หน้าแรกเว็บบอร์ด หน้าแรกเว็บบอร์ด
   For MD.
   Doctor Room l ห้องพักแพทย์
   Post reply ( Re: มาถึงวันนี้ถึงได้รู้ว่า เราคือคนชั้นกลาง ที่ตกรถไฟมาถึงสามรุ่นแล้ว )
ขอเชิญเพื่อนแพทย์พูดคุย แสดงความคิดเห็นครับ
หัวข้อ:
ใส่ชื่อ:
Email:
Add YABBC tags:
Add Smileys: <more...>
ข้อความ:

Disable Smilies




Topic Summary
จากคุณ: 921684 โพสเมื่อวันที่: 12/31/17 เวลา 20:53:41
มาถึงวันนี้ เราถึงได้รู้ว่า ตัวเองเป็นคนชั้นกลาง ที่ตกรถไฟมาถึงสามรุ่นแล้ว
 
 
สวัสดีค่ะ จขกท จะขอแทนตัวเองว่าเรา นะคะ
เราก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่ได้เข้ามาอ่านและใช้งาน pantip นี่ คือมีความเป็นชนชั้นกลาง (middle class)
คงจะมีหลายคนสงสัยกับนิยามของชนชั้นกลาง และพยายามหาคำจำกัดความหรือตัวเลขต่างๆ มาตีกรอบ เพื่อจัดกลุ่มให้ชัดเจน
ซึ่งต่างคนก็ต่างมีคำตอบของตัวเอง
แต่สำหรับเรา ความเป็นชนชั้นกลาง มันไม่ได้มีตัวเลขตายตัว
เรามีอะไรหลายอย่างที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต แต่ก็ขาดอีกหลายๆ อย่าง ที่อาจไม่จำเป็น แต่อยากได้
คงจะไม่ผิดนัก ถ้าเราจะบอกว่า เราเป็นชนชั้นกลางค่ะ
 
 
เราโตมาในครอบครัวคนจีน ครอบครัวที่เน้นเรื่องความอุตสาหะเป็นหลัก
ครอบครัวที่เชื่อมั่นในการศึกษา
ถึงแม้ว่ารุ่นอากงจะเริ่มจากเสื่อผืนหมอนใบ แต่ท่านก็เพียรพยายามทำงานในหน้าที่ของตนในฐานะพนักงานบริษัท
จนส่งเสียคุณพ่อและพี่น้องได้เรียนโรงเรียนที่ดี และจบมหาวิทยาลัยที่ดีได้กันทุกคน
คือเป็นรากฐานสำคัญที่สุดที่ทำให้ความเป็นอยู่ของเราไม่ตกต่ำลงไปจากเดิม
ตอนนี้รุ่นของอากงได้ผ่านไป แม้ไม่มีกิจการอะไรให้ดูแล แต่ก็เหลือทรัพย์สินเล็กๆ น้อยๆ ให้ลูกหลานได้ไว้เก็บหอมรอมริบต่อบ้าง
อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ถึงเวลาของการเปลี่ยนชนชั้นไปอีกระดับได้
 
 
ในรุ่นที่สอง รุ่นของคุณพ่อเรา และลุงป้าน้าอา ก็ได้ค่านิยมเรื่องความอุตสาหะมาอย่างเหนียวแน่น
แม้ว่าทุกคนจะยังดำเนินแนวทางเดียวกับบรรพบุรุษ คือการทำงานประจำกินเงินเดือน และไม่ได้สร้างกิจการใดๆ (วิศวกร แพทย์ วิทยาศาสตร์)
ท่านก็ถือว่าประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน สามารถเลี้ยงดูลูกให้โตมาอย่างที่คุณภาพ มีการศึกษาที่ดีพอ เฉกเช่นเดียวกับรุ่นที่ผ่านมา
ให้รุ่นต่อสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ อย่างน้อยก็ไม่อดตาย
เช่นเดียวกัน นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาของการเปลี่ยนชนชั้นได้
 
 
มาถึงรุ่นเรา แม้เพียงจะพึ่งเริ่มต้นทำงานกันไม่นาน แต่ก็คงไม่มีอะไรที่แตกต่างจากรุ่นที่ผ่านมานัก
ทำงานประจำ ทำหน้าที่ของตนให้ดี ชีวิตมั่นคง
เป็นสูตรสำเร็จที่พิสูจน์แล้วว่า valid
และเราคิดว่าบ้านเรามีพอแล้ว ไม่มีปัญหาทางการเงิน
เพียงแต่ ... เมื่อถึงเวลานึง เมื่อเราโตขึ้น และโลกมันแคบลง
 
