แจ้งลบกระทู้ แจ้งเมื่อมีคนตอบกระทู้นี้ แนะนำกระทู้นี้ Print

 หัวข้อ 39155: การกลายพันธุ์บนโปรตีนหนามไม่กระทบฤทธิ์ยา Opaganib  (จำนวนคนอ่าน 206 ครั้ง)
« เมื่อ: 12/09/21 เวลา 14:12:33 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

RedHill Biopharma พบการกลายพันธุ์บนโปรตีนหนามไม่กระทบฤทธิ์ยา Opaganib รวมถึงสายพันธุ์โอมิครอน
 
กระบวนการทำงานเฉพาะตัว
 
Opaganib ทำงานโดยกำหนดเป้าหมายเซลล์โฮสต์ของมนุษย์แทนไวรัส และคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการกลายพันธุ์ของโปรตีนส่วนหนาม มอบความเป็นไปได้ที่แข็งแกร่งในการจัดการกับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอน รวมถึงสายพันธุ์น่ากังวลอื่น ๆ
 
ข้อมูลล่าสุดด้านการกำกับดูแล
 
ข้อมูลการทดสอบยา Opaganib ในระดับโลกระยะที่ 2/3 ได้ถูกส่งไปยังองค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) โดยคาดว่าจะมีการตอบกลับเบื้องต้นภายในสิ้นปีนี้ และถูกส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) โดยคาดว่าจะมีการตอบกลับเบื้องต้นในเดือนมกราคม 2565 รวมถึงสำนักงานกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (MHRA) ของสหราชอาณาจักร ขณะที่เตรียมส่งข้อมูลไปยังอีกหลายประเทศ
 
บริษัทได้ยื่นคำขอซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาจำนวนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาและต ่างประเทศกับหน่วยงานรัฐบาลและหน่วยงานนอกภาครัฐ
 
Opaganib ออกแบบมาสำหรับกลุ่มผู้ป่วยอาการลุกลามที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแต่ได้ รับการดูแลไม่เพียงพอ การรักษาด้วย Opaganib เริ่มต้นด้วยค่ามัธยฐาน 11 วันนับจากวันที่เริ่มมีอาการในการศึกษาระดับโลกระยะที่ 2/3 เทียบกับช่วงระยะเวลาจำกัด 3-5 วันที่เริ่มมีอาการในการทดสอบยาของ Pfizer และ Merck
 
RHB-107 ยารักษาโรคโควิด-19 ชนิดรับประทานอีกชนิดของ RedHill คาดว่าจะมีการรายงานข้อมูลเบื้องต้นในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 จากส่วน A ของการศึกษาระยะที่ 2/3 ในผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกาและแอฟริกาใต้ และคาดว่า RHB-107 จะไม่ได้รับผลกระทบจากการกลายพันธุ์ของโปรตีนส่วนหนามด้วยเช่นกัน
 
RedHill Biopharma Ltd.  (Nasdaq: RDHL) ("RedHill" หรือ "บริษัท") บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์เฉพาะทาง ประกาศว่า เนื่องจาก opaganib[1] มีกลไกการทำงานซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการกลายพันธุ์ของโปรตีนส่วนหนาม จึงคาดว่า opaganib จะไม่ได้รับผลกระทบจากการกลายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอม ิครอน และสายพันธุ์ที่น่ากังวลชนิดอื่น ๆ ที่มีการค้นพบแล้วก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการยื่นรับรองตามกฎระเบียบสำหรับยา opaganib อีกด้วย
 
การรักษาในโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นในแอฟริกาใต้เนื่องจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์โ อมิครอน แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับยาที่มุ่งเป้าไปที่ผู้ป่วยโควิด-19 ระดับรุนแรงปานกลางที่มีอาการปอดบวมและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หากยา opaganib ผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล จะทำให้การมุ่งเน้นไปที่ผู้ป่วยกลุ่มใหญ่นี้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้ป่วยที่ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงและมีอาการป่วยมากกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มเป้าหมายของยาสำหรับให้ทางปากจาก Pfizer และ Merck ซึ่งแสดงให้เห็นประโยชน์เฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในระยะแรก ๆ ของการติดเชื้อที่แสดงอาการ
 
