แจ้งลบกระทู้ แจ้งเมื่อมีคนตอบกระทู้นี้ แนะนำกระทู้นี้ Print

 หัวข้อ 36833: แพทย์ fulltime เอกชน ชีวิตเป็นอย่างไรครับ  (จำนวนคนอ่าน 22241 ครั้ง)
« เมื่อ: 05/21/18 เวลา 17:16:13 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ขอปรึกษาพี่ๆครับ  ผมเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขา minor อยู่ ปริมณทล แต่ไม่มีเวรemer และ ไม่มี oncall  ตอนนี้รายได้จากรพ.รัฐก็หลักหมื่น  เสาร์ อาทิตย์อยู่เวรรวมๆก็เกือบแสนครับ (ทำ 7 วันเลยนะครับ) อยากปรึกษาถ้าเทียบกับfulltime เอกชน ทำงาน 45 ชม/สัปดาห์  เงินเดือนมากกว่าเดิม 1.5 เท่า  
ผมควรตัดสินใจยังไงดีครับ  
อยากถามพี่ๆเพื่อนๆ ที่เป็น minor fulltime เอกชน  ว่ากดดันเรื่องทำยอดหรือคนไข้บ้างมั้ยครับ ขอบคุณครับ
ส่งโดย: DocKannawat
สถานะ: Newbie *
จำนวนความเห็น: 2  
   
1.46.15.*


« ความเห็นที่ #1 เมื่อ: 05/21/18 เวลา 19:41:16 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ผมไม่ทราบข้อมูลเฉพาะเจาะจงขนาดนั้นแต่
 
ผมคิดว่าถ้าได้ลองทำเป็น Part time น่าจะช่วยให้ จขกท.ให้ข้อมูลอย่างที่ต้องการเพิ่มขึ้นครับ  
 
 
ส่งโดย: positive male
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1020  
   
180.180.105.*


« ความเห็นที่ #2 เมื่อ: 05/21/18 เวลา 21:10:45 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ทุกวันนี้ผมก็ part-time เอกชนอยู่นะครับ ซึ่งผมแฮปปี้ดี แต่ถ้า fulltime ผมคิดเอาเองว่า อาจจะกดดันมากกว่า ( หรือเปล่า )  เลยลองถามผู้มีประสบการณ์ดูครับ ขอบคุณมากครับ
ส่งโดย: DocKannawat
สถานะ: Newbie *
จำนวนความเห็น: 2  
   
1.47.140.*


« ความเห็นที่ #3 เมื่อ: 05/21/18 เวลา 23:19:59 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

Full time เอกชนมาสองปีกว่าละครับ
 
  ขอพูดกลางๆ
 
-ภาระงาน   ถ้ามีความสามารถ ภาระงานจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ  แน่นอนว่ารายได้ก็มากขึ้น
-ความเครียด   ส่วนตัว เครียด เหนื่อยน้อยกว่าครับ  มีเวลาไปทำสวน ดูแลที่บ้านได้มากขึ้นเยอะเลย
 
-กดดัน  คงขึ้นกับแต่ละ รพ  และ ตัวเราเป็นหลัก  ถ้าเรามีความสามารถจริงๆ   รพ  จะให้เกียรติ และดูแลดีมากๆครับ
 
   เอกชน  ตอนนี้มีหมอจบใหม่มาเยอะ  อัตราการแข่งขัน  เข้า รพ เอกชนดีๆ จะยากขึ้นเรื่อยๆ  แน่นอนว่า เราต้องมีดี อาจจะต้องเทรนต่อ หรือมีอะไรที่น่าสนใจเป็นของตัวเอง  จะทำให้อยู่ได้สบายๆครับ
ส่งโดย: Keyhole
สถานะ: Full Member ***
จำนวนความเห็น: 241  
   
27.55.23.*


« ความเห็นที่ #4 เมื่อ: 05/22/18 เวลา 07:54:09 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ ลบข้อความนี้

มีเวลาคุยกับคนไข้เยอะขึ้น  
ส่งตรวจ อย่าง มี evident baseทุกอย่าง เพราะ คนไข้ถามละเอียด   ลำบากใจ ตรงคนไข้ ยากจน  แต่ มีข้อบ่งชี้ในการตรวจ  รีเฟอ ไปตามสิทธิ ยากมาก
ส่งโดย: candy girl Email     1.47.73.*


« ความเห็นที่ #5 เมื่อ: 05/22/18 เวลา 08:12:09 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

อย่ามาเลยครับถ้าไม่ร้อนเงินมาก โดนกดดันยอดแน่ๆ+เรื่องการทำงานอื่นๆ ถ้าทำงานไม่ถูกใจมีโอกาสโดนเขี่ยทิ้งทุกเมื่อ
ส่งโดย: Sazuke
สถานะ: Full Member ***
จำนวนความเห็น: 234  
   
58.8.157.*


« ความเห็นที่ #6 เมื่อ: 05/22/18 เวลา 09:33:53 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ถ้ามาอยู่รพ.เอกชนแบบเต็มตัว...แน่นอนว่า จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนมากว่าแน่ๆ แต่ว่าก็จะสูญเสียสวัสดิการต่างๆ (เวลาตัวเอง/ ลูก เมีย เจ็บป่วยจะใช้สิทธิบัตรทอง เหรอครับ) และทำงานแบบเช้า- ชาม เย็น- ชาม ไม่ได้แน่นอน ครับ... ต้องจัดเต็มทั้งการตรวจและการรักษา ให้กับผู้ป่วยเงินสดทุกราย จะไปรักษาแบบขอไปที หรือ  Conservative ไม่ได้ครับ (ยิ่ง รพ.เอกชนชั้นนำ ซึ่งจ่ายค่าตอบแทนให้เราสูงมากเท่าไหร่ เราก็ต้องทำงานหนัก/ ทำเงินหนักให้ทาง รพ. มากขึ้นเท่านั้นครับ...ไม่งั้นถูกดีดออกภายใน 1 เดือน และมีหมอคนใหม่มาเสียบแทนทันทีครับ)
ส่งโดย: Dr._Panya male
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1916  
   