เราเห็นหลายๆ คนในเฟซบุ๊ค ไปต่างประเทศบ่อยมาก
เราเห็นหลายๆ คนขับรถยุโรปดีๆ สามสี่ล้าน ซึ่งราคามันเท่ากับตัวบ้านที่เราอยู่
เราเห็นหลายๆ คนได้อยู่อาศัยในที่ที่ exclusive หมู่บ้านดีๆ คอนโดหรูๆ
 
ทั้งหมดนั้นเราเคยเห็นมาแล้ว บนสุขุมวิทก็มีรถแพงๆ คอนโดแพงๆ เยอะแยะ และไม่เคยได้สนอะไร
แต่พอรู้ว่า คนที่เรียนคณะเดียวกันมา คนใกล้ตัวที่เห็นหน้าค่าตา ครอบครองสิ่งเหล่านี้อยู่ .. มันทำให้เรารู้สึก รู้สึกว่าเราไม่มี
.. และเราก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า เราจะทำอะไรให้ดีขึ้นได้บ้างกับตัวเรา
หากเราเลือกที่จะเดินแต่ทางเดิมๆ มันก็ไม่ต่างจากการย่ำไปบนดินโคลนที่มีรอยเท้าเดิมอยู่ ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างจากเดิม
สามเจเนอร์ชั่นได้พิสูจน์แล้วว่า การเป็นพนักงานประจำกินเงินเดือน แม้ไม่อดตาย ... แต่ไม่รวย
รุ่นแรก ขับรถญี่ปุ่น c-segment รุ่นที่สอง ก็ญี่ปุ่น c-segment และรุ่นเรา ก็ยังเป็นรถญี่ปุ่น seg เดิม และจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ้ามีลูกหลาน
เราเองเป็นหมอค่ะ และได้เคยเขียนไว้ในกระทู้ก่อนหน้าแล้ว ว่ารายได้เดือนนึง ก็ไม่ต่างจากพนังงานบริษัทดีๆ
อาจจะแย่กว่าอีกตรงที่ ไม่มีโบนัส
ยังไงก็คงไม่สามารถหารถยุโรปมาขับ หรือไป ตปท บ่อยๆ ได้
 
 
นี่จึงเป็นที่มาว่า เราต้องศึกษาเรื่องการลงทุน เพื่อเปลี่ยนชนชั้นของเรา
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถก้าวเป็น upper class ได้ ขอแค่เป็น upper middle ได้ก็ยังดี
ได้ขับรถสามสี่ล้าน โดยไม่เบียดเบียนเงินในส่วนอื่น เท่านี้เราก็พอใจแล้ว
 
 
ถ้าให้เปรียบเทียบ เราก็คงไม่ต่างจากคนที่ตกรถไฟมาเป็นรุ่นที่สาม ซึ่งมันไม่ควรเป็นแบบนั้น
มันน่าแปลกใจ เพราะถ้าเป็นเมืองนอก คนที่ทำสัมมาอาชีพ หรืองานที่อาศัยความเฉพาะทางสูง
ก็ควรจะสามารถมีทุกอย่างที่กล่าวมาได้แล้ว โดยไม่ต้องไปดิ้นรนลงทุนหรือเปลี่ยนไปเป็นเจ้าของกิจการแต่อย่างใด
ในขณะที่เมืองไทย ทำงานประจำอย่างเดียว มันไม่พอเสียแล้ว
 
 
อย่างไรก็ตาม เรื่องการลงทุนนี้เป็นเรื่องยากค่ะ
หลายคนแม้มีความตั้งใจ ก็กลับล้มเหลว ขาดทุนย่อยยับ
อย่างที่บ้านเราไม่สนับสนุนหรือปลูกฝังสิ่งอื่นเลยนอกจากการทำงานประจำ เพราะเคยมีช่วงหนึ่งที่ผ่านการลองผิดลองถูก จนผิดพลาดหนักและเงินจมมาก่อน
ดังนั้นเราจะไม่ชอบมากๆ เวลาเจอคนที่ลงทุนสำเร็จแล้วออกมาบอกคนอื่นว่าทำไมไม่ลงทุน ทำไมไม่ออกมาจากงานประจำ
พูดเหมือนว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้
อย่าไปพูดแบบนี้เลยค่ะ
จากคุณ: Tennoji โพสเมื่อวันที่: 12/31/17 เวลา 21:09:39
พอได้เป็น upper middle class ก็คงอยากจะเป๋น upper อะไรขึ้นไปอีกป่าวฮะ
จากคุณ: :: King of BANPU :: โพสเมื่อวันที่: 12/31/17 เวลา 22:06:56

