« เมื่อ: 07/11/19 เวลา 21:53:01 » |
|
++++เนื่องจากกระทู้เก่าหายไปอย่างไร้ร่องรอย คาดว่าเพราะมีการพาดพิงถึงสถาบันมากเกินไป แต่เราคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อน้องที่ต้องการเรียนต่อจริงๆ จึงขออนุญาตตั้งกระทู้ขึ้นมาใหม่ โดยที่ไม่มีการเอ่ยชื่อสถาบันให้เสียชื่อเสียง แต่ให้รุ่นน้องได้ทราบ ว่าเราควรคิดให้ดีก่อนตัดสินใจเรียนที่ไหน เพราะนั่นอาจส่งผลต่อชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดของน้องเลยทีเดียว สืบเนื่องจากกระทู้ที่มีคนตั้งถึงว่า ENT เป็นภาควิชาที่มีแพทย์ประจำบ้านป่วยซึมเศร้ามากที่สุดในสถาบันชื่อดังแห่งหน ึ่ง คือสูงถึง 53% มากกว่าศัลยศาสตร์และอายุรศาสตร์ ในฐานะของคนที่เคยเป็นเด้นที่นั่น ขอบอกเลยว่า "ไม่แปลกใจ" http://www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=doctorroom;action= display;num=1561997147;start=0 ส่วนตัวจบออกมาหลายปีแล้ว ได้คุยกับรุ่นน้องหลายคนคิดว่าระบบอะไรก็คงยังคล้ายๆเดิม จะขอรวบรวมสิ่งที่คิดว่าเป็นปัญหามาสาธยายให้ฟังตรงนี้เลยแล้วกัน เพราะว่าอัดอั้นมาหลายปีแล้ว ไม่รู้จะระบายที่ไหนดี 1.ENT ที่โรงเรียนแพทย์แห่งนี้มีจำนวนเตียงค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับที่อื่น วอร์ดชาย วอร์ดหญิง วอร์ดเด็ก วอร์ดพิเศษ ฯลฯ ซึ่งการทำงานซ้ำซ้อนมากๆ เช่น การไม่ยอมแยกสายทำงานให้ชัดเจน - วอร์ดหญิง+เด็ก รวมเป็นสายเดียว ประมาณ 20-30 เตียง ใช้ R3 2-3 คน R2 2-3 คน R1 3-4 คน และคาดหวังให้ทุกคนต้องรู้ทุกเคส ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเคสเทิร์นเร็วมาก แอดมิดบางวันเป็นสิบเคส กว่าจะราวด์เสร็จก็ค่ำมืด แล้วหลังราวด์ถึงจะเป็นเวลาทำวอร์ดเวิร์ค เช่น ทำแผล สรุปชาร์ท กว่าจะเสร็จก็ 3-4 ทุ่มทุกวัน ซึ่งจริงๆแล้วหากแยกสายกันราวด์ มี R3เป็นชีฟสายละ 1 คนก็พอ แบบนี้น่าจะทำงานเสร็จไม่เกินหนึ่งทุ่ม แต่ก็ไม่ทำ - วอร์ดชาย ก็คล้ายๆกัน มีประมาณ 20 เตียง ใช้ R3 อยู่ในสายเดียวกัน 3 คน ไม่ยอมแยกสาย A สาย B เหมือนสาขาวิชาอื่นๆ 2.นอกจากราวด์เคสในวอร์ดตัวเองแล้ว ยังต้องราวด์เคสนอกวอร์ดด้วย เช่น ถ้าวันพรุ่งนี้คุณจะเข้า OR เคสของวอร์ดหญิง แต่ตัวเองราวด์อยู่วอร์ดชาย ก็ต้องไปรับเคสที่วอร์ดหญิง ต้องตามไปราวด์ทุกวัน แล้วรายงานเคสให้อาจารย์ทราบ เท่ากับว่าคนไข้หนึ่งคนจะมีคนราวด์สองคน คือเด้นวอร์ด และเด้นที่เข้า OR นึกภาพนะ เหมือนคุณเป็นเด้นศัลย์ราวด์สาย colorectal แต่ทุกเช้าก่อนจะราวด์สายตัวเองต้องเดินไปราวด์เคส vascular ด้วย อะไรทำนองนั้น 3.