110.169.209.*


« ความเห็นที่ #7 เมื่อ: 05/22/18 เวลา 10:12:25 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย หยุดงาน(ไม่ว่าจะป่วยหรือไม่)ไม่ได้ตัง มีเวลาเที่ยวมากกว่า
 
ส่วนตัวผมว่าแฟร์ดี ปัญหาก็มีบ้างเรื่องจรรยาแพทย์ปะทะความต้องการเงินขององค์กร
ส่งโดย: megacure
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 2283  
   
182.232.53.*


« ความเห็นที่ #8 เมื่อ: 05/22/18 เวลา 11:07:46 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ


ชีวิตดี๊ดีค่ะ  ^ ^
 
แต่ก็ต้องปรับบุคลิคของเราให้เข้ากับสถานพยาบาลเอกชนด้วยนะคะ
 
เป็นยายเพิ้งก็จะโดนเรียกไปปรับทัศนคติ แฮ่ เลยลาออกเลย
ส่งโดย: คุณแม่ลูกหนึ่ง
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 3888  
   
61.7.234.*


« ความเห็นที่ #9 เมื่อ: 05/22/18 เวลา 12:44:05 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

สบายมากครับ เงินดี ทำงาน 45 ชมต่อสัปดาห์ ได้มากกว่า รพ รัฐที่ต้องทำ 80 ชม 4 ถึง 5 เท่า  
สวัสดิการอาหารเช้า เที่ยง มีห้องออกกำลังกายที่ดีกว่าคอนโด
รายรับเป็น 40/6 เสียภาษีน้อยกว่า
ไม่ต้องมาบริหารเรื่องเตียงเต็มคนไข้ไม่ยอมกลับ หรือปฏิบัติ เสธการรักษาเองมีเจ้าหน้าที่ทำให้
 
ส่งโดย: bridge
สถานะ: Senior Member ****
จำนวนความเห็น: 356  
   
182.232.34.*


« ความเห็นที่ #10 เมื่อ: 05/22/18 เวลา 13:34:41 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

เอกชน คำก็เงิน สองคำก็เงิน  
พอมีเงินแล้วก็เริ่มสงสัยว่าความสุขคนเรามันอยู่ตรงไหน
คนที่กลับไปรับราชการต่อน้อยมากเพราะ จมไม่ลง สบายจนเคยตัว
ชายหนุ่มที่เคยมีไฟยอมลำบากยากจนเพื่อคนยากไร้ตายไปแล้ว
ส่งโดย: Head_transplant
สถานะ: Full Member ***
จำนวนความเห็น: 119  
   
1.46.71.*


« ความเห็นที่ #11 เมื่อ: 05/22/18 เวลา 15:51:47 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

อาจารย์ผู้สอนวิชาการล่ามคนหนึ่ง พร่ำสอนนักเรียนว่า
 
"ไม่ว่าล่ามจะห่วยขนาดไหน ก็ยังดีกว่าไม่มีล่ามอยู่เลยนั่นแหละ ถ้าโดนลูกค้าตำหนิว่าไม่เอาไหนเลย มีแต่ล่ามแบบนี้ให้เลือกหรือไง ก็ลองขอตัวไปห้องน้ำนานๆ ดูสิ พอกลับมาจะเห็นว่าสายตาที่ลูกค้ามองมาเปลี่ยนไปเลยนะ เพราะเธอเป็นคนที่ขาดไม่ได้ยังไงล่ะ"
 
ลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งเชื่อถือคำพูดของอาจารย์อย่างยิ่ง หากขาดการประเมินตัวเองไปไม่น้อยทดลองทำตามที่อาจารย์สอน พอกลับมาจากห้องน้ำ สายตาที่ลูกค้ามองมาก็เปลี่ยนไปจริงๆ ระหว่างที่ล่ามไม่อยู่ คุณลูกค้าต่างก็ใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศสงูๆ ปลาๆ ขยับมือขยับไม้จนเกิดสื่อความกันได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ภาษาเยอรมัน ล่ามจึงได้รับการบอกกล่าวว่า  
 
"พรุ่งนี้เธอไม่ต้องมาแล้วนะ"
 
จะเห็นได้ว่าในบางกรณี ล่ามก็
 
"ไม่จำเป็นเลยสักนิด หายตัวไปก็ไม่มีใครเดือดร้อน"
 
ได้เช่นกัน
 
จาก ; (หญิงงามผู้กลิ้งกลอกหรือหญิงอัปลักษณ์ผู้ซื่อสัตย์)  โดย โยเนฮาระ มาริ
 
แสนเจ็บปวด... Grin
« แก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อ: 05/22/18 เวลา 15:54:02 by หมอโต »

..การที่มีเธออยู่ ทำให้ฉันรู้สึก..

ส่งโดย: หมอโต male
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 836  
   
49.237.132.*


« ความเห็นที่ #12 เมื่อ: 05/23/18 เวลา 09:27:26 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ในอดีต   เอกชน  ดีกว่า  รัฐมาก
จนบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า ลาออกไปอยู่เอกชน ดีกว่าแน่นอน
 
แต่ปัจจุบัน  
 
ไม่สามารถพูดอย่างนั้นได้แล้วเพราะบริบทโลกปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก
 
เอกชนอาจดีกว่ารัฐหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่ในแต่ละที่
 
เหตุผล  เพราะ  

1. คนเราอายุยืนขึ้น  
2.การฟ้องร้องมากขึ้น  
3.ปริมาณแพทย์มากขึ้น และเริ่มอื่มตัวโดยฌฉพาะ กทม และปริมณฑล
4.ความสามารถของหมอในการลงทุน
5.มีการปรับรายได้ภาครัฐใหมากขึ้น
6.อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในอนาคตมีแนวโน้มต่ำลงจากประชากรโลกจะเข้าวัยผู้สูงอ ายุ จนอัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้าศูนย์