รถไฟบ้านปู ปู้นๆ  Grin
 
จากคุณ: ๏ SaGaCious MidFielDer ๏ โพสเมื่อวันที่: 12/31/17 เวลา 23:52:59
แล้วแต่มุมมองของชีวิต
สุดท้ายแล้วคนที่ไม่รู้จักพอนั่นแหละครับ คือ คนจน
จากคุณ: dysthymia โพสเมื่อวันที่: 01/01/18 เวลา 07:37:19
ทำไมอยากได้ล่ะ
 
อยู่สูงก็มีสูงกว่า อยู่ต่ำก็ยังมีต่ำกว่า
 
ความอยากได้อยากมีอยากเป็น ทำให้รู้สึกขาด
 
แต่เรื่องความสำเร็จ คนที่พยายามมากกว่า คนทีเก่งกว่า หรือคนที่มีต้นทุนมากกว่า ก็มีโอกาสมากกว่าคนที่ไม่มีอะไร
จากคุณ: 6699 โพสเมื่อวันที่: 01/01/18 เวลา 08:09:22
ขอแลกเปลี่ยนความคิดกับเจ้าของกระทู้ ผิดถูกอย่าได้ว่ากัน
การเป็นหมอ รางวัลที่ได้คือการอยู่รอด แต่ไม่ใช่ความร่ำรวย  
 
คนเราเสพติดแหล่งที่ได้มาของรายได้ หมายความว่า เคยได้เงินทางไหน ก็เสพติดรายได้ทางนั้น คนเป็นหมอ เสพติดรายได้จากเงินเดือน และเงินประจำตำแหน่ง และเงินค่าเวรทั้งเอกชนและราชการ การจะให้เปลี่ยน ยากมากเหมือนกับเปลี่ยนให้คนกินอาหารด้วยมือซ้าย และใช้ตะเกียบอีกด้วย
 
การลงทุน เป็นเรื่องที่ไม่มีสอนในโรงเรียนแพทย์ เราเคยพูดเรื่องนี้ให้นักเรียนแพทย์ฟัง ปรากฏว่า เราถูกมองในทางเป็นลบ เราเลยตั้งกฏว่า สามเรื่องที่เราจะไม่พูดกับคนอื่น คือ เรื่อง เงิน เรื่อง การเมือง และเรืองศาสนา เราเริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็น พบ. และเงินสดอีกสองหมื่นบาท แต่ตอนจบชีวิตของการเป็นแพทย์ เราจบด้วยทรัพย์สิน 150-200 ล้าน ที่ตัวเลขมันแกว่ง เพราะเป็นราคาที่ดิน และอพาร์ตเมนต์ที่เราให้คนอื่นเช่า  
 
เราไม่เคยลงทุนเรื่องหุ้นแม้แต่หุ้นเดียว เพราะเรามองว่า เราทำได้ดีเรื่องอื่น ประสบการณ์ เรื่องหุ้นของเรามีนิดหน่อยตอนที่เราทำเงินได้สี่ล้านบาท เราฝากเงินกับธนาคารไทยพานิชย์ ผู้จัดการบอกให้เราเอาเงินไปซื้อหุ้นไทยพานิชย์ ตอนนั้น เรายังเด็กน้อยมาก เชื่อใจผู้จัดการ จำได้เลยว่า หุ้นพาร์ร้อยบาท ขายกันที่ประมาณสี่ร้อยบาท ซื้อไปสี่ล้าน เพราะคิดว่า เป็นเงินฝากอย่างหนึ่ง  เป็นการซื้อเพราะความหลงผิดเชื่อใจผู้จัดการ แต่เราอาศัยดวง หุ้นไทยพานิชย์ แตกพาร์เป็นพาร์สิบบาท และวิ่งไปที่ 160 บาท ตอนนั้น เราสาปส่งเรื่องหุ้นเลย ขายทิ้งหมด ได้เงินมาประมาณ 16 ล้าน เรามองว่า เราซื้อหุ้นแบบคนโดนหลอกให้ซื้อ แต่ได้เงิน ตลาดหุ้น ไม่น่าจะเข้าไปยุ่งด้วยเลย ไม่ใช่เรื่องของเหตุผลที่เราสามารถทำเงินได้
 
