต๊ะ สัมผัส เล็กๆน้อยๆ ซึ่งไม่ติดเอดส์ อย่างที่เรารู้ๆกันดี ก็เถอะ)
 
เพราะงั้น อนาคต การเรียนต่อ ในแผนกใหญ่ๆ/ ในโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ไม่สดใส ราบรื่น แน่นอนครับ

จากคุณ: ~Mr.Sniper~ โพสเมื่อวันที่: 05/29/18 เวลา 15:50:18
จิตเวชก็มีโอกาส transmission น้อยครับ เพราะหัตถการไม่มีสัมผัสผู้ป่วยเท่าไร เช่น ECT และยังได้อยู่กับคนไข้ อดนอนเล็กน้อยโดยเฉพาะเด้นท์ 1 แต่ไม่เหนื่อยเท่าอายุรกรรมแน่ครับ และรายได้อาจไม่มากครับ ถ้าจบแล้วมาทำงานใน รพ. ที่มีหอผู้ป่วยอาจมีอดนอนบ้างแต่ก็ไม่มากเช่นกันครับ  
 
จากคุณ: brownie โพสเมื่อวันที่: 05/29/18 เวลา 17:34:03
จิตเวช ก็ดีนะครับ เพื่อนผมที่เป็นจิตแพทย์ไปเที่ยวเมืองนอกบ๊อยบ่อย
patho ก็เสี่ยงติด tb  จากชิ้นเนื้อหรือศพเหมือนกัน
จากคุณ: Innominate โพสเมื่อวันที่: 05/29/18 เวลา 19:41:53
ผมว่าถ้าภูมิไม่ดี เลือกเรียนสาขาที่ไม่ต้องใกล้ชิดผู้ป่วย อาจจะดีกว่า(สำหรับตัวเองด้วย) เพราะลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากผู้ป่วย เพื่อนๆผมแข็งแรงดียังติด TB กันหลายคน ถ้าเรียนสาขาที่ต้องเจอคนเยอะๆ ตรวจคนไข้วันละร้อย ผมว่าโอกาสเสี่ยงมาก ยิ่งเป็น GP ก็ต้องตรวจคนไข้วันนึงเยอะมาก  
 
ผมว่าพวก patho xray นิติเวช อาจจะดีกว่า
จากคุณ: simath โพสเมื่อวันที่: 05/29/18 เวลา 22:47:24
on 05/29/18 เวลา 19:41:53, Innominate wrote:
ผมว่าถ้าภูมิไม่ดี เลือกเรียนสาขาที่ไม่ต้องใกล้ชิดผู้ป่วย อาจจะดีกว่า(สำหรับตัวเองด้วย) เพราะลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากผู้ป่วย เพื่อนๆผมแข็งแรงดียังติด TB กันหลายคน ถ้าเรียนสาขาที่ต้องเจอคนเยอะๆ ตรวจคนไข้วันละร้อย ผมว่าโอกาสเสี่ยงมาก ยิ่งเป็น GP ก็ต้องตรวจคนไข้วันนึงเยอะมาก  
 
ผมว่าพวก patho xray นิติเวช อาจจะดีกว่า

+1 โรคทาง med หลายๆอย่าง ขนาดหมอที่แข็งแรงดียังกลัวเลย ถ้า immunocompromise แล้วไปเรียนสาขาที่ต้องใกล้ชิดกับเชื้อมากๆ จะยิ่งไม่ดีกับตัวเองนะครับ
จากคุณ: jengirl โพสเมื่อวันที่: 05/30/18 เวลา 08:23:25
โดยหลักการจะกลัว healthcare providers แพร่เชื้อไปให้คนไข้มากกว่าค่ะ ดังนั้นจะแนะนำให้เลี่ยงสาขาที่ต้องทำหัตถการทั้งหมด แต่สามารถเรียนสาขาที่ไม่สัมผัสคนไข้โดยตรงได้
 
เรื่องอื่นเชื่อว่าไม่มีปัญหาค่ะ กินยา follow up ตามกำหนดก็น่าจะโอเค อาจจะต้องพักผ่อนเยอะๆด้วย เลี่ยงสาขาที่หนักๆหน่อย
 