สำหรับเวลาราวด์ตอนเช้า โดยเฉลี่ยสำหรับ R1 คือ 6.00-6.15 น. และอาจจะ 5.30 น. สำหรับอาจารย์บางท่าน เนื่องจากอาจารย์ attending จะมาราวด์ทุกเช้า เวลา 7.00 น. จึงต้องราวด์ให้เสร็จก่อนอาจารย์มา (ถามว่าทำไมไม่มาตอนเย็นเหมือนศัลย์ ก็เพราะอาจารย์มีงานนอกตอนเย็นไง เลยอยู่เย็นไม่ได้) 4.ถามว่า ถ้าช่วงไหนเคสในวอร์ดน้อย จะมาสายหน่อยได้ไหม คำตอบคือไม่ได้นะ อาจารย์ให้พยาบาลวอร์ดคอยสอดส่อง จดเวลาที่ Resident มาถึงวอร์ด ต่อให้ไม่มีเคสเลยก็ต้องมาถึงก่อน 6.15 ไม่อย่างนั้นอาจมีผลต่อการเลื่อนชั้นหรือส่งสอบบอร์ดได้ 5.การรับใบ consult ในเวลาราชการ กลางวันคุณต้องไปออก OPD เข้า OR แล้วค่อยออกไปเดินดูเคส consult หลังราวด์เย็นเสร็จ คิดสภาพ กว่าจะราวด์เสร็จก็สองทุ่มแล้ว จะเคลียร์ใบหมดก็ห้าทุ่มเป็นปกติ (ย้ำอีกที นี่ไม่ใช่เวรนอกเวลานะ) 6.ที่นี่ไม่มีการพักเที่ยง ใครที่เคยไปเซเว่นหรือเดินตลาดนัดตอนเที่ยงขอให้ลืมมันไปซะ ทั้ง OPD และ OR ต้องสั่งร้านข้าวให้มาส่งเท่านั้น - OPD ถ้าคนไข้เช้าไม่หมด มากินข้าวไม่ได้ หรือถ้าตรวจเสร็จเร็ว สามารถแวะมากินในห้องพักแพทย์ได้ แต่ต้องรีบกินรีบทำงานต่อ รวมเวลามาพักไม่ควรเกิน 15 นาที - OR มีความยัดเคสอย่างยิ่ง ภาควิชาอื่นถ้าทำเคสเช้าเสร็จตอน 12.00 อาจจะเซตเคสต่อไปตอน 13.00 แต่สำหรับ ENT จะเซตต่อไปเลย 9.00-11.00, 11.00-12.00, 12.00-13.00,13.00-22.00 คือเซตแบบไม่ให้มีช่วงพักกินข้าว การกินข้าวเที่ยงตอนเย็นจึงเป็นเรื่องปกติ เหมือนพยายามยัดเคสให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะยัดได้ สมัยเรียนเคยโดน 9 เคสในวันเดียวมาแล้ว 7.ความเครียด ความกดดัน มหาศาลมากๆ เหมือนถูกจับตาอยู่ทุกฝีก้าว ทำอะไรพลาดนิดหน่อยสามารถโดนกระทืบจมดินได้ทันที 8.เครียดกับงานวิจัยแบบทำเอาโล่ คือทำเอาโล่จริงๆไม่ได้เปรียบเปรยนะ โรงเรียนแพทย์แห่งนี้ได้รางวัลงานวิจัยแทบทุกปี อาจารย์ได้หน้า แต่สร้างความกดดันให้ Resident อย่างมหาศาล ผิดกับสถาบันอื่นที่ชิวกว่ามาก 9.อาจารย์คือพระเจ้า ต้องทำทุกอย่างให้อาจารย์พอใจ คอยเอาใจทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นอาจถูกซ้ำชั้นหรือไม่ส่งสอบบอร์ดได้ตลอดเวลา 10.