เราได้ยินผู้จัดการธนาคารคนเดิม บอกเราว่า ดอกเบี้ยธนาคารจะลดให้เหลือ 1% ตอนนั้นดอกเบี้ยธนาคารเขาให้ประมาณ ร้อยละ 12-13 ผู้จัดการธนาคาร บอกให้เราซื้อหุ้น อีก แต่เราเข็ดแล้ว เรามองว่า เงินในระบบ จะอยู่สามแห่ง คือ ในหุ้น และ ที่ดิน และในธนาคาร หรือสถาบันการเงิน แต่เมื่อธนาคารหรือสถาบันการเงินให้ดอกเบี้ยร้อยละ 1 เงินจะต้องไปที่หุ้นหรือที่ดิน เราไปเที่ยวญี่ปุ่น ดอกเบี้ย เราให้ขนาดนั้นจริงๆ เพราะฟองสบู่เรื่องที่ดินแตก เราเลยเชื่อว่า เป็นเรื่องจริง บอกผู้จัดการให้หาที่ดินให้เรา ไร่ละ ห้าพันบาท จำนวน 4000 ไร่ ตอนนั้นที่ดิน ไม่มีราคา เพราะรัฐบาล แจกให้ประชาชนฟรีๆ เราจ่ายไป 20 ล้าน แต่จริงๆ เราไม่ได้จ่ายเงิน เพราะผู้จัดการ ให้เครดิตเราหกเดือน ไม่ต้องจ่ายเงินต้น เราขายออกไป ไร่ละ 1-3 หมื่นบาทในเวลา 6-12 เดือน เราไม่ต้องใช้เงินของเราเลย และได้ที่ดินมาเก็บเอาไว้ดูเล่น  2000 ไร่ ตอนนี้ เราเอาที่ดินส่วนนี้ ให้บริษัทโรงงานทำน้ำตาลเขาเช่า ไร่ละ 1500 บาท แต่เราเอาพันเดียว ที่เหลือ 500 บาท เราจ่ายเป็นค่าบริการ เพื่อเราจะไม่ต้องบริหารเอง ตราบใดที่โลกยังกินน้ำตาล เราก็จะได้เงินปีละประมาณสองล้านบาททุกปี  
 
เราไปเรียนที่กทม เราพักคอนโดของคนรู้จักกัน  เรามองเห็นเขาขายคอนโด ห้องละ 500000-700000 บาท เมื่อเราว่าง เราจะไปเยี่ยมเพื่อนที่อยู่คอนโด แต่จริงๆแล้ว  เราต้องการคุยกับคนเฝ้าคอนโดว่า มีห้องว่างขายหรือเปล่า ถ้ามีให้บอกเรา เรายินดีจ่ายค่าบริการถ้าซื้อได้ ทุกอาทิตย์ เราไปกับอาจารย์ทีสอนเรา ให้ไปประมูลคอนโดที่กรมบังคับคดี  เพราะเราไม่ได้เอารถยนต์ไปด้วย  ตอนเรียนจบมา เราได้คอนโดมาเป็นทีระลึก สิบห้อง เคยคุยกับเพื่อนแพทย์ด้วยกัน เขาบอกว่า เขาเพิ่งซื้อคอนโดไป ห้องละห้าล้านบาท ถูกมาก เราไม่อยากจะให้เขาเสียใจ เพราะว่า เราซื้อไปห้องละ เจ็ดแสนบาท  
 
การเป็นหมอ ก็ลงทุนได้ การเป็นหมอ เหมือนกับมีสิทธิ์ ได้เต๋าถ่วงแม่เหล็กที่ถูกต้องตามกฏหมาย เพียงแต่ต้องเอาเต๋านั้น ไปเล่นไฮโล เก็บเอาไว้ไม่มีประโยชน์  
 
เขียนมายาว ขอโทษด้วย แต่เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดกับเจ้าของกระทู้  เราเกือบจะได้ซื้อที่ตึกหน้าคิงพาวเวอร์ ตรงซอยรางน้ำ สองห้อง เขาขาย 15 ล้านบาท แต่เรากังวลตรงที่ว่า ตึกนี้ เป็นที่ดินของหลวง ทำนองของกรมธนาลักษณ์ เราไม่เข้าใจระเบียบเรื่องนี้ เราชอบโฉนดมากกว่า เราเลยตัดใจปล่อยออกไป เพราะเสียดาย ดีกว่าเสียใจ  
 
