« ความเห็นที่ #5 เมื่อ: 03/12/18 เวลา 12:23:11 » |
|
วิเคราะห์ ร่างพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทางการแพทย์ พ.ศ. .... จากมุมมอง (ส่วนตัว) ของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้หนึ่ง พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา 11 มีค. 2561 ผู้เขียนได้รับทรบว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อทำการยกร่างพ.ร.บ. วิธีคดีพิจารณาคดีทางการแพทย์ พ.ศ. .... และได้กำหนดวันรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ทั้งทาง website และทางการประชุม โดยผู้เขียนไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็น แต่มีน้องๆในวงการแพทย์ได้มาขอให้ผู้เขียนอ่านร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ และเชิญชาวนให้ผู้เขียนไปร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพ.ร.บ.นี้ด้วย ผู้เขียนเพิ่งมีเวลาอ่านร่างกฎหมายนี้ และขอสรุปสาระสำคัญของร่างกฎหมายนี้ดังนี้ หลักการและเหตุผล : ต้องการให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยต้องการความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ประกอบการพิจารณาพิพากษาของศา ล มีระบบการไกล่เกลี่ย และให้พิจารณาคดีโดยหลักการไต่สวน ในส่วนมาตราต่างๆ ผู้เขียนขออ้างเฉพาะหลักการหรือจความสำคัญที่จะมีผลต่อการพิจารณาคดีดังนี้ มาตรา 4 กำหนดให้มีเจ้าพนักงานคดี ทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีทางการแพทย์ โยมีหน้าที่ (1) ไกล่เกลี่ยคดีทางการแพทย์ (2) ตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน (3) บันทึกคำให้การพยาน (4) ดำเนินการให้มีการคุ้มครองสิทธิของคู่ความทั้งก่อนและระหว่างการพิจารณษ (5) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่พ.ร.บ.นี้หรือตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาในการช่ว ยเหลือนั้น กำหนดให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาแต่งตั้งเจ้าพนักงานคดต ามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ในมาตรา 5 มาตรา 6 ให้ประธานศาลฎีกาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รักษาการตามพระรา ชบัญญัตินี้ มาตรา 7 กระบวนการพิจารณาคดีทางการแพทย์ให้ใช้วิธีการไต่สวน มาตรา 8 ถ้ามีปัญหาว่าคดีใดเป็นคดีทางการแพทย์หรือไม่ ให้ประธานศาลอุทธรณ์เป็นผู้วินิจฉัย มาตรา 10 ผู้ใช้บริการต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 3 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าเสียหาย แต่ไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่มูลเหตุเกิดขึ้น มาตรา 11 ถ้ามีการเจรจาเกี่ยวกับค่าความเสียหายระหว่าง 2 ฝ่าย ให้อายุความสะดุดหยุดอยู่จนกว่าจะมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบอกเลิกเจรจา มาตรา 12 ศาลสามารถย่นหรือขยายระยะเวลาได้ตามที่คู่ความร้องขอ มาตรา 13 ให้มีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ประกอบด้วย (1) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ มูลเหตุแห่งคดีจำนวน 2 คน (2) คณบดีในมหาวิทยาลัยในสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับมูลเหตุแห่งคดีจำนวน 1 คน (3) ผู้อำนวยการสถานพยาบาลในสังกัดแห่งรัฐจำนวน 2 คน (4) ผู้แทนสภาวิชาชีพหรือกรรมการวชาชีพที่เกี่ยวข้องกับมูลเหตุแห่งคดีจำนวน 2 คน การแต่งตั้งคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งของแต่ละคดี ให้ศาลเป็นผู้แต่งตั้งจากบัญ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้นตาม ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา มาตรา 14 กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะมาเป็นกรรมการ มาตรา 15 ให้คณะกรรมการตามมาตรา 13ทำความเห็นเกี่ยวกับมาตรฐานการประกอบวิชาชีพและข้อเท็จจริงทางการแพทย์และ สาธารณสุข เพื่อเสนอต่อศาล มาตรา 18 การฟ้องคดีจะฟ้องด้วยวาจาและหนังสือก็ได้ มาตรา 20 ภายหลังการฟ้องคดีทางการแพทย์แล้ว ถ้ามีการฟ้องเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นวิธีใด ให้นำมาพิจารณารวมกันได้ มาตรา 21 คู๋ความอาจขอให้ศาลสั่งให้สืบพยานหลักฐานนั้นไว้ทันทีก็ได้ มาตรา 22 ผู้ยื่นคำขอตามมาตรา 21 อาจขอให้ศาลยึดหรืออายัดเอกสารหรือวัตถุที่จะใช้เป็นพยานเอกสารไว้ตามที่ศาล เห็นสมควร มาตรา 23 ศาลต้องกำหนดวันนัดพิจารณษโดยเร็ว และให้เรียกโจทก์ละจำเลยมาเพื่อการไกล่เกลี่ย มาตรา 24 ให้ศาลแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา13 มาตรา 25 ในกรณีคดีทางการแพทย์ที่เป็นการละเมิดให้ศาลทำการไกล่เกลี่ยก่อน หรือหาทางระงับข้อพิพาทตามที่ศาลเห็นสมควร มาตรา 26 ให้จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ หรือจะให้การด้วยวาจาก็ได้ มาตรา 29 ให้ศาลมีอำนาจเรียกพยานหลักฐานมาสืบได้เองตามที่เห็นสมควร มาตรา 30 ในการสืบพยานให้ศาลเป็นผู้ซักถาม ไม่ให้คู่ความหรือทนายซักถามพยานเอง มาตรา 31 การสืบพยาน ไม่ให้ศาลเลื่อนการสืบพยาน ยกเว้นมีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ให้ศาลเลื่อนได้ครั้งละไม่เกิน 15 วัน มาตรา 32 ศาลอาจจะเรียกผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการหรือผู้เชี่ยวชาญมาให้ความเห็นได้ และต้องให้คู่ความสามารถเรียกผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญในฝ่ายตนมาให้คว ามเห็นโต้ย้งได้ มาตรา 34 ศาลอาจวินิจฉัยจำนวนค่าเสียหายให้เหมาะสมได้ มาตรา 35 ศาลอาจกำหนดว่ายังคงสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาได้ในระยะเวลาที่ศาลกำหนด แต่ต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่มีคำพิพากษา วิเคราะห์ร่างพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทางการแพทย์ พ.ศ. .... ที่มาของการร่างพ.ร.บ.นี้ ทราบมาว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างกฎหมายนี้ นัยว่า เพื่อให้ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากการไปรับการบริการดูแลรักษาสุขภาพ แล้วเกิดผลที่ไม่ดีตามที่คาดหมายไว้ สามารถได้รับการช่วยเหลือเยียวยาโดยเร็ว และทำให้เกิดความยุติธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายผู้ป่วยที่ไปขอรับการรักษา และฝ่ายแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลที่ได้ทำการรักษาผู้ป่วย ความแตกต่างระหว่างวิธีการพิจารณาคดีทางการแพทย์แบบเดิม (คดีละเมิดทางแพ่ง) มีอยู่เพียงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ มาช่วยทำความเห็นเกี่ยวกับมาตรฐานการแพทย์ให้แก่ศาล รวมทั้งการขยายเวลาอายุความเป็น 10 ปี ส่วนประเด็นอื่นๆ ก็ดำเนินการตามกระบวนการพิจารณาคดีละเมิดทั่วไป ยกเว้นยึดหลักการไต่สวน คือให้ศาลไปสืบหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ ให้ศาลกำหนดอัตราค่าสินไหมทดแทนได้ตามสมควรแห่งความเป็นธรรม และให้โจทก์สามารถฟ้องด้วยวาจาได้ ความเห็นของผู้เขียน ผู้เขียนเห็นว่า เป็นการยกร่างกฎหมายที่ไม่จำเป็น และเป็นการออกระเบียบบังคับให้ศาลทำโน่น นี่นั่น ซึ๋งศาลทำอยู่แล้ว ผู้เขียนเสนอว่า น่าจะขอแก้ไขเพิ่มเติมวิธีพิจารณาคดีทางการแพทย์ ที่เป็นคดีละเมิด เพิ่มเติมในประกาศกฎกระทรวงตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 6 ที่ได้บัญญัติไว้แล้วมาเพิ่มเติมในการพิจารณาคดีทางการแพทย์ ก็น่าจะครอบคลุมกระบวนการพิจารณาคดีทางการแพทย์ได้ตามที่ร่างพ.ร.บ.วิธีพิจา รณาคดีทางการแพทย์ พ.ศ. .... ยกร่างไว้ โยไม่ต้องไปยกร่างกฎหมายใหม่เพิ่มขึ้นมาโดยไม่จำเป็น กล่าวคือกำหนดให้ศาลเรียกพยานผู้เชี่ยวชาญมาให้ความเห็น แต่ศาลสามารถชั่งน้ำหนักเองว่าพยานผู้เชี่ยวชาญนั้นสมควรเชื่อหรือไม่ และศาลสามารถแสวงหาพยานได้เอง รวมทั้งขอให้ศาลใช้วิธีการไต่สวนในการพิจารณาคดี ข้อสังเกตุ ผู้เขียนไม่ได้เรียนจบทางกฎหมาย จึงอาจเสนอความเห็นไปโดยอาจจะไม่ เข้าท่าก็เป็นได้ ขอผู้รู้โปรดช่วยแนะนำต่อไปด้วย
|
|