ผมยกตัวอบ่างมุมมอง  เรื่องรายได้ หลังเกษียณ
 
แพทย์รัฐเมือทำงานครบ 25 ปี จะได้รับบำนาญ หรือบำเหน็จก็ได้
แต่หาเลือกรับบำนาญ  ซึ่งตอนนั้นแพทยจะมีอายุราว 48-50 ปี
 
ก็จะได้รับเงิน ประมาณ 20000-25000 บาทต่อเดือน เท่ากับ  240000-30000 บาทต่อปี
 
หากคิดดอกเบี้ยเงินฝากที่ 3% เทากับมีเงินฝากอยู่ที่ 8-10 ล้านบาท
 
หากคิดที่ดอกเบี้ยเงินฝาก 1.5 % ก็ต้องมีเงินอยู่ที่ 16-20 ล้านบาท
 
 
แต่หากคิดในแง่ อายุขัย  หากมีอายุยืนต่อไปอีก 30 ปี นับจากเกษียณอายุ 50 ปี   เท่ากับ ต้องมีเงินเก็บราว 7.2-9 ล้านบาท
ถึงจะมี สิทธิเท่าเทียม กับ รัฐบาล
 
 
เท่ากับว่าเอกชนต้องมีเงินเก็บเหลือต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 40000 บาทต้่อเดือนเป็ฯเวลาติดต่อกัน 20 ปี ถึงจะมีเงินเก็บอย่างน้อย 10 ล้าน เมื่ออายุครบ 50 ปี  คิดที่เก็บเงินเมื่ออายุ 30 ปี
 
นั่นเท่ากับ ว่า รายได้เอกชน ไม่ควรต่ำว่า 1 -1.2  แสน  ต่ำว่านี้ขาดทุนแน่ๆหากเทียบกับรัฐ คิดที่ฐานดอกเบี้ยเงินฝาก 3%  และรายได้หมอภาครัฐอยู่ที่ 6-8 หมื่นบาทต่อเดือน
 
หากคิดที่ฐาน 1.5 % ต้องไม่ต่ำว่า 2-2.4 แสน
 
โดยสมติฐานนี้ตั้งอยู่ที่ว่า

1.รัฐไม่ล้มละลาย และ สวัสดีการรักษาพยาบาลข้าราชการลดสิทธิเท่ากับ 30 บาทในอนาคต หากสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการยิ่งต่างกับ 30 บาทเท่าไหร่  หมอภาครัฐ ยิ่งได้เปรียบหมอเอกชน แบประเมินมูลค่าไม่ได้ อาจมากกว่า 10 ล้านบาท  
 
2.เสียชีวิตที่ 30 ปี หลังเกษียณ เพราะหากอายุยืนกว่านี้ หมอภาครัฐยิ่งได้เปรียบ ทุก 4 ปีจะเสียเปรียบหมอภาครัฐราว 1.2 ล้าน
และหากหมอภาครัฐ ยิ่งมีอายุสั้นหลัเกษียณยิ่งเสียเปรียบหมอเอกชน
3.หมอเอกชนเก็บ เงิน อย่างเดียว 20 ปีโดยเงินเก็บไม่ได้ลงทุนอะไร  ดังนั้น  หมอ ที่อยู่เอกชน ยิ่งลงทุนไม่เป็นยิ่งเสียเปรียบภาครัฐ
4.อัตราดอกเบี้ยเงืนฝากประจำในอนาคต อยู่ในช่วง 1.5-3%  หากยิ่งต่ำหมอภาครัฐยิ่งได้เปรียบ
 
 
 
หากดูจาก trend  เรื่องอายุขัยที่ยาวนานขึ้น  และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงในระยะยาว
  แนวโน้ม  ที่ หมอ อยู่ภาครัฐจะดีกว่าอยู่เอกชน เอกชน  ในอนาคต หากไม่ปรับค่าจ้างหมอเอกชนเพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่โดยเฉพาะที่ต่ำกว่า 2 แสน ต่อเดือน
« แก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อ: 05/23/18 เวลา 09:55:45 by philosophy »
ส่งโดย: philosophy
สถานะ: Senior Member ****
จำนวนความเห็น: 419  
   
114.109.246.*


« ความเห็นที่ #13 เมื่อ: 05/23/18 เวลา 10:34:23 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ ลบข้อความนี้

เคยคิด เหมือน กันค่ะ แต่ที่ผ่นมา ตอนเรียน ตอนใช้ทุน ทำงานหนัก ไม่ได้พัก ไม่ได้หยุดลายาก
 มีความคิด ฆ่าตัวตายออกมาหลายครั้ง
 จนในที่สุด สรุปว่า  ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คงอยู่ ไม่ถึงเกษียณ แย่ ไม่ ติดโรค ตาย เหนื่อย ตาย คงฆ่าตัวตาย ซักทาง
สาขา major งานหนัก เคสก็หนักตามนั้น
ส่งโดย: candy girl Email     1.46.134.*


« ความเห็นที่ #14 เมื่อ: 05/23/18 เวลา 11:29:56 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ถ้าหมอ cardio กลัวติดโรคจากคนไข้
 
หมอ chest หรือ infectious หรือแม้แต่ GP คงลาออกหมด
 
โรคหัวใจอะไรบ้างที่เป็นโรคติดต่อ ?
 