เรื่องการตรวจก่อนเข้าเทรนนี่ไม่ทราบ policy นะคะ
จากคุณ: Yuut โพสเมื่อวันที่: 05/30/18 เวลา 18:43:58
ถ้าไปเชิงทาง PhD มีคำแนะนำไหมครับ
จากคุณ: Dr._Panya โพสเมื่อวันที่: 05/31/18 เวลา 13:10:24
เป็นผมๆ จะสมัครเรียน Pure Science เช่น เลข/ ฟิสิกส์/ ภาษาต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส สเปน ญี่ปุ่น จีน เยอรมัน/ การเงิน- การลงทุน จนแตกฉาน หรือจบ ปริญญาเอกไปเลย ครับ
จากคุณ: 921684 โพสเมื่อวันที่: 06/04/18 เวลา 08:34:41
ไปเรียนการลงทุน แบบเชี่ยวชาญไปเลย น่าสนนะคะ
ดีกว่ารู้งูๆ ปลาๆ อ่านหนังสือไม่กี่เล่มแล้วบอกว่าเป็นเซียนหุ้น Grin
จากคุณ: Fairfai โพสเมื่อวันที่: 06/12/18 เวลา 08:33:59
Med เชียงใหม่ เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ไม่ใช้ผลเลือด HIV ในการตรวจสุขภาพนะคะ มีแค่ Heptitis
 
ธรรมศาสตร์เอง ก็ใช้แค่ผลเลือด hepatitis, VZV ค่ะ
 
คือเราเอง คิดว่า HIV ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการเรียนต่อเลยค่ะ Med ไม่ได้มีความเสี่ยงเอาเลือดเราไปสัมผัสคนไข้ แต่เป็นห่วงว่าน้องเองสัมผัสคนไข้ high risk พวก TB, herpes บ่อยๆ อาจไม่ปลอดภัยกับตัวเองมากกว่า
 
แต่ถ้าใจรักจริง ลองสมัครดูก่อนก็ได้ค่ะ ถ้าให้เจาะเลือดก็สละสิทธิ์ หรือไม่งั้นก็คุยกับกรรมการไปเลย ไม่น่ามีปัญหา
จากคุณ: JB. โพสเมื่อวันที่: 06/12/18 เวลา 09:24:04
ผมเปรียบเทียบโรคเอดส์กับเบาหวานให้
 
ถ้าไม่รักษา :
 
เป็นเบาหวาน อยู่ได้ 1-2 ปี ก็ตายแล้ว
 
ติดเชื้อเอดส์ จะใช้เวลา 7 ปี ถึงจะกลายเป็นเอดส์เต็มขั้น แล้ว ใช้เวลาอีก 1 ปี ถึงจะตาย
 
ถ้ารักษา :
 
เป็นเบาหวาน ต่อให้รักษา อายุเฉลี่ยก็สั้นกว่าคนปกติ
 
เบาหวานต้องกินยาตลอดชีวิต วิธีหายขาดมีวิธีเดียวคือทำ pancrease transplant
 
แต่ติดเชื้อเอดส์ , ประวัติศาสตร์มันเป็นแบบนี้
 
เราใช้เวลา 15 ปี ในการวิจัย จนพบว่า สามารถทำให้ตรวจไม่พบเชื้อในเลือดได้
 
เราใช้เวลาอีก 15 ปี ในการศึกษา จนพบว่า คนที่ติดเชื้อเอดส์ อายุยืนเท่าคนปกติ
 
เดี๋ยวมาต่อ ไปตรวจคนไข้ก่อนครับ
จากคุณ: JB. โพสเมื่อวันที่: 06/12/18 เวลา 12:34:25
อนาคต
 
เบาหวาน - ต่อให้ transplant ได้ ก็ต้องกินยากดภูมิตลอดชีวิต ยกเว้น cloning ตับอ่อนตัวเอง
 
เอดส์ - ปัจจุบัน เราหายาที่รักษาหายขาดเจอแล้ว คือ ตามไปฆ่าเชื้อให้หมดจด ไม่เหลือซากในตัวเราอีกต่อไป รอวิจัยเสร็จก็ทำขายได้เลย
 
อนาคต คนที่ติดเชื้อเอดส์ จะเป็นโรคที่รักษาได้ หายขาด หายแล้วหยุดยาได้ ไม่ต้องกินยาตลอดชีวิต
 
เพราะฉะนั้นน้องไม่ต้องกังวล กินยาให้ครบตรงเวลาทุกวัน รอฝรั่งทำยามารักษาเราให้หายขาด
 