 
 
จากคุณ: positive โพสเมื่อวันที่: 01/01/18 เวลา 10:19:20
โลกเปลี่ยนไปแล้ว การไม่ลงทุนคือความเสี่ยง  
 
การลงทุน คือ ทักษะพื้นฐานอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิต
 
 
 Grin Grin Grin
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 01/01/18 เวลา 11:51:57
  เสี่ยง(ลงทุน/ผู้ประกอบการ)เมื่อจำเป็นหรือไม่มีทางให้เลือกมากนัก   วิถีชีวิตคุณไม่มีความจำเป็น ครับ  นี่ข้อแรก  ข้อสอง ตระกูลคุณนั่งกินเงินเดือนมานานเกินกว่าจะเป็นนักลงทุน หรือ ผู้ประกอบการ....
จากคุณ: know555 โพสเมื่อวันที่: 01/01/18 เวลา 16:15:31
Huh
จากคุณ: Winter is coming โพสเมื่อวันที่: 01/01/18 เวลา 17:44:14
คุณ 6699 เก่งมากเลยครับ
 
ป.ล. บางทีก็คิดเหมือนกันว่าหมอเราคุยกันเรื่องเงินๆทองๆ นี่มันน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอครับ เงินที่ได้มาก็ทำโดยสุจริต ถูกกฎหมาย ไม่ได้ไปโกงใคร ทำไมจะต้องอายด้วยเวลาคุยเรื่องเงิน
จากคุณ: <<GOOD LIFE<< โพสเมื่อวันที่: 01/02/18 เวลา 22:19:03
#ฝึกพละ 5 ครับ เพื่อฝึกให้จิตมีพลัง
 
เริ่มด้วย สติ สมาธิ ปัญญา เพื่อกำกับให้มีศรัทธาและวิริยะ ในทางที่ถูกที่ควร
 (เพราะหากศรัทธาในทางที่ผิด แย่เลย)
 
#ตามด้วยอิทธิฤทธิ์ 4 (อิทธิบาท) ด้วยปัญญา ทำให้มองเห็นฉันทะ (มีเป้าหมาย มีความปรารถนา รู้ว่าเรารักเราชอบอะไร สิ่งไหนที่ทำให้เรามีความสุขมีความสงบ มีแต่เราเท่านั้นที่รู้)
 
ศรัทธา-เชื่อมั่นอย่างไม่สั่นคลอนในเป้าหมายนั้น
 
วิริยะและจิตตะ-จะตามมาอย่างเป็นไปเอง ทำโดยลืมวันลืมคืน สนุกและมี ความสุขมากพอ แทบจะไม่สนอย่างอื่นแล้ว
 
วิมังสา-ตรวจสอบ ทบทวน ปรับปรุงแก้ไข
 
ความสำเร็จก็จะตามมาจากการได้ทำในสิ่งที่มีความสุข  
 
สำทับด้วย มุทิตา ยินดีในความสำเร็จของคนอื่น คนที่เขาสำเร็จ เพราะเขาได้ค้นพบตัวเองและได้ทำในสิ่งที่เขามีความสุข (ถ้าเราเจอทางของเรา เราก็สำเร็จได้เช่นกัน)
 