คาดีโอโลจ๋อยแน่นวล
ส่งโดย: Head_transplant
สถานะ: Full Member ***
จำนวนความเห็น: 119  
   
1.46.71.*


« ความเห็นที่ #15 เมื่อ: 05/23/18 เวลา 11:46:13 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 05/23/18 เวลา 09:27:26, philosophy wrote:
ในอดีต   เอกชน  ดีกว่า  รัฐมาก
จนบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า ลาออกไปอยู่เอกชน ดีกว่าแน่นอน
 
แต่ปัจจุบัน  
 
ไม่สามารถพูดอย่างนั้นได้แล้วเพราะบริบทโลกปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก
 
เอกชนอาจดีกว่ารัฐหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่ในแต่ละที่
 
เหตุผล  เพราะ  

1. คนเราอายุยืนขึ้น  
2.การฟ้องร้องมากขึ้น  
3.ปริมาณแพทย์มากขึ้น และเริ่มอื่มตัวโดยฌฉพาะ กทม และปริมณฑล
4.ความสามารถของหมอในการลงทุน
5.มีการปรับรายได้ภาครัฐใหมากขึ้น
6.อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในอนาคตมีแนวโน้มต่ำลงจากประชากรโลกจะเข้าวัยผู้สูงอ ายุ จนอัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้าศูนย์

ผมยกตัวอบ่างมุมมอง  เรื่องรายได้ หลังเกษียณ
 
แพทย์รัฐเมือทำงานครบ 25 ปี จะได้รับบำนาญ หรือบำเหน็จก็ได้
แต่หาเลือกรับบำนาญ  ซึ่งตอนนั้นแพทยจะมีอายุราว 48-50 ปี
 
ก็จะได้รับเงิน ประมาณ 20000-25000 บาทต่อเดือน เท่ากับ  240000-30000 บาทต่อปี
 
หากคิดดอกเบี้ยเงินฝากที่ 3% เทากับมีเงินฝากอยู่ที่ 8-10 ล้านบาท
 
หากคิดที่ดอกเบี้ยเงินฝาก 1.5 % ก็ต้องมีเงินอยู่ที่ 16-20 ล้านบาท
 
 
แต่หากคิดในแง่ อายุขัย  หากมีอายุยืนต่อไปอีก 30 ปี นับจากเกษียณอายุ 50 ปี   เท่ากับ ต้องมีเงินเก็บราว 7.2-9 ล้านบาท
ถึงจะมี สิทธิเท่าเทียม กับ รัฐบาล
 
 
เท่ากับว่าเอกชนต้องมีเงินเก็บเหลือต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 40000 บาทต้่อเดือนเป็ฯเวลาติดต่อกัน 20 ปี ถึงจะมีเงินเก็บอย่างน้อย 10 ล้าน เมื่ออายุครบ 50 ปี  คิดที่เก็บเงินเมื่ออายุ 30 ปี
 
นั่นเท่ากับ ว่า รายได้เอกชน ไม่ควรต่ำว่า 1 -1.2  แสน  ต่ำว่านี้ขาดทุนแน่ๆหากเทียบกับรัฐ คิดที่ฐานดอกเบี้ยเงินฝาก 3%  และรายได้หมอภาครัฐอยู่ที่ 6-8 หมื่นบาทต่อเดือน
 
หากคิดที่ฐาน 1.5 % ต้องไม่ต่ำว่า 2-2.4 แสน
 
โดยสมติฐานนี้ตั้งอยู่ที่ว่า

1.รัฐไม่ล้มละลาย และ สวัสดีการรักษาพยาบาลข้าราชการลดสิทธิเท่ากับ 30 บาทในอนาคต หากสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการยิ่งต่างกับ 30 บาทเท่าไหร่  หมอภาครัฐ ยิ่งได้เปรียบหมอเอกชน แบประเมินมูลค่าไม่ได้ อาจมากกว่า 10 ล้านบาท  
 
2.เสียชีวิตที่ 30 ปี หลังเกษียณ เพราะหากอายุยืนกว่านี้ หมอภาครัฐยิ่งได้เปรียบ ทุก 4 ปีจะเสียเปรียบหมอภาครัฐราว 1.2 ล้าน
และหากหมอภาครัฐ ยิ่งมีอายุสั้นหลัเกษียณยิ่งเสียเปรียบหมอเอกชน
3.หมอเอกชนเก็บ เงิน อย่างเดียว 20 ปีโดยเงินเก็บไม่ได้ลงทุนอะไร  ดังนั้น  หมอ ที่อยู่เอกชน ยิ่งลงทุนไม่เป็นยิ่งเสียเปรียบภาครัฐ
4.อัตราดอกเบี้ยเงืนฝากประจำในอนาคต อยู่ในช่วง 1.5-3%  หากยิ่งต่ำหมอภาครัฐยิ่งได้เปรียบ
 
 
 
หากดูจาก trend  เรื่องอายุขัยที่ยาวนานขึ้น  และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงในระยะยาว
  แนวโน้ม  ที่ หมอ อยู่ภาครัฐจะดีกว่าอยู่เอกชน เอกชน  ในอนาคต หากไม่ปรับค่าจ้างหมอเอกชนเพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่โดยเฉพาะที่ต่ำกว่า 2 แสน ต่อเดือน

 
เห็นด้วยครับ ต้องมองภาพระยะยาวด้วย ส่วนตัวผมเก็บตังกับเอกชนก่อน รอ settle เรื่องบ้านเรื่องรถแล้วจะหาทางกลับเข้ารับราชการใกล้บ้านครับ ยังไงก็ยังอยู่กับราชการถึง 25 ปีได้ ตำแหน่งสูง ๆ ก็ไม่หวังอยู่แล้ว ได้บำนาญ สวัสดิการก็พอใจ
ส่งโดย: megacure
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 2283  
   
