« ความเห็นที่ #22 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 08:09:37 » |
|
on 05/23/18 เวลา 09:27:26, philosophy wrote:ในอดีต เอกชน ดีกว่า รัฐมาก จนบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า ลาออกไปอยู่เอกชน ดีกว่าแน่นอน แต่ปัจจุบัน ไม่สามารถพูดอย่างนั้นได้แล้วเพราะบริบทโลกปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก เอกชนอาจดีกว่ารัฐหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่ในแต่ละที่ เหตุผล เพราะ 1. คนเราอายุยืนขึ้น 2.การฟ้องร้องมากขึ้น 3.ปริมาณแพทย์มากขึ้น และเริ่มอื่มตัวโดยฌฉพาะ กทม และปริมณฑล 4.ความสามารถของหมอในการลงทุน 5.มีการปรับรายได้ภาครัฐใหมากขึ้น 6.อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในอนาคตมีแนวโน้มต่ำลงจากประชากรโลกจะเข้าวัยผู้สูงอ ายุ จนอัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้าศูนย์ ผมยกตัวอบ่างมุมมอง เรื่องรายได้ หลังเกษียณ แพทย์รัฐเมือทำงานครบ 25 ปี จะได้รับบำนาญ หรือบำเหน็จก็ได้ แต่หาเลือกรับบำนาญ ซึ่งตอนนั้นแพทยจะมีอายุราว 48-50 ปี ก็จะได้รับเงิน ประมาณ 20000-25000 บาทต่อเดือน เท่ากับ 240000-30000 บาทต่อปี หากคิดดอกเบี้ยเงินฝากที่ 3% เทากับมีเงินฝากอยู่ที่ 8-10 ล้านบาท หากคิดที่ดอกเบี้ยเงินฝาก 1.5 % ก็ต้องมีเงินอยู่ที่ 16-20 ล้านบาท แต่หากคิดในแง่ อายุขัย หากมีอายุยืนต่อไปอีก 30 ปี นับจากเกษียณอายุ 50 ปี เท่ากับ ต้องมีเงินเก็บราว 7.2-9 ล้านบาท ถึงจะมี สิทธิเท่าเทียม กับ รัฐบาล เท่ากับว่าเอกชนต้องมีเงินเก็บเหลือต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 40000 บาทต้่อเดือนเป็ฯเวลาติดต่อกัน 20 ปี ถึงจะมีเงินเก็บอย่างน้อย 10 ล้าน เมื่ออายุครบ 50 ปี คิดที่เก็บเงินเมื่ออายุ 30 ปี นั่นเท่ากับ ว่า รายได้เอกชน ไม่ควรต่ำว่า 1 -1.2 แสน ต่ำว่านี้ขาดทุนแน่ๆหากเทียบกับรัฐ คิดที่ฐานดอกเบี้ยเงินฝาก 3% และรายได้หมอภาครัฐอยู่ที่ 6-8 หมื่นบาทต่อเดือน หากคิดที่ฐาน 1.5 % ต้องไม่ต่ำว่า 2-2.4 แสน โดยสมติฐานนี้ตั้งอยู่ที่ว่า 1.รัฐไม่ล้มละลาย และ สวัสดีการรักษาพยาบาลข้าราชการลดสิทธิเท่ากับ 30 บาทในอนาคต หากสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการยิ่งต่างกับ 30 บาทเท่าไหร่ หมอภาครัฐ ยิ่งได้เปรียบหมอเอกชน แบประเมินมูลค่าไม่ได้ อาจมากกว่า 10 ล้านบาท 2.เสียชีวิตที่ 30 ปี หลังเกษียณ เพราะหากอายุยืนกว่านี้ หมอภาครัฐยิ่งได้เปรียบ ทุก 4 ปีจะเสียเปรียบหมอภาครัฐราว 1.2 ล้าน และหากหมอภาครัฐ ยิ่งมีอายุสั้นหลัเกษียณยิ่งเสียเปรียบหมอเอกชน 3.หมอเอกชนเก็บ เงิน อย่างเดียว 20 ปีโดยเงินเก็บไม่ได้ลงทุนอะไร ดังนั้น หมอ ที่อยู่เอกชน ยิ่งลงทุนไม่เป็นยิ่งเสียเปรียบภาครัฐ 4.อัตราดอกเบี้ยเงืนฝากประจำในอนาคต อยู่ในช่วง 1.5-3% หากยิ่งต่ำหมอภาครัฐยิ่งได้เปรียบ หากดูจาก trend เรื่องอายุขัยที่ยาวนานขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงในระยะยาว แนวโน้ม ที่ หมอ อยู่ภาครัฐจะดีกว่าอยู่เอกชน เอกชน ในอนาคต หากไม่ปรับค่าจ้างหมอเอกชนเพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่โดยเฉพาะที่ต่ำกว่า 2 แสน ต่อเดือน |
| แล้วถ้าหมอเอกชนที่ลงทุนเป็นล่ะครับ จะไม่ยิ่งดีกว่าหรอครับ ง่ายๆนะครับ สมมุติ ผมเงินเดือน400000 หักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วเหลือเงินลงทุน 250000ต่อเดือน ปีนึงจะมีเงินลงทุน3,000,000บาททำงาน10ปี ก็มี30ล้าน เอาไปลงทุนในหุ้นแบบDCA เลือกหุ้นที่ให้ปันผลสม่ำเสมอเช่นTVO เอาแบบต่ำๆแค่ได้ผลตอบแทนต่อปี 3% จาก30ล้าน ปีนึงจะได้ปันผล900000บาทสรุปจะได้เงินเป็นpassive income75000ต่อปีครับ อันนี้คิดแบบหยาบๆ ไม่นับหุ้นเจ๊งหรือหุ้นgrowthมากขึ้น ดังนั้นมันไม่ถูกต้องครับที่บอกว่าแพทย์ภาคเอกชนลงทุนไม่ได้ ที่ผมอยากบอกคือ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ภาครัฐหรือเอกชน ไม่ควรพึ่งใคร ควรยืนด้วยลำแข้งตัวเองครับ เพราะเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกอื่นๆได้ นโยบายอะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดครับ ส่วนเรื่องการรักษาพยาบาลอาจเลือกซื้อประกันสุขภาพดีๆแบบพี่JFKได้ครับ และสวัสดิการบัตรทองเองก็ในความคิดผมก็ไม่ได้แย่นะครับ ถ้าเรามีเงินร่วมจ่ายพอสมควรสำหรับยาหรืออุปกรณ์การแพทย์บางอย่างที่ต้องจ่า ยส่วนเกิน อีกอย่างโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่แบบพี่น้อง สบายๆ ไม่โดนบีบให้ทำยอด ไม่โดนบีบให้ออกมันมีอยู่จริงๆครับ เผลอๆจะโดนให้ออกยากกว่าราชการอีกครับ โดยเฉพาะเอกชนต่างจังหวัด
|
|