และต้องเข้าใจทุกอย่างด้วยไตรลักษณ์ ทุกอย่างล้วนของชั่วคราว ทุกอย่างไม่ใช่ #เรา ไม่ใช่ #ของเรา แต่เป็น #ของโลก สุดท้ายต้องคืนให้โลก
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 01/03/18 เวลา 11:40:13
     คุณไม่ได้(รวย)ช้าเป็นเต่าหรอก   อ้ายการที่คุณไม่รวยทะลุฟ้าเพราะวิถีชีวิตคุณไม่จำเป็นต้องเสี่ยง ครับ   คุณควรเลือกที่จะไม่เสี่ยงเกินกว่าความจำเป็น....
จากคุณ: zinc โพสเมื่อวันที่: 01/04/18 เวลา 10:02:58
มหาเศรษฐีมีหลายแบบ ไอ้ที่รวยเพราะกู้เขามา(พวกออกหุ้นขายก็จัดอยู่ในพวกนี้) ถ้าพวกออกแนวดาราก็จะอวดรวยเพราะอาจเป็นภาพลักษณ์ทางธุรกิจ แต่ก็มีคนที่อวดรวยเพราะกิเลสมันมีเยอะเพราะเป็นสังคมวัตถุนิยมวัดกันที่วัต ถุ
 เศรษฐีที่รวยมากๆอันดับต้นๆก็ไม่มีใครทำตัวให้รู้ว่ารวยเพราะมันอันตราย
หลายคนอยู่บ้านที่เคยอยู่มาตลอดชีวิต ใช้รถคันเดิมๆราคาไม่กี่ตังค์
บางคนบอกว่าการมีรถมันเปลือง เลยใช้แต่รถแท๊กซี่หรือรถเมล์ รถไฟ หลายคนยกสมบัติมหาศาลให้การกุศล
 คิดซะว่าเราไม่มีหนี้ไม่ได้ขอใครกิน มีบ้านมีที่มีรถมีเพื่อนมีญาติพี่น้องที่รักกัน เหล่านี้เป็นลาภอันประเสริฐ ถ้ารวยมากๆแล้วลูกหลานต้องมาฆ่ากันแย่งสมบัติ เราคงนอนตายตาไม่หลับ จริงไหมขอรับ
จากคุณ: Head_transplant โพสเมื่อวันที่: 01/04/18 เวลา 12:48:47
on 12/31/17 เวลา 20:53:41, 921684 wrote:
มาถึงวันนี้ เราถึงได้รู้ว่า ตัวเองเป็นคนชั้นกลาง ที่ตกรถไฟมาถึงสามรุ่นแล้ว
 
 
สวัสดีค่ะ จขกท จะขอแทนตัวเองว่าเรา นะคะ
เราก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่ได้เข้ามาอ่านและใช้งาน pantip นี่ คือมีความเป็นชนชั้นกลาง (middle class)
คงจะมีหลายคนสงสัยกับนิยามของชนชั้นกลาง และพยายามหาคำจำกัดความหรือตัวเลขต่างๆ มาตีกรอบ เพื่อจัดกลุ่มให้ชัดเจน
ซึ่งต่างคนก็ต่างมีคำตอบของตัวเอง
แต่สำหรับเรา ความเป็นชนชั้นกลาง มันไม่ได้มีตัวเลขตายตัว
เรามีอะไรหลายอย่างที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต แต่ก็ขาดอีกหลายๆ อย่าง ที่อาจไม่จำเป็น แต่อยากได้
คงจะไม่ผิดนัก ถ้าเราจะบอกว่า เราเป็นชนชั้นกลางค่ะ
 
 
เราโตมาในครอบครัวคนจีน ครอบครัวที่เน้นเรื่องความอุตสาหะเป็นหลัก
ครอบครัวที่เชื่อมั่นในการศึกษา
ถึงแม้ว่ารุ่นอากงจะเริ่มจากเสื่อผืนหมอนใบ แต่ท่านก็เพียรพยายามทำงานในหน้าที่ของตนในฐานะพนักงานบริษัท
จนส่งเสียคุณพ่อและพี่น้องได้เรียนโรงเรียนที่ดี และจบมหาวิทยาลัยที่ดีได้กันทุกคน
คือเป็นรากฐานสำคัญที่สุดที่ทำให้ความเป็นอยู่ของเราไม่ตกต่ำลงไปจากเดิม
ตอนนี้รุ่นของอากงได้ผ่านไป แม้ไม่มีกิจการอะไรให้ดูแล แต่ก็เหลือทรัพย์สินเล็กๆ น้อยๆ ให้ลูกหลานได้ไว้เก็บหอมรอมริบต่อบ้าง
อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ถึงเวลาของการเปลี่ยนชนชั้นไปอีกระดับได้
 
 
ในรุ่นที่สอง รุ่นของคุณพ่อเรา และลุงป้าน้าอา ก็ได้ค่านิยมเรื่องความอุตสาหะมาอย่างเหนียวแน่น
แม้ว่าทุกคนจะยังดำเนินแนวทางเดียวกับบรรพบุรุษ คือการทำงานประจำกินเงินเดือน และไม่ได้สร้างกิจการใดๆ (วิศวกร แพทย์ วิทยาศาสตร์)
ท่านก็ถือว่าประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน สามารถเลี้ยงดูลูกให้โตมาอย่างที่คุณภาพ มีการศึกษาที่ดีพอ เฉกเช่นเดียวกับรุ่นที่ผ่านมา
ให้รุ่นต่อสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ อย่างน้อยก็ไม่อดตาย
เช่นเดียวกัน นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาของการเปลี่ยนชนชั้นได้
 