สถาบันแห่งนี้อาจจะดูดี ตรงที่สอบบอร์ดผ่าน 100% แทบทุกปี แต่บอกเลยว่าเป็นเพราะใครที่หัวอ่อนหน่อยจะโดนบีบให้ออกด้วยการซ้ำชั้นหรือไ ม่ส่งสอบ ไม่ใช่เพราะ Academic ดีแต่อย่างใด ซึ่งตรงนี้เป็นความเห็นแก่ตัวของสถาบันเป็นอย่างยิ่ง เพราะอยากรักษาหน้า อ้างว่าไม่อยากให้มีแพทย์เฉพาะทางที่คุณภาพต่ำ แต่ความจริงแค่อยากรักษาสถิติ และความเห็นแก่ตัวบ้าๆนี้ก็ทำลายชีวิตแพทย์มาไม่รู้กี่คนแล้ว 11.วอร์ดอย่างออโถ เคสเยอะกว่า ENT มาก แต่เขาเหนื่อยน้อยกว่าเรา น่าจะเพราะแบ่งสายราวด์ตามอาจารย์ไปเลย ไม่ได้ต้องราวด์ซ้ำซ้อน 12.ทำงานอย่างหวาดระแวง ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลา ต่อให้ตั้งใจทำงานแบบถวายหัวแต่อาจารย์ไม่ชอบหน้า ก็สามารถโดนสั่งให้ซ้ำชั้นหรือไม่ส่งสอบได้เสมอ ตรงนี่น่าจะเป็นจุดที่ทำให้เครียดกว่าวอร์ดอื่นๆ คือทำงานหนักไปก็ไม่แน่ว่าจะได้สอบบอร์ด 13.ต่อหน้าอาจารย์ต้องพยายามเสแสร้ง ทำเป็นว่าชอบงานหนักๆ ชอบเรียนรู้ บลาๆๆ ยังไงก็ได้ให้อาจารย์พอใจ 14.เคสเป๊กที่มาจากคลินิกพิเศษ คลินิก หรือโรงพยาบาลเอกชน อาจารย์ชอบเซตเคสนอกเวลา ทั้งเย็นวันธรรมดา เช้าวันหยุด หรือตามแต่อาจารย์จะสะดวก อาจารย์ได้เงินแต่เกณฑ์ Resident ไปทำงานเข้าเคสแถมยังต้องตามราวด์ให้ด้วย ตรงนี้มองว่าเป็นการ Abuse มากๆ แต่บ่นอะไรไม่ได้ เพราะอย่างที่บอกไป เดี๋ยวไม่ได้สอบบอร์ด 15.ระหว่างเทรนเราเคยเป็น MDD ต้องแอบไปปรึกษา Psychy ตอนช่วงวันหยุดเป็นประจำ กว่าจะเทรนจบก็เสียน้ำตาไปหลายลิตร แต่ให้อาจารย์รู้ไม่ได้ ต่อหน้าก็ต้องเสแสร้งทำเป็นว่า happy กับระบบเน่าๆแบบนี้ 16.เคยคิดอยากเสนอให้แบ่งสายราวด์ตามสาขาเหมือนอย่างศัลย์หรือออโถ แล้วไม่ต้องมีเด้นประจำวอร์ดมาราวด์ทับซ้อน ถ้าแบบนี้จะลดงานได้มาก แต่สุดท้ายก็ได้แต่ทน เสนอไม่ได้ กลัวโดนหาว่าขี้เกียจ 17.สมัยเป็น R1 มีเพื่อนบางคนที่คิดขนาดว่าจะลาออก ยอมติดแบนหนึ่งปีแล้วไปสมัครเรียน ENT ที่อื่น ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เป็น GP *****เรื่องการลาออก ยอมติดแบน เสียเวลาสองปีไปสมัคร ENT ที่อื่น มีคนพูดกันขำๆทุกปี แต่ไม่แน่ใจว่าเคยมีใครทำจริงหรือเปล่า ขออ้อนวอนอาจารย์สถาบันอื่นว่า หากพบเจอน้องๆกลุ่มนี้มาสมัคร ได้โปรดเมตตาและให้โอกาสน้องด้วย น้องกลุ่มนี้ไม่ใช่คนไม่อดทน แต่ที่นี่มันเกินกว่าที่คนทั่วไปจะทนได้จริงๆ และน้องที่จะทำแบบนี้คือน้องที่รัก ENT มาก ถึงได้สมัคร ENT อีกครั้ง ทั้งที่เจอประสบการณ์เลวร้ายกับมันมาแล้ว ขออย่าได้ตัดสินน้องๆเพียงเพราะการตัดสินใจผิดพลาดเพียงครั้งเดียวเลย 18.