182.232.58.*


« ความเห็นที่ #16 เมื่อ: 05/23/18 เวลา 13:30:54 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ตอบยากครับ มันมี variation มากๆ
ตั้งแต่ ดี จนถึง แย่
ที่สำคัญคือ ต่อให้ตอนนี้ดี ต่อไปถ้าเปลี่ยนผอ.หรือCEO นโยบายก้อเปลี่ยนได้อีก อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลงก้อได้ครับ
ท่องเอาไว้ว่า รายจ่ายเป็นของถาวร แต่รายได้มันไม่แน่นอน
« แก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อ: 05/23/18 เวลา 13:32:45 by carter »
ส่งโดย: carter
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1839  
   
27.130.91.*


« ความเห็นที่ #17 เมื่อ: 05/23/18 เวลา 13:33:28 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

แต่ต้องคิด  ถึงความเสี่ยงอื่นเ้วยค่ะ  เช่น หมอบางคนไม่อยู่จนแก่ เป็นต้ล

The day you went away . . .
ส่งโดย: SantaNiCo female
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1378  
   
182.232.55.*


« ความเห็นที่ #18 เมื่อ: 05/23/18 เวลา 13:54:55 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 05/23/18 เวลา 13:33:28, SantaNiCo wrote:
แต่ต้องคิด  ถึงความเสี่ยงอื่นเ้วยค่ะ  เช่น หมอบางคนไม่อยู่จนแก่ เป็นต้ล

 
จริง อยู่รัฐอาจทนอยู่จนแก่ไม่ได้
 
อยู่เอกชนก็อาจโดนให้ออกก่อนแก่ ยิ่งแพทย์ผลิตล้น ๆ กันอยู่
 
คลินิกก็ใช่จะรุ่งไปได้ตลอด การแข่งขันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
 
ประหยัดไว้ก่อน เก็บทรัพย์สินจำเป็นให้ครบ อย่างน้อยก็คงไม่ลำบากในบั้นปลาย
ส่งโดย: megacure
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 2283  
   
182.232.36.*


« ความเห็นที่ #19 เมื่อ: 05/23/18 เวลา 16:24:27 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

อนาคตมี Reverse Mortgage ให้พึ่งได้
 
https://www.gsb.or.th/getattachment/e556625c-b325-46a5-ae75-7ed57a5d78ef /9IN_hotissue_RM_detail.aspx
ส่งโดย: only2b male
สถานะ: Full Member ***
จำนวนความเห็น: 166  
   
184.22.162.*


« ความเห็นที่ #20 เมื่อ: 05/23/18 เวลา 16:24:58 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ถ้ารัฐบาลทำ 40 ชมต่อสัปดาห์ได้คงกลับครับ แต่ไม่มีทาง เกิดขึ้นแน่
เอาเวลาไปอยู่เวรไปศึกษาเรื่องลงทุน 10 ปีก็ได้ปันผลเกินบำนาญ 4 ถึง5 เท่าละ
 
ส่งโดย: bridge
สถานะ: Senior Member ****
จำนวนความเห็น: 356  
   
184.22.113.*


« ความเห็นที่ #21 เมื่อ: 05/23/18 เวลา 17:57:42 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 05/23/18 เวลา 13:54:55, megacure wrote:

 
จริง อยู่รัฐอาจทนอยู่จนแก่ไม่ได้
 
อยู่เอกชนก็อาจโดนให้ออกก่อนแก่ ยิ่งแพทย์ผลิตล้น ๆ กันอยู่
 
คลินิกก็ใช่จะรุ่งไปได้ตลอด การแข่งขันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
 
ประหยัดไว้ก่อน เก็บทรัพย์สินจำเป็นให้ครบ อย่างน้อยก็คงไม่ลำบากในบั้นปลาย

ไม่อยู่จนแก่ คือ ไม่อยู่บนโลกนี้
ก๊าก

The day you went away . . .
ส่งโดย: SantaNiCo female
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1378  
   
49.229.72.*


« ความเห็นที่ #22 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 08:09:37 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 05/23/18 เวลา 09:27:26, philosophy wrote:
ในอดีต   เอกชน  ดีกว่า  รัฐมาก
จนบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า ลาออกไปอยู่เอกชน ดีกว่าแน่นอน
 
แต่ปัจจุบัน  
 
ไม่สามารถพูดอย่างนั้นได้แล้วเพราะบริบทโลกปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก
 
เอกชนอาจดีกว่ารัฐหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่ในแต่ละที่
 
เหตุผล  เพราะ  

1. คนเราอายุยืนขึ้น  
2.การฟ้องร้องมากขึ้น  
3.ปริมาณแพทย์มากขึ้น และเริ่มอื่มตัวโดยฌฉพาะ กทม และปริมณฑล
4.ความสามารถของหมอในการลงทุน
5.มีการปรับรายได้ภาครัฐใหมากขึ้น
6.อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในอนาคตมีแนวโน้มต่ำลงจากประชากรโลกจะเข้าวัยผู้สูงอ ายุ จนอัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้าศูนย์

ผมยกตัวอบ่างมุมมอง  เรื่องรายได้ หลังเกษียณ
 
แพทย์รัฐเมือทำงานครบ 25 ปี จะได้รับบำนาญ หรือบำเหน็จก็ได้
แต่หาเลือกรับบำนาญ  ซึ่งตอนนั้นแพทยจะมีอายุราว 48-50 ปี
 
ก็จะได้รับเงิน ประมาณ 20000-25000 บาทต่อเดือน เท่ากับ  240000-30000 บาทต่อปี
 
หากคิดดอกเบี้ยเงินฝากที่ 3% เทากับมีเงินฝากอยู่ที่ 8-10 ล้านบาท
 
หากคิดที่ดอกเบี้ยเงินฝาก 1.5 % ก็ต้องมีเงินอยู่ที่ 16-20 ล้านบาท
 
 
แต่หากคิดในแง่ อายุขัย  หากมีอายุยืนต่อไปอีก 30 ปี นับจากเกษียณอายุ 50 ปี   เท่ากับ ต้องมีเงินเก็บราว 7.2-9 ล้านบาท
ถึงจะมี สิทธิเท่าเทียม กับ รัฐบาล
 