Opaganib ทำหน้าที่เป็นอิสระจากการกลายพันธุ์ของโปรตีนส่วนหนามของไวรัส บริษัทเชื่อว่ากลไกการทำงานที่ถูกเสนอในลักษณะเฉพาะนี้ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่โปรตีนในเซลล์ของมนุษย์ที่ไวรัสใช้เพิ่มจำนวน แทนที่จะมุ่งเป้าไปที่ตัวไวรัสนั้น มีศักยภาพที่มีนัยสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์ที ่น่ากังวลอื่น ๆ ทั้งที่มีเดิมอยู่และเกิดขึ้นใหม่ซึ่งมีการกลายพันธุ์ของโปรตีนส่วนหนาม ข้อมูลทางคลินิกและที่ไม่ใช่ทางคลินิกจำนวนมากสนับสนุนเหตุผลในการเร่งพัฒนา โครงการยานี้ ซึ่งรวมถึงข้อมูลทางคลินิกจากการศึกษาระยะที่ 2 และระยะที่ 2/3 ประสบการณ์การนำยามาใช้ในผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้าร่วมการวิจัยแบบ compassionate use และความแข็งแกร่งในการยับยั้งเชื้อสายพันธุ์ที่น่ากังวลต่าง ๆ รวมถึงสายพันธุ์เดลตา
 
"สายพันธุ์โอมิครอนเป็นอีกหนึ่งเครื่องเตือนใจว่า โควิด-19 เป็นไวรัสประจำถิ่นไปแล้ว และมันจะไม่หายไป วิวัฒนาการของไวรัสนี้จะดำเนินต่อไปตราบเท่าที่มันแพร่กระจาย เราจะต้องปรับแต่งวัคซีนและโมโนโคลนอลแอนติบอดีของเราต่อไป เพื่อต่อสู้กับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้น ที่สำคัญที่สุด สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบำบัดด้วยยาต้านไวรัสที่ปลอดภัยและมีประสิ ทธิภาพ ซึ่งทำงานต่อไปได้ไม่ว่าสายพันธุ์ใดจะปรากฏขึ้นก็ตาม การให้ความสำคัญ เวลา และทรัพยากรเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาวิธีการต้านไวรัสที่สามารถใช้กับผู้ป่ว ยที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยไม่ต้องคำนึงถึงสายพันธุ์และการกลายพันธุ์ของเชื้อ" นายแพทย์ Kevin Winthrop, MPH, ศาสตราจารย์ด้านโรคติดต่อแห่ง Oregon Health & Science University กล่าว "ข้อมูลหลังการศึกษายา opaganib ระยะที่ 2/3 ในผู้ป่วยโควิด-19 ในระดับปานกลางและรุนแรงมีความน่าสนใจ และชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ opaganib อาจพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิผลในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน โดยในกลุ่มย่อยซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ถูกจัดให้มีอาการระดับรุนแรงปานกลางเมื่อพ ิจารณาจากระดับการเสริมออกซิเจนพื้นฐานนั้น มีอัตราการเสียชีวิตลดลง 62% ในกลุ่มที่ใช้ opaganib (อัตราการเสียชีวิต 16% ในกลุ่มยาหลอก เทียบกับ 6% ในกลุ่ม opaganib) ผลการวิจัยชี้ให้เห็นประโยชน์ที่ผู้ป่วยกลุ่มย่อยจะได้จากเทคนิคการรักษานี้  และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการศึกษาเพิ่มเติมในการพัฒนาวิธีการรักษาด้วยยานี ้"
 
ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการยื่นรับรองตามกฎข้อบังคับและการพัฒนา
 