มีหลายคนที่ต้องลาออกไป บางคนไปทำสกิน บางคนไปเรียนปลูกผม บางคนไปเสริมจมูก และบางคนเลิกเป็นหมอ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทุกคนชอบ ENT จริงๆ และสามารถเป็นแพทย์เฉพาะทางที่ดีได้แน่ๆถ้าหากตอนนั้นไม่เลือกมาเรียนที่นี่ 19.ที่นี่ถือคติ "เด็กผิดเสมอ" เกิดปัญหาขึ้นก็จะอ้างว่า "รุ่นก่อนๆยังผ่านมาได้" และไม่เคยคิดจะโทษระบบหรือตัวอาจารย์เลย 20.การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นที่นี่ เพราะอาจารย์คิดแต่ว่า "ระบบมันดีอยู่แล้ว" และ "ทำงานเยอะๆจะได้เก่งๆ" แค่นี้เลยจริงๆ 21.การร้องไห้ หรือไปพบจิตแพทย์ หากอาจารย์รู้ก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อตัว Resident เพราะจะยิ่งถูกเพ่งเล็งมากขึ้น และอาจารย์จะมี Bias ต่อตัว Resident คนนั้น ว่าอ่อนแอ ไม่อดทน ดังนั้นต่อให้จะเจ็บปวดแค่ไหนพออยู่ต่อหน้าอาจารย์ก็ต้องทำเหมือน Happy ดีเสมอ 22.ทุกวันพุธจะมีอาจารย์ท่านหนึ่งมาราวด์เย็นโดยให้แพทย์ประจำบ้านทุกคนเข้า ร่วม ราวด์ไปด่าไป ไล่กินหัวเด้นไปเรื่อยๆ จนพอใจแล้วก็จะเลิกตอนประมาณสามทุ่ม หลังจากนั้นถึงแยกย้ายกันไปทำวอร์ดเวิร์ค ทำให้ทุกวันพุธจะได้กลับหอประมาณเที่ยงคืนเป็นปกติ ถามว่าได้ประโยชน์มั้ย เอาเป็นว่าน้อยมากแล้วกัน 23.สุดยอดของงานเอกสาร ละเอียดยิบย่อยมาก ทั้งใบรับรองแพทย์ ใบ consult ใบสรุปชาร์ท ห้ามมีจุดผิดพลาด ไม่งั้นโดนด่าเปิง เคยมีเพื่อนโดนเรียกไปด่าเพียงเพราะเขียนใบรับรองแพทย์แล้วใช้คำไม่ถูกใจ 24.ตอนที่เทรนทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตเสียไปมากๆ จากเคยสุขภาพดี วิ่งสัปดาห์ละสามวัน กลายเป็นคนร่างกายอ่อนแอ เรากลายเป็นคนเหวี่ยงวีนอย่างไม่น่าเชื่อ ทะเลาะกับแฟนก็หลายครั้งเพราะการที่เราวีนทุกเรื่อง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นมาก่อน 25.ระบบ Sotus เข้มข้นมาก R3 จะเหวี่ยงวีน R1 ในหลายเรื่องทั้งที่สอนกันดีๆก็ได้ ตอนเป็น R1 เราเกลียดพี่ R3 ไปเลย แต่พอตัวเองเป็น R3 แม้จะพยายามไม่เหวี่ยงแต่ก็มีหลุดบ่อยๆ น่าจะเพราะความกดดันสูงมากทำให้เราเผลอเอาความเครียดตัวเองไปลงที่น้อง เรื่องนี้รู้สึกผิดกับน้องมากๆ 26.