 
เท่ากับว่าเอกชนต้องมีเงินเก็บเหลือต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 40000 บาทต้่อเดือนเป็ฯเวลาติดต่อกัน 20 ปี ถึงจะมีเงินเก็บอย่างน้อย 10 ล้าน เมื่ออายุครบ 50 ปี  คิดที่เก็บเงินเมื่ออายุ 30 ปี
 
นั่นเท่ากับ ว่า รายได้เอกชน ไม่ควรต่ำว่า 1 -1.2  แสน  ต่ำว่านี้ขาดทุนแน่ๆหากเทียบกับรัฐ คิดที่ฐานดอกเบี้ยเงินฝาก 3%  และรายได้หมอภาครัฐอยู่ที่ 6-8 หมื่นบาทต่อเดือน
 
หากคิดที่ฐาน 1.5 % ต้องไม่ต่ำว่า 2-2.4 แสน
 
โดยสมติฐานนี้ตั้งอยู่ที่ว่า

1.รัฐไม่ล้มละลาย และ สวัสดีการรักษาพยาบาลข้าราชการลดสิทธิเท่ากับ 30 บาทในอนาคต หากสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการยิ่งต่างกับ 30 บาทเท่าไหร่  หมอภาครัฐ ยิ่งได้เปรียบหมอเอกชน แบประเมินมูลค่าไม่ได้ อาจมากกว่า 10 ล้านบาท  
 
2.เสียชีวิตที่ 30 ปี หลังเกษียณ เพราะหากอายุยืนกว่านี้ หมอภาครัฐยิ่งได้เปรียบ ทุก 4 ปีจะเสียเปรียบหมอภาครัฐราว 1.2 ล้าน
และหากหมอภาครัฐ ยิ่งมีอายุสั้นหลัเกษียณยิ่งเสียเปรียบหมอเอกชน
3.หมอเอกชนเก็บ เงิน อย่างเดียว 20 ปีโดยเงินเก็บไม่ได้ลงทุนอะไร  ดังนั้น  หมอ ที่อยู่เอกชน ยิ่งลงทุนไม่เป็นยิ่งเสียเปรียบภาครัฐ
4.อัตราดอกเบี้ยเงืนฝากประจำในอนาคต อยู่ในช่วง 1.5-3%  หากยิ่งต่ำหมอภาครัฐยิ่งได้เปรียบ
 
 
 
หากดูจาก trend  เรื่องอายุขัยที่ยาวนานขึ้น  และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงในระยะยาว
  แนวโน้ม  ที่ หมอ อยู่ภาครัฐจะดีกว่าอยู่เอกชน เอกชน  ในอนาคต หากไม่ปรับค่าจ้างหมอเอกชนเพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่โดยเฉพาะที่ต่ำกว่า 2 แสน ต่อเดือน

 
แล้วถ้าหมอเอกชนที่ลงทุนเป็นล่ะครับ จะไม่ยิ่งดีกว่าหรอครับ
ง่ายๆนะครับ สมมุติ ผมเงินเดือน400000
หักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วเหลือเงินลงทุน 250000ต่อเดือน
ปีนึงจะมีเงินลงทุน3,000,000บาททำงาน10ปี ก็มี30ล้าน
เอาไปลงทุนในหุ้นแบบDCA เลือกหุ้นที่ให้ปันผลสม่ำเสมอเช่นTVO เอาแบบต่ำๆแค่ได้ผลตอบแทนต่อปี 3%  จาก30ล้าน ปีนึงจะได้ปันผล900000บาทสรุปจะได้เงินเป็นpassive income75000ต่อปีครับ อันนี้คิดแบบหยาบๆ ไม่นับหุ้นเจ๊งหรือหุ้นgrowthมากขึ้น
ดังนั้นมันไม่ถูกต้องครับที่บอกว่าแพทย์ภาคเอกชนลงทุนไม่ได้
ที่ผมอยากบอกคือ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ภาครัฐหรือเอกชน ไม่ควรพึ่งใคร ควรยืนด้วยลำแข้งตัวเองครับ เพราะเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกอื่นๆได้  นโยบายอะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดครับ
ส่วนเรื่องการรักษาพยาบาลอาจเลือกซื้อประกันสุขภาพดีๆแบบพี่JFKได้ครับ และสวัสดิการบัตรทองเองก็ในความคิดผมก็ไม่ได้แย่นะครับ ถ้าเรามีเงินร่วมจ่ายพอสมควรสำหรับยาหรืออุปกรณ์การแพทย์บางอย่างที่ต้องจ่า ยส่วนเกิน
อีกอย่างโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่แบบพี่น้อง สบายๆ ไม่โดนบีบให้ทำยอด ไม่โดนบีบให้ออกมันมีอยู่จริงๆครับ เผลอๆจะโดนให้ออกยากกว่าราชการอีกครับ โดยเฉพาะเอกชนต่างจังหวัด
« แก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อ: 05/24/18 เวลา 08:16:36 by น้ำเน่าในเงาจันทร์ »

ส่งโดย: น้ำเน่าในเงาจันทร์ male
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 6054   Email
   
223.24.180.*


« ความเห็นที่ #23 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 09:18:06 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

รพ.เอกชน จะดีสำหรับแพทย์ระดับ Elite ครับ พวก subboard ขึ้นไป ที่ได้การันตีเดือนละ 2-3 แสนบาท/เดือน จึงจะได้เปรียบพวกหมอ รพ.รัฐบาล อย่างที่คุณหมอ philosophy ว่าไว้ ภายใต้กฎเกณฑ์ว่า บำนาญจะยังอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขย้อนหลัง (ซึ่งถ้ามี รบ.ไหนทำอย่างนั้นถือว่า here มาก และโดนประท้วงแน่นอน)
ส่งโดย: Hybrid VI
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 6180  
   