 
มาถึงรุ่นเรา แม้เพียงจะพึ่งเริ่มต้นทำงานกันไม่นาน แต่ก็คงไม่มีอะไรที่แตกต่างจากรุ่นที่ผ่านมานัก
ทำงานประจำ ทำหน้าที่ของตนให้ดี ชีวิตมั่นคง
เป็นสูตรสำเร็จที่พิสูจน์แล้วว่า valid
และเราคิดว่าบ้านเรามีพอแล้ว ไม่มีปัญหาทางการเงิน
เพียงแต่ ... เมื่อถึงเวลานึง เมื่อเราโตขึ้น และโลกมันแคบลง
 
เราเห็นหลายๆ คนในเฟซบุ๊ค ไปต่างประเทศบ่อยมาก
เราเห็นหลายๆ คนขับรถยุโรปดีๆ สามสี่ล้าน ซึ่งราคามันเท่ากับตัวบ้านที่เราอยู่
เราเห็นหลายๆ คนได้อยู่อาศัยในที่ที่ exclusive หมู่บ้านดีๆ คอนโดหรูๆ
 
ทั้งหมดนั้นเราเคยเห็นมาแล้ว บนสุขุมวิทก็มีรถแพงๆ คอนโดแพงๆ เยอะแยะ และไม่เคยได้สนอะไร
แต่พอรู้ว่า คนที่เรียนคณะเดียวกันมา คนใกล้ตัวที่เห็นหน้าค่าตา ครอบครองสิ่งเหล่านี้อยู่ .. มันทำให้เรารู้สึก รู้สึกว่าเราไม่มี
.. และเราก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า เราจะทำอะไรให้ดีขึ้นได้บ้างกับตัวเรา
หากเราเลือกที่จะเดินแต่ทางเดิมๆ มันก็ไม่ต่างจากการย่ำไปบนดินโคลนที่มีรอยเท้าเดิมอยู่ ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างจากเดิม
สามเจเนอร์ชั่นได้พิสูจน์แล้วว่า การเป็นพนักงานประจำกินเงินเดือน แม้ไม่อดตาย ... แต่ไม่รวย
รุ่นแรก ขับรถญี่ปุ่น c-segment รุ่นที่สอง ก็ญี่ปุ่น c-segment และรุ่นเรา ก็ยังเป็นรถญี่ปุ่น seg เดิม และจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ้ามีลูกหลาน
เราเองเป็นหมอค่ะ และได้เคยเขียนไว้ในกระทู้ก่อนหน้าแล้ว ว่ารายได้เดือนนึง ก็ไม่ต่างจากพนังงานบริษัทดีๆ
อาจจะแย่กว่าอีกตรงที่ ไม่มีโบนัส
ยังไงก็คงไม่สามารถหารถยุโรปมาขับ หรือไป ตปท บ่อยๆ ได้
 
 
นี่จึงเป็นที่มาว่า เราต้องศึกษาเรื่องการลงทุน เพื่อเปลี่ยนชนชั้นของเรา
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถก้าวเป็น upper class ได้ ขอแค่เป็น upper middle ได้ก็ยังดี
ได้ขับรถสามสี่ล้าน โดยไม่เบียดเบียนเงินในส่วนอื่น เท่านี้เราก็พอใจแล้ว
 
 
ถ้าให้เปรียบเทียบ เราก็คงไม่ต่างจากคนที่ตกรถไฟมาเป็นรุ่นที่สาม ซึ่งมันไม่ควรเป็นแบบนั้น
มันน่าแปลกใจ เพราะถ้าเป็นเมืองนอก คนที่ทำสัมมาอาชีพ หรืองานที่อาศัยความเฉพาะทางสูง
ก็ควรจะสามารถมีทุกอย่างที่กล่าวมาได้แล้ว โดยไม่ต้องไปดิ้นรนลงทุนหรือเปลี่ยนไปเป็นเจ้าของกิจการแต่อย่างใด
ในขณะที่เมืองไทย ทำงานประจำอย่างเดียว มันไม่พอเสียแล้ว
 