ที่สุดของการลองใจ อะไรๆก็เชื่อถือไม่ได้ อาจารย์ชอบลองใจเป็นที่สุด หลายๆครั้งคิดว่าอาจารย์เมตตาแต่ความจริงคือลองใจ เช่น ถ้าเราเข้า OR แล้วไม่ได้พักเลยตั้งแต่เช้าจนถึงห้าโมง อาจารย์บางคนจะแกล้งบอกให้ไปพักกินข้าว ซึ่งห้ามหลงเชื่อเด็ดขาด สิ่งที่ต้องตอบคือ "ไม่ค่ะอาจารย์ หนูอยากเรียนรู้ อยากทำงานเยอะๆ ยังไม่อยากกินข้าว" ถ้าใครตกหลุมพราง แวะไปกินข้าวจริงๆจะโดนด่าไปอีกสามชาติ 27.เมื่อสองหรือสามปีที่แล้ว น้องที่เรารู้จักคนหนึ่ง เป็นคนขยันพอตัว อดทน และมีความรู้พอจะสอบบอร์ดผ่านแน่ๆ กลับโดนไม่ส่งสอบบอร์ด โดยอาจารย์ให้เลือกว่าจะอยู่เป็นเด้นสามอีกปีหรือจะลาออกไป เรื่องนี้ทำให้น้องเครียดถึงขั้นต้องกินยาจิตเวชเหมือนกัน 28.ที่นี่มีความบ้าพลัง ชอบโชว์ว่าตัวเองเก่งแบบไม่สนใจคุณภาพชีวิตของคนไข้ ไม่รู้จักคำว่า NR มีคนไข้นึงที่เราจำฝังใจ คือหญิงอายุ 70+ เป็น CA thyroid c lung,liver,bone metastasis คุณภาพชีวิตดี เดินได้ พูดคุยได้ ใช้ชีวิตได้ปกติ ถูก set ไปทำ OR ใหญ่โต กินเวลาเป็นสิบชั่วโมง postop ต้องอยู่ ICU ยื้อกันอยู่เป็นเดือน arrest ไปหลายรอบ สุดท้ายป้าก็จากไป ตรงนี้เข้าใจว่าอาจเป็นสไตล์ของสถาบันนี้ คือลุยเต็มที่ทุกอย่าง ซึ่งไม่ตรงจริตเราเลย ตั้งแต่จบมา ถ้าเจอเคสแบบนี้เราคุย NR ตลอด ญาติเข้าใจ คนไข้เข้าใจทุกคน คนไข้ที่เป็น end-stage เหล่านี้ยังอยู่โดยมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกหลายเดือน บางคนอยู่ได้เกือบสิบปี 29.ได้ยินว่ามีน้อง R1 ปีนี้หลายคนบ่นอยากลาออกแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งเริ่มเทรนได้ไม่นาน ซึ่งก็เป็นมาทุกปี คิดว่าเกิดจากอะไรถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่มีปัญหาจริงๆ 30.คนที่ทนจนจบมาได้อย่างเราก็ยังงงตัวเองว่าทนได้ยังไง เสียทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต จากร่างกายแข็งแรง ไม่เคยมีโรคประจำตัว กลายเป็น Fibromyalgia และ anxiety ต้องคอยไปกายภาพ ทุกสัปดาห์ และ F/U จิตเวชตลอด หากย้อนเวลาไปได้อาจจะรีบลาออกตั้งแต่ R1 จะได้ไม่ต้องเสียสุขภาพระยะยาวแบบนี้ 31.เราพูดได้อย่างเต็มปากว่า "ENT ที่สถาบันแห่งนี้ งานหนักยิ่งกว่า general surgery ของโรงเรียนแพทย์ที่อื่นเสียอีก"
|
|