182.232.105.*


« ความเห็นที่ #24 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 09:35:59 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 05/24/18 เวลา 09:18:06, Hybrid VI wrote:
รพ.เอกชน จะดีสำหรับแพทย์ระดับ Elite ครับ พวก subboard ขึ้นไป ที่ได้การันตีเดือนละ 2-3 แสนบาท/เดือน จึงจะได้เปรียบพวกหมอ รพ.รัฐบาล อย่างที่คุณหมอ philosophy ว่าไว้ ภายใต้กฎเกณฑ์ว่า บำนาญจะยังอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขย้อนหลัง (ซึ่งถ้ามี รบ.ไหนทำอย่างนั้นถือว่า here มาก และโดนประท้วงแน่นอน)

 
ประเทศกรีซทำมาแล้วครับ ตัด pension(ตัดบำนาญ)
ส่งโดย: megacure
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 2283  
   
182.232.40.*


« ความเห็นที่ #25 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 11:23:23 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

  เรื่องน่าลำบากใจของเอกชน ที่เคยได้ยินมา  ก็มีแค่คนไข้อยากนอน รพ เพราะมีประกัน แต่ไม่ยักจะป่วยอะไร ก็ต้องเขียนใบรับรองให้นอนได้เบิกได้  
   ส่วนเรื่องยอดไม่ต้องห่วง มีทั้งคนป่วยจริง  และคนอยากป่วยให้ตรวจเรื่อยๆ  ไม่เคยได้ยินเพื่อนๆบ่นเลย
ส่งโดย: blitzs
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 2998  
   
180.183.153.*


« ความเห็นที่ #26 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 11:34:18 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

สมัยนี้ ข้าราชการที่จะเกษียณยังมีบำนาญอยู่เหรอครับ...ไม่ใช่มีแต่ บำเหน็จ หรือ อบข. แล้วเหรอครับ
ส่งโดย: Dr._Panya male
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1916  
   
110.169.208.*


« ความเห็นที่ #27 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 13:41:59 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

การคำนวณว่าเราควรจะมีสินทรัพย์เท่าไหร่ที่พอจะมีอิสรภาพทางการเงินได้
 
คร่าวๆ สมมุติว่าค่าใช้จ่ายที่เราต้องการเดือนละ 100,000 บาท
 
ให้คูณด้วย 200 ถึง 300 ก็จะได้เงินต้นที่เราต้องมี = 20-30 ล้าน(คิดผลตอบแทน 5% จะได้เดือนละ 100,000)
 
แพทย์เรากว่าจะเรียนจบboardหรือsub-board น่าจะอายุ 30 ต้นๆ เท่ากับว่าเรามีเวลาราวๆ 30 ปีบวกลบในการทำงาน
 
จากนั้นต้องวางแผนที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย ปัจจัยสำคัญ 3ประการ
 
 1 จำนวนเงินที่เก็บได้
 
 2 %ผลตอบแทนที่ได้รับ
 
 3 ระยะเวลา
 
จะช้าจะเร็วขึ้นกับ 3 ปัจจัยนี้ มีเครื่องมือให้คำนวณ
 
http://www.moneychimp.com/calculator/compound_interest_calculator.htm

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 952  
   
182.53.175.*


« ความเห็นที่ #28 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 15:49:19 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 05/24/18 เวลา 08:09:37, Winter is coming wrote:

 
แล้วถ้าหมอเอกชนที่ลงทุนเป็นล่ะครับ จะไม่ยิ่งดีกว่าหรอครับ
ง่ายๆนะครับ สมมุติ ผมเงินเดือน400000
หักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วเหลือเงินลงทุน 250000ต่อเดือน
ปีนึงจะมีเงินลงทุน3,000,000บาททำงาน10ปี ก็มี30ล้าน
เอาไปลงทุนในหุ้นแบบDCA เลือกหุ้นที่ให้ปันผลสม่ำเสมอเช่นTVO เอาแบบต่ำๆแค่ได้ผลตอบแทนต่อปี 3%  จาก30ล้าน ปีนึงจะได้ปันผล900000บาทสรุปจะได้เงินเป็นpassive income75000ต่อปีครับ อันนี้คิดแบบหยาบๆ ไม่นับหุ้นเจ๊งหรือหุ้นgrowthมากขึ้น
ดังนั้นมันไม่ถูกต้องครับที่บอกว่าแพทย์ภาคเอกชนลงทุนไม่ได้
ที่ผมอยากบอกคือ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ภาครัฐหรือเอกชน ไม่ควรพึ่งใคร ควรยืนด้วยลำแข้งตัวเองครับ เพราะเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกอื่นๆได้  นโยบายอะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดครับ
ส่วนเรื่องการรักษาพยาบาลอาจเลือกซื้อประกันสุขภาพดีๆแบบพี่JFKได้ครับ และสวัสดิการบัตรทองเองก็ในความคิดผมก็ไม่ได้แย่นะครับ ถ้าเรามีเงินร่วมจ่ายพอสมควรสำหรับยาหรืออุปกรณ์การแพทย์บางอย่างที่ต้องจ่า ยส่วนเกิน
อีกอย่างโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่แบบพี่น้อง สบายๆ ไม่โดนบีบให้ทำยอด ไม่โดนบีบให้ออกมันมีอยู่จริงๆครับ เผลอๆจะโดนให้ออกยากกว่าราชการอีกครับ โดยเฉพาะเอกชนต่างจังหวัด

 
สอนวิธีเล่นหุ้นโดยได้ผลตอบแทนอย่างต่ำ 3 % ทบต้นไป 20 ปีหน่อยครับ     ของผมเล่นยิ่งเงินสะสมมากขึ้น ช่วงที่เติมเข้าไปจะยากมากเลยที่จะได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอเท่าเดิมครับ   เพราะการเอาเงินเดือนมาเล่น  มันต้องทบต้นซื้อไปตลอด    รักษาระดับผลตอบแทนยากมากเลยครับ
ส่งโดย: samco
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 3943  
   
