ThaiClinic.Com (http://www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl)
ห้องถามตอบสุขภาพ >> ทันตกรรม >> เรื่อง...น้ำมันตับปลา
(Message started by: mr.Boy on 03/05/10 เวลา 11:49:58)

Title: เรื่อง...น้ำมันตับปลา
ส่งโดย mr.Boy on 03/05/10 เวลา 11:49:58
สวัสดีครับคุณหมอ...

1) ไม่ทราบว่าพวกน้ำมันตับปลาช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงจริงหรือเปล่าครับ.... และควรทานตอนไหนดีครับจะให้ลูกอายุ 3 ขวบลองทานดูครับ

2) พวกที่ขัดฟัน เคยเห็นแบบ เทปขัดฟัน กับ ไหมขัดฟัน อย่างไรดีกว่าครับ....
แล้วที่ขัดฟันมีแบบไหนบ้างครับ

ขอบคุณคุณหมอครับ.... :)

Title: Re: เรื่อง...น้ำมันตับปลา
ส่งโดย หมอหนิง on 03/05/10 เวลา 13:40:17
น้ำมันตับปลา

         น้ำมัน ตับปลา (Cod liver oil) สกัดจากตับของปลาทะเล นิยมรับประทานเพื่อเสริมวิตามินเอ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเยื่อบุผิวให้เป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีวิตามินดี ที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมรวมทั้งฟอสฟอรัสบริเวณลำไส้เข้าสู่ร่างกาย ทำให้การสร้างกระดูกเป็นไปอย่างปกติ แต่หากได้รับวิตามินเกินขนาด โดยเฉพาะวิตามินเอและดี ก็อาจเกิดพิษจาก การสะสมวิตามินเกินความจำเป็น โดยมีอาการความดันในสมองสูง ปวดศีรษะ หิวน้ำ และปัสสาวะบ่อย ฯลฯ  

         น้ำมันตับปลาหมายถึง  สารที่สกัดจากตับของปลาทะเล  โดยมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ  วิตามิน เอ และวิตามิน ดี  ซึ่งช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของกระดูก  และนิยมใช้ในเด็ก

         การกินน้ำมันตับปลา ในปริมาณสูง ทำให้เกิดพิษจากวิตามิน เอ เช่น ปวดศีรษะ  อาเจียน มีอาการทางระบบประสาท ผมร่วง  ผิวแห้ง  และตับถูกทำลาย   ส่วนวิตามิน ดี มีผลเสียต่อระบบเลือด  ไตวายถึงขั้นเสียชีวิตได้  จึงไม่ควรซื้อน้ำมันตับปลาให้เด็กทานเป็นประจำ นอกจากแพทย์สั่งเพราะยาจะสะสมในร่างกายจนทำให้เกิดอันตรายได้

ที่มา
ภญ.วิภาจรี   นวสิริ  เภสัชกร
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
-----
1. ทานได้ค่ะ เรื่องขนาดที่รับประทาน ต้องดูที่ข้างขวด เพราะมีทั้งชนิดเม็ด และน้ำ วิธีการรับประทานต่างกัน ปกติ ก็สามารถทานได้ทั้งหลังอาหารเช้า-เย็นค่ะ
1.1 การรับประทานอาหารเสริม ควรรับประทานอาหารหลักให้ดีเสียก่อนนะคะ ได้แก่อาหารทั้ง 5 หมู่ วิตามินเอ ปกติก็มีอยู่มากในผลไม้ที่มีสีแดง ส้ม วิตามินดีก็มีมากอยู่ในอาหารพวกนม ไข่ และวิตามินดียังสามารถสังเคราะห์ได้ด้วยการออกกำลังกายรับแสงแดดตอนเช้าๆ ไม่เกิน 9 โมงเช้าด้วย
1.2 ประเด็นที่สำคัญในการป้องกันฟันผุ คือการหมั่นแปรงฟัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ น้ำตาลน้อย และควรพบทพ. ทุก 6 เดือน
1.3 แร่ธาตุทีมีส่วนป้องกันฟันผุที่ได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์แล้ว คือ ฟลูออไรด์ ซึ่งวิธีการใช้ฟลูออไรด์ ก็ได้แก่ การกิน(เม็ดหรือน้ำ) การให้ฟลูออไรด์เจลจากทพ. การเคลือบฟลูออไรด์ รวมถึงฟลูออไรด์ชนิดที่ผสมในยาสีฟัน ใน 2-3 วิธีแรกควรได้รับการแนะนำจากทพ. ก่อนนะคะ เพราะข้อดีของฟลูออไรด์มีมาก แต่ก็มีข้อเสีย หากใช้ผิดวิธีหรือมากเกินไปค่ะ
3. ชนิดเป็นเทป เหมาะฟันซี่ใหญ่ๆ ซอกฟันกว้าง แบบเป็นไหมจะซอกซอนได้ดีกว่า ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัวนด้วย สำหรับหมอ หมอชอบแบบเป็นไหมเส้นเล็กๆ มีแว๊กซ์เคลือบ แบบมีรสมินต์ ชื่นใจ เพราะรู้สึกว่า แบบไหมเส้นเล็กมันเข้าไปได้ลึกซึ้งดี น่ะค่ะ
นอกจากนี้ไหมขัดฟัน แบบมีแว๊กซ์เคลือบ กับไม่มีแว๊กซ์เคลือบ
- แบบมีแว๊กซ์ จะแทรกผ่านซอกฟันได้ง่ายกว่า
- แบบไม่มีแว๊กซ์จะขาดง่ายกว่า แต่ก็จะบางกว่า
โดยพื้นฐานก็ประมาณนี้ค่ะ



ThaiClinic.Com . All Rights Reserved.