ปล. ใครที่โพสว่า จะสมัครเรสิเดนท์ ต้องตรวจโรคเอดส์ ช่วยระบุสถาบันด้วย  
 
หรือถ้าไม่ระบุสถาบัน ช่วยบอกหน่อยว่าคุณเป็นอาจารย์โรงเรียนแพทย์จริงๆ ไม่ได้มั่วคิดเอาเอง
จากคุณ: Yuut โพสเมื่อวันที่: 12/14/18 เวลา 15:34:10
ขอบคุณครับอาจารย์
 
on 06/12/18 เวลา 12:34:25, JB. wrote:
อนาคต
 
เบาหวาน - ต่อให้ transplant ได้ ก็ต้องกินยากดภูมิตลอดชีวิต ยกเว้น cloning ตับอ่อนตัวเอง
 
เอดส์ - ปัจจุบัน เราหายาที่รักษาหายขาดเจอแล้ว คือ ตามไปฆ่าเชื้อให้หมดจด ไม่เหลือซากในตัวเราอีกต่อไป รอวิจัยเสร็จก็ทำขายได้เลย
 
อนาคต คนที่ติดเชื้อเอดส์ จะเป็นโรคที่รักษาได้ หายขาด หายแล้วหยุดยาได้ ไม่ต้องกินยาตลอดชีวิต
 
เพราะฉะนั้นน้องไม่ต้องกังวล กินยาให้ครบตรงเวลาทุกวัน รอฝรั่งทำยามารักษาเราให้หายขาด
 
ปล. ใครที่โพสว่า จะสมัครเรสิเดนท์ ต้องตรวจโรคเอดส์ ช่วยระบุสถาบันด้วย  
 
หรือถ้าไม่ระบุสถาบัน ช่วยบอกหน่อยว่าคุณเป็นอาจารย์โรงเรียนแพทย์จริงๆ ไม่ได้มั่วคิดเอาเอง

จากคุณ: Marshallvet โพสเมื่อวันที่: 09/21/20 เวลา 20:40:32
อยากทราบว่าตอนนี้ พี่ มีแนวทาง การตัดสินใจเลือกเรียนต่อ ยังไง ครับ พอดี ผม ก็เจอปัญหา คล้ายกัน แต่ตอนนี้ undetecable  แล้ว ครับ   ขอบคุณครับ  on 05/28/18 เวลา 01:41:17, Yuut wrote:

ตอนนี้ใช้ทุนมาสองปีแพลนจะเรียนต่อเฉพาะทางแต่เกิดตรวจพบเชื้อซะก่อน ชีวิตเหมือนพังทลายเลยเพราะไม่รู้จะไปต่อยังไง อยากขอคำแนะนำพี่ๆในนี้หน่อยครับ ใจจริงก็อยากเรียน medicine ตอนนี้คิดไว้ว่าจะไปต่อพระมงกุฎ แต่ไม่รู้ว่าจะไปต่อได้ไหม เค้าต้องตรวจเลือดก่อนรึเปล่าครับ เครียดมากเลยครับ

จากคุณ: Marshallvet โพสเมื่อวันที่: 09/21/20 เวลา 20:47:49
อยากทราบว่า ตอนนี้ พี่มีแนวทางการตัดสินใจ และ เลือกเรียนยังไง ครับ ผมก็อยู่ในสถานะคล้ายพี่ ครับ ตอนนี่ ก็ undetectableแล้ว ครับ  on 05/28/18 เวลา 01:41:17, Yuut wrote:

ตอนนี้ใช้ทุนมาสองปีแพลนจะเรียนต่อเฉพาะทางแต่เกิดตรวจพบเชื้อซะก่อน ชีวิตเหมือนพังทลายเลยเพราะไม่รู้จะไปต่อยังไง อยากขอคำแนะนำพี่ๆในนี้หน่อยครับ ใจจริงก็อยากเรียน medicine ตอนนี้คิดไว้ว่าจะไปต่อพระมงกุฎ แต่ไม่รู้ว่าจะไปต่อได้ไหม เค้าต้องตรวจเลือดก่อนรึเปล่าครับ เครียดมากเลยครับ

จากคุณ: 6699 โพสเมื่อวันที่: 09/22/20 เวลา 07:56:56
เจ้าของกระทู้ถามเพื่อนว่า ถ้าจะเรียนต่อ พระมงกุฎฯ แผนก med ตอนสมัครต้องมีการตรวจเลือด ตรวจ HIV หรือไม่  ฟังหลายคำตอบ ยังไม่ทราบเลย


  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by