101.109.15.*


« ความเห็นที่ #29 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 16:00:39 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

แต่จากข้อมูลท่าน Winter is coming จริงๆได้กัน  
 
ออกไปอยู่เอกชนได้เดือนละ 4 แสนกัน   จขกท.ไม่น่าต้องมาตัดสินใจอะไรให้ยุ่งยากแล้วนะครับว่าชีวิตจะเป็นยังไง  Grin
 
หมอรัฐบาลอย่างเราเห็นเงินเดือนเอกชนได้แต่มองตาปริบๆกับคุณภาพชีวิต   Cry
ส่งโดย: samco
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 3943  
   
101.109.15.*


« ความเห็นที่ #30 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 17:17:59 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 05/24/18 เวลา 15:49:19, samco wrote:

 
สอนวิธีเล่นหุ้นโดยได้ผลตอบแทนอย่างต่ำ 3 % ทบต้นไป 20 ปีหน่อยครับ     ของผมเล่นยิ่งเงินสะสมมากขึ้น ช่วงที่เติมเข้าไปจะยากมากเลยที่จะได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอเท่าเดิมครับ   เพราะการเอาเงินเดือนมาเล่น  มันต้องทบต้นซื้อไปตลอด    รักษาระดับผลตอบแทนยากมากเลยครับ

 
หุ้นที่ปันผลมาก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยgrowth ครับพี่samco ทำให้รักษาระดับผลตอบแทนจากปันผลได้สม่ำเสมอ เช่นPREB TVO KGI ASP ไรงี้  แต่จริงๆผมก็ไม่ค่อยชอบหุ้นแนวปันผลครับ ชอบหุ้นgrowth ทำกำไรจากcapital gainมากกว่าครับ

ส่งโดย: น้ำเน่าในเงาจันทร์ male
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 6054   Email
   
223.24.62.*


« ความเห็นที่ #31 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 18:12:05 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ตามอ่าน
ส่งโดย: SeReE
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1404  
   
1.0.153.*


« ความเห็นที่ #32 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 19:26:03 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 05/24/18 เวลา 15:49:19, samco wrote:

 
สอนวิธีเล่นหุ้นโดยได้ผลตอบแทนอย่างต่ำ 3 % ทบต้นไป 20 ปีหน่อยครับ     ของผมเล่นยิ่งเงินสะสมมากขึ้น ช่วงที่เติมเข้าไปจะยากมากเลยที่จะได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอเท่าเดิมครับ   เพราะการเอาเงินเดือนมาเล่น  มันต้องทบต้นซื้อไปตลอด    รักษาระดับผลตอบแทนยากมากเลยครับ

 
ซื้อหุ้นดีติดตามงบทุกไตรมาศ และกระจายความเสี่ยง 5-10 ตัวครับ
เริ่มดู VDO ของคุณกวี ชูกิจเกษม แล้วหาหนังสืออ่านครับ
ส่งโดย: bridge
สถานะ: Senior Member ****
จำนวนความเห็น: 356  
   
49.229.169.*


« ความเห็นที่ #33 เมื่อ: 05/24/18 เวลา 19:56:22 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ผมว่าอยู่รัฐก็โอ๋นะ.  เปิดคลินิกของตนเองด้วย.   ได้รับบำนาญอีก.  สบายตอนแก่.   และลงทุนด้วยหลายๆทาง
ส่งโดย: crv01
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1964  
   
182.232.239.*


« ความเห็นที่ #34 เมื่อ: 05/26/18 เวลา 16:44:45 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

เป็น FT เอกชนควรมีรายได้ 2.5 แสน/เดือน
ถ้าน้อยกว่านี้อยู่ราชการดีกว่า
ข้าพเจ้าเป็น FT Med ตั้งแต่อายุ 29
ตอนนี้ผ่านไป 13 ปีแล้ว อายุ 42
มีอสังหาคอนโด 12 ห้อง ( ราคาตั้งแต่ 1.5 ลบ- 6 ลบ)
 อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น 1 คูหา( 4 ลบ)
D/E < 0.5 กู้แบงค์น้อยกว่า 50%จองราคาอสังหา
คอนโดอยู่เอง 3 ห้องซื้อด้วยเงินสด ที่เหลือปล่อยเช่า
ลงทุนซื้อประกันสะสมทรัพย์ ได้เงินคืนแบบำนาญ 12 กรมธรรม์
จ่ายเบี้ยปีละ 5 แสน ใกล้ครบแล้ว เริ่มได้บำนาญอายุ 50
ซื้อ RMF และ LTF ตั้งแต่อายุ 29 สะสมมาเรื่อยๆ
ยังไม่เคยลงทุนหุ้น
เรียนเพิ่มหลักสูตรอื่นๆอีกมากมาย ใช้เงินส่งตัวเองเรียนเกือบ 2 ลบ
แค่ค้องการบอกว่าสำหรับข้าพเจ้าแล้วการอยู่เอกชนถือว่ามาถูกทาง
แต่เราต้องมีฐานคนไข้มากพอ และสร้างจุดแข็งให้ตัวเอง
ที่สำคัญต้องมีความรู้ด้านการลงทุน และมีรายได้หลายทาง
การมีรายได้ทางเดียว...เครียดและเหนื่อย
ณ จุดนี้ ข้าพเจ้ามีความมั่นคง มั่นใจ และภูมิใจในตัวเองมาก Cheesy
ส่งโดย: Omo
สถานะ: Junior Member **
จำนวนความเห็น: 79  
   
182.232.164.*


Page(s) : 1 


แจ้งลบกระทู้ แจ้งเมื่อมีคนตอบกระทู้นี้ แนะนำกระทู้นี้ Print



Reply this Topic reserved for registed member only. Register



  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by