ผลลัพธ์ทางคลินิกที่น่าพึงพอใจในปัจจุบันสำหรับกลุ่มผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ม ีอาการรุนแรงปานกลางในการวิเคราะห์ประชากรกลุ่มย่อยขนาดใหญ่ของการศึกษาระยะ ที่ 2/3 ในระดับโลก ทำให้ RedHill เดินหน้าโครงการพัฒนายา opaganib อย่างจริงจัง
 
ส่งข้อมูลไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) และสำนักงานกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (MHRA) ของสหราชอาณาจักร เพื่อขอคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการยื่นขอรับรองยา opaganib โดย EMA ได้ส่งสัญญาณเร่งการพิจารณา ซึ่งเราคาดว่าจะได้รับคำแนะนำจากทางหน่วยงานภายในสิ้นปีนี้ และคาดว่าจะได้การตอบรับเบื้องต้นจาก FDA ในเดือนมกราคม 2565
ดำเนินการยื่นเรื่องในประเทศอื่น ๆ เช่น แอฟริกาใต้ รัสเซีย อิสราเอล สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย บราซิล และโคลอมเบีย
เดินหน้าหารือและเตรียมการเพื่อศึกษายืนยันประสิทธิภาพยา opaganib ในกลุ่มผู้ป่วยเป้าหมายที่รักษาตัวในโรงพยาบาลที่มีอาการรุนแรงปานกลาง ร่วมมือกับ FDA รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลและหน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ ในการเร่งพัฒนาการรักษาที่มีความจำเป็นอย่างมากเช่น opaganib และ RHB -107 เพื่อต่อสู้กับเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์เกิดใหม่
การยื่นขอใบรับรองกับหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานนอกภาครัฐ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาจำนวนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ
"ทั้ง opaganib และ RHB-107 มีกลไกการทำงานอันโดดเด่นที่มุ่งเป้าไปที่เซลล์ของมนุษย์ ทำหน้าที่เป็นอิสระจากการกลายพันธุ์ของโปรตีนส่วนหนาม เมื่อพิจารณาถึงความเร่งด่วนจากสถานการณ์เชื้อสายพันธุ์โอมิครอนและความเป็น ไปได้ที่อาจมีเชื้อสายพันธุ์อื่นเกิดขึ้นแล้วนั้น RedHill จึงดำเนินการพัฒนายารักษาโควิด-19 ทั้งสองซึ่งมีแนวโน้มในการใช้รักษาได้จริงอย่างรวดเร็วและแข็งขันที่สุด เรามีข้อมูลด้านความปลอดภัยจำนวนมาก และในกรณีของ opaganib เราได้ชี้ให้เห็นประโยชน์ทางคลินิกที่เห็นได้ชัดในการลดอัตราการเสียชีวิต และเพิ่มโอกาสในการที่ผู้ป่วยสามารถกลับมาหายใจได้เองเป็นปกติ และออกจากโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น" Gilead Raday หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ RedHill กล่าว "สิ่งสำคัญคือ opaganib ได้มอบประโยชน์แก่ผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่มีอาการรุนแรงปานกลาง โดยเริ่มการรักษาโดยมีค่ามัธยฐาน 11 วันนับจากเริ่มมีอาการในการศึกษาทั่วโลกระยะที่ 2/3 สิ่งนี้ทำให้ opaganib แตกต่างออกไป ในฐานะยาที่มีศักยภาพสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ระยะลุกลามที่มีความเสี่ยงเสียชีวิตสูง และเกินกว่าค่ามัธยฐาน 3-5 วันที่ศึกษากันในยาต้านไวรัสของ Pfizer และ Merck ไปมาก"
 