 
อย่างไรก็ตาม เรื่องการลงทุนนี้เป็นเรื่องยากค่ะ
หลายคนแม้มีความตั้งใจ ก็กลับล้มเหลว ขาดทุนย่อยยับ
อย่างที่บ้านเราไม่สนับสนุนหรือปลูกฝังสิ่งอื่นเลยนอกจากการทำงานประจำ เพราะเคยมีช่วงหนึ่งที่ผ่านการลองผิดลองถูก จนผิดพลาดหนักและเงินจมมาก่อน
ดังนั้นเราจะไม่ชอบมากๆ เวลาเจอคนที่ลงทุนสำเร็จแล้วออกมาบอกคนอื่นว่าทำไมไม่ลงทุน ทำไมไม่ออกมาจากงานประจำ
พูดเหมือนว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้
อย่าไปพูดแบบนี้เลยค่ะ

 
ลูกคุณโตขึ้นจะเป็นชนชั้นล่างครับ
 
พอถึงเวลาที่เค้าทำงาน ตอนนั้นจะไม่มีชนชั้นกลางอีกแล้วครับ มีแต่คนรวยกับคนจน
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 01/05/18 เวลา 16:54:47
      รวยดีมั้ย ? -  " รวยตายดีฝ่าจนตาย  คุณจะเสี่ยงรวยไปทำไมในเมื่อไม่ได้ยากจน หรือ จนแต้ม "
จากคุณ: Tennoji โพสเมื่อวันที่: 01/05/18 เวลา 21:22:39
หยามพูดได้ดีครับ
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 01/06/18 เวลา 13:39:41
    คติพจน์คนจน - ไม่เสี่ยงก็ไม่รวย  รวยตายดีกว่าจนตาย  ในเมื่อวิถีชีวิตคุณไม่ได้ยากจนก็ต้องคิดอีกแบบคือ ไม่เสี่ยงก็ไม่จน และ ไม่เสี่ยงเกินจำเป็น ครับ....
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 01/08/18 เวลา 11:39:59
     คนจนๆเขาหาเงินกันยังไง (ถึงรวย)?  -  คนจนเขาก็รอ"คุณ"เสี่ยงล่ะครับ    กระตุ้น-ล่อให้"คุณ"เสี่ยง   คำว่า" คุณ"หมายถึงคนมีตังค์ที่เสี่ยงโดยไม่จำเป็น หรือ เสี่ยงเกินความจำเป็น...
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 01/09/18 เวลา 19:25:24
    ทำไงถึงจะรวยๆ ? - " จาก๓รุ่นที่ผ่านมาทำให้คุณคิดไม่ออกหรอกครับ   วันหน้าถ้าคุณจู่ๆดวงตกอาจทำให้คุณคิดออก "
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 01/10/18 เวลา 14:52:17
    เกาะเงินเดือนกินมา๓รุ่นจู่ๆคิด(เสี่ยง)ค้าขาย-ลงทุน  ก็เหมือนเป็ดสลัดขนกลายร่างเป็นหงส์   หาเรื่องผูกคอตาย ครับ
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 01/11/18 เวลา 16:16:06
    เกาะเงินเดือนกิน๓รุ่น  จู่ๆความคิดอยากเสี่ยงก็ซัดเปรี้ยงขึ้นมา  ทำไงดี? - " อย่าหวั่นไหว ครับ"
จากคุณ: หมอเมืองสยาม โพสเมื่อวันที่: 01/16/18 เวลา 12:17:37
  ตระกูล(๓รุ่น)เกาะเงินเดือนกิน จึงเหมือนไข่ในกองหินครับ   อย่าทำอะไรหักมุม   อย่าเสี่ยงเกินจำเป็น...
จากคุณ: Sedazzz โพสเมื่อวันที่: 01/19/18 เวลา 13:58:46
แชร์ความเห็นส่วนตัวนะครับ
"อาชีพแพทย์ไม่ได้ทำให้รวย แต่ทำให้สบาย"
 
ผมก็เป็นรุ่นที่ 3 เช่นเดียวกัน ไม่ได้ร่ำรวยฟู่ฟ่า
ผมมีน้อง 2 คน เราทั้ง 3 คนได้เงินเดือนใกล้เคียงกัน แต่
  - น้องคนเล็กไม่ใช่หมอต้องทำงาน 7.30-16.30 (ยังดีที่งานไม่หนัก ไม่ต้องทำ OT)
  - น้องคนกลางเป็นหมอรพ.รัฐ งานหนัก 50% ของน้องคนเล็ก
  - ผมเป็นหมอรพ.รัฐ งานหนัก 25% ของน้องคนเล็ก
 
ถ้าไม่มีภาระ ไม่มีลูกหลาน ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย --> อาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่วิเศษมาก ทำขำๆ


  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by