« เมื่อ: 05/11/20 เวลา 17:09:30 » |
|
เดาว่ามูลเหตุมันประมาณนี้มั้ย - ผู้ใหญ่ในกรมการแพทย์, แพทยสภา, โรงเรียนแพทย์ต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังระเบียบบังคับต่างๆ ของ ศบค. ส่วนมากเป็นหมอ Med ซึ่งลึกๆ แล้วล้วนมีอคติกับหมอ Aesthetics - มีการตีตรามากมาย ว่าเป็นแพทย์พาณิชย์ หมอหน้าเงิน เป็นพวกไม่ยอมรับใช้สังคมทั้งๆ ที่ประเทศชาติให้งบประมาณเรียนหมอตั้งเยอะ - ซึ่งในขณะเดียวกัน หมอ Aesthetics จำนวนไม่น้อย ก็มี Attitude ที่ไม่ค่อยน่ารักแบบที่โดนอคตินั้นจริงๆ - สังเกตได้จากรุ่นน้องๆ ที่จบหมอใหม่ๆ 5 ปีที่ผ่านมานี้ ลาออกจากใช้ทุนมาเข้าวงการ Aesthetics กันเยอะขึ้นเรื่อยๆ และมีความกล้าได้กล้าเสียมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นปกติที่แต่ละคนจะเรียนคอร์สระยะสั้นไม่ถึงสัปดาห์ แล้วออกมาทำงานจริงเลย เสียค่าเรียนเป็นแสนๆ ให้กับหมอความงามรุ่นโตๆ ที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์ - เห็นได้จากว่าหลังๆ คลินิกที่ non-MD เป็นเจ้าของมาเปิด ขายเวรหมอ freelance parttime ง่ายมาก เพราะคนเยอะเกินตำแหน่งงาน มีงานอะไรมาคนรุ่นเด็กที่ประสบการณ์น้อยๆ ก็ต้องรีบตะครุบไว้ก่อน ไม่งั้นไม่ได้เงิน - หลังๆ หลายคลินิกให้ค่ามือฉีดฟิลเลอร์แค่ซีซีละ 1,000 ค่ามือเสริมจมูกเคสละ 3,000 ก็ยังมีคนรับงาน บางทีคนประสบการณ์น้อย เพิ่งเข้าวงการอาจหาตรงนี้เป็นที่ฝึกมือช่วงยังไม่เก่งไปด้วย - คนที่อยู่ในวงการเอง ก็ยอมรับว่ามันเน่าเฟะเพราะหมอด้วยกันเอง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะผลตอบแทนมันยั่วยวนให้คนเข้ามาทำกันเยอะ แม้แต่คนไม่ใช่หมอก็มาเปิดคลินิก แล้วจ้างหมอถูกๆ ได้ และยิ่งมีแหล่งยาหิ้ว ราคาถูกกว่า 1/3 ที่หมอรายใหญ่ฮั้วกับศุลกากรนำเข้ามา - เลยกลายเป็น red ocean ศึกสงครามราคาแดงเดือด คล้ายๆ สายการบินโลว์คอส หนักหน่วงยิ่งกว่าคอนโดลดราคาช่วงนี้ซะด้วย ซึ่งแพทยสภา กรมสบส. กรมการค้าภายใน ก็เข้ามาทำอะไรไม่ได้ - ผู้ใหญ่ในกระทรวง รวมถึงอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังศบค. เลยคงอยากบีบคลินิกความงาม ให้มันซบเซายาวๆ พวกคุณภาพต่ำจะได้อยู่ไม่รอด ปิดๆ ไปบ้าง คนที่เข้าวงการมาไม่นานที่พอจะกลับตัวทัน จะได้เห็นว่ามันไม่มั่นคง บทจะแย่ก็คือไม่มีกินไปเลย เผื่อคนจะคิดได้และกลับเข้าระบบรพ.เป็นหมอรักษาโรคแบบที่ร่ำเรียนมา 6 ปี - และยังน่าจะเป็นการ เชือดไก่ให้ลิงดู ด้วยมั่ง ไก่ ก็คือคนทำความงามปัจจุบันที่กำลังไม่มีจะกิน ลิง ก็คือหมอจบใหม่ intern ในระบบที่จ่อจะลาออกดี/ไม่ออกดี
|
|