Opaganib และกลไกการทำงานเฉพาะตัว
 
Opaganib เป็นตัวยับยั้ง sphingosine kinase-2 (SK2) ซึ่งเป็นแนวทางที่มีความเป็นไปได้ในการรักษาและมีความแตกต่าง โดยพุ่งเป้าไปที่เซลล์โฮสต์ SK2 ของมนุษย์แทนไวรัส โดยทำงานเป็นอิสระจากการกลายพันธุ์ของโปรตีนส่วนหนาม เช่นเชื้อกลายพันธุ์ชนิดโอมิครอนและสายพันธุ์ที่น่ากังวลอื่น ๆ เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 เป็นไวรัส RNA สายเดี่ยวเชิงบวก (+ssRNA) ซึ่งคิดเป็นมากกว่าหนึ่งในสามของไวรัสที่เป็นที่รู้จักทั้งหมด ไวรัสเหล่านี้ใช้ปัจจัยระดับโฮสต์เพื่อให้เกิดการติดเชื้อในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การเข้าสู่เซลล์และการเพิ่มจำนวน ซึ่ง SK2 เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ว่านี้ ซึ่งอาจทำให้เป้าหมายในการต้านไวรัสในวงกว้าง SK2 ยังมีฤทธิ์ในการปรับแต่งไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบบางชนิด โดยการศึกษาในร่างกายแสดงให้เห็นศักยภาพของ opaganib ในการบรรเทาอาการอักเสบของปอดและลดการเกิดพังผืดในไต โดยลดระดับ IL-6 และ TNF-alpha ในน้ำล้างหลอดลม ดังนั้น การยับยั้ง SK2 อาจส่งผล 2 ทาง ทั้งการต้านไวรัสและการต้านอาการอักเสบ ซึ่งเป็นกลไกที่พึงประสงค์อย่างมากในกรณีของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ การกำหนดเป้าหมาย SK2 ของ opaganib ที่ไม่ใช่ตัวไวรัสเองนั้น ยังคาดว่าจะสามารถคงฤทธิ์การต้านไวรัสโดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงการกลายพันธุ ์ที่น่าเป็นห่วงในโปรตีนส่วนหนามของเชื้อ SARS-CoV-2 และการเกิดขึ้นของเชื้อสายพันธุ์ใหม่ เช่นสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงแอนติบอดีและวัคซีนต้านไวรัสโดยตรง
 
กลไกการทำงานและสถานะการพัฒนายา RHB-107
 
RHB-107[2] ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ชนิดรับประทานที่อยู่ระหว่างทดลองอีกประเภทหนึ่งของ RedHill เป็นแคปซูลใช้รับประทานวันละครั้งสำหรับผู้ป่วยนอกในช่วงต้นของการเกิดโรค มุ่งเป้าไปที่โปรตีเอสซีรีนซึ่งเป็นเอนไซม์ของมนุษย์ที่ข้องเกี่ยวกับการเข้ าสู่ร่างกายของเชื้อ SARS-CoV-2 สู่เซลล์เป้าหมาย การแยกตัวของโปรตีนส่วนหนามด้วยโปรตีเอสซีรีนของมนุษย์เป็นขั้นตอนที่จำเป็น ในการยึดติดของไวรัสและการเข้าสู่เซลล์ ซึ่งไม่ขึ้นตรงต่อการกลายพันธุ์ที่สังเกตพบในสายพันธุ์โอมิครอนที่เข้ามาปรั บเปลี่ยนคุณสมบัติแอนติเจนในโปรตีนหนาม
 
RHB-107 กำลังอยู่ในขั้นตอนการประเมินในการศึกษาระยะที่ 2/3 ในผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่ได้รักษาตัวในโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกาและในแอฟริกาใต้ การรับสมัครผู้ป่วยสำหรับส่วน A ของการศึกษาเสร็จสมบูรณ์แล้ว และคาดว่าจะทราบผลลัพธ์เบื้องต้นในไตรมาสแรกของปี 2565
 
 
 
 
ส่งโดย: IQ
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1807  
   
101.109.188.*


Page(s) : 1 




Reply this Topic reserved for registed member only. Register



  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by