แจ้งลบกระทู้ แจ้งเมื่อมีคนตอบกระทู้นี้ แนะนำกระทู้นี้ Print

 หัวข้อ 39899: บ่นเรื่องหุ้น  (จำนวนคนอ่าน 465 ครั้ง)
« เมื่อ: 03/09/25 เวลา 08:10:52 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

เฟสเราบ่นเรื่องหุ้น แนวคิดการลงทุน รวมถึงเอาประเด็นเกี่ยวกับหุ้นและการลงทุนมาพูดคุยตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  
 
“ไม่ชักชวนให้ใครซื้อหุ้นตามทั้งสิ้นนะครับ”
 
ใครซื้อหุ้นอะไร ตัดสินใจซื้อกันเอง หุ้นขึ้นก็ยินดีด้วย หุ้นลงก็เสียใจด้วย  
 
อย่ามาบอกว่าซื้อตามเราแล้วขาดทุน หรือซื้อตามเราแล้วกำไร เราไม่ชวนใครซื้อหุ้นใดๆ  
 
การซื้อ คือคุณตัดสินใจเอง ถ้าขาดทุนก็เพราะคุณตัดสินใจซื้อ ถ้ากำไรก็เป็นเพราะคุณตัดสินใจซื้อเช่นกัน
 
หุ้นหลายตัวที่เราพูดถึง เราไม่ได้ซื้อก็มี แต่ที่เอามาพูดเพราะมันมีประเด็นข่าวที่น่าสนใจ หรือมีประเด็นทางปัจจัยพื้นฐานที่น่าสนใจ ก็แค่เอามาพูดคุยกันในเนื้อหาของงบการเงินและการดำเนินธุรกิจ  
 
และเราก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องคอยติดตามหุ้นให้ใคร  ไม่ว่าจะเป็นประเด็นในทางบวกหรือลบก็ตาม  
 
รวมถึงถ้าเราซื้อหุ้น ขายหุ้นที่เรามี ก็ไม่ได้แปลว่าเรามีหน้าที่จะต้องมาเล่าให้ใครๆฟัง  
 
ถ้าจะเล่าถึงก็เป็นเพราะเราอยากเล่าก็เท่านั้น  “ไม่ใช่หน้าที่”ของเราที่ต้องมาติดตามหุ้นให้ใคร  
 
นักลงทุนทุกคนต้องติดตามบริษัทที่ตัวเองมีหุ้นด้วยตัวเอง (อันนี้สำคัญมาก)
 
ต้องคิดเสมอว่า
คุณกำไรคุณเก่งเอง คุณอวดได้ว่าคุณเก่ง
คุณขาดทุนคุณพลาดเอง ไม่อวดก็ได้แต่อย่าโทษสิ่งรอบตัว ต้องโทษตัวเอง
เพราะคุณคือผู้ที่ตัดสินใจซื้อหุ้นเอง
 
อันนี้ออกตัวไว้ก่อน นานๆทีก็ต้องบ่นเรื่องนี้ทีนึง เพื่อเตือนสติคนที่ตามอ่าน 😊
 
Cr.เพจคุณjoe
« แก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อ: 03/09/25 เวลา 08:12:41 by <<GOOD LIFE>> »

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 973  
   
125.26.238.*


« ความเห็นที่ #1 เมื่อ: 03/10/25 เวลา 04:48:17 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ซื้อหุ้นตามคนอื่น โดยไม่ดูปัจจัยพื้นฐาน  งบดุล แนวโน้ม ราคา มูลค่า เป็นวิธีการทำให้เสียเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
ส่งโดย: 6699
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1527  
   
223.205.216.*


« ความเห็นที่ #2 เมื่อ: 03/11/25 เวลา 14:46:37 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ช่วงแรกของชีวิต&#8252;&#65039;
 
ผมทำงานหนักและโหดมาก
 
นับได้ประมาณ 120 ชม.ต่อสัปดาห์
 
(เป็นทั้งหมอสูติและหมอมะเร็งนรีเวช เป็นอาจารย์สอนน้องๆนักศึกษาแพทย์ และยังสวมหมวกอีกใบเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัว)
 
ชนิดที่ว่าในฝัน...ก็ยังต้องทำงาน&#128517;
 
ไม่รู้ว่าตอนนั้นทำไปได้ยังไง
.
.
หลังอายุ 45 ปี
 
ผมใช้เวลาทำงานน้อยลงมาก
 
เหลือไม่ถึง 20 ชม.ต่อสัปดาห์  
 
และกำลังจะน้อยลงอีก จนเป็นศูนย์
 
#เพราะแรงไม่ดี&#10060;
#เพราะไม่มีคนจ้าง&#9989; &#129325;
 
 
ทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยเงินที่ไม่ทำงาน ปันผลหุ้น ปันผลสหกรณ์ บำนาญ สมควรตามอัตภาพ
 
ได้ทำอะไรสนุกๆ ตาม"ข้อแม้"ของตัวเอง  
 
ปล.ยังทำอยู่ แค่เปลี่ยนวิธีการ
ให้เหมาะกับพลังงานและสังขารของตัวเอง
.
.

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 973  
   
122.155.38.*


« ความเห็นที่ #3 เมื่อ: 03/11/25 เวลา 14:49:18 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

=ใช้ชีวิตตามข้อแม้ของตัวเอง=
..
Passive income คือเงินจากการไม่ต้องทำงานหรือทำก็ทำน้อยมาก  
 
ถ้าเมื่อไหร่ที่เราสร้างให้มี passive income ที่มากพอ จนครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด แปลว่าเรามีอิสระแล้ว เราไม่ต้องทำงานแล้ว ที่นี้ก็เลือกทำงานได้ คราวนี้ก็มาหาสิ่งที่ตัวเองชอบมากขึ้น ทำในแบบที่เป็น"ข้อแม้"ของเราเอง (on my own term) ทำเวลาไหนก็ได้ ตื่นเวลาไหนก็ได้
 
โดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับคำว่า"ความปรารถนา" การมีความต้องการใหม่ๆไม่ต้องมีความรู้สึกผิดกับมัน เวลาคุณตื่นเต้นกับอะไรใหม่ๆ จงทำมัน, เวลามี passion กับอะไรใหม่ๆ จงทำมัน, ถ้าเบื่อแล้ว เลิกทำ ถ้าเบื่อกับอะไรแล้ว เลิกทำ ไม่ต้องทำแล้ว พอแล้ว คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อไปรับใช้อะไรทั้งสิ้น คุณเกิดมาเพื่อขยายตัวเอง มีความสุขกับตัวเอง ใช้ชีวิตตามจุดประสงค์ของตัวเอง
 
การได้ใช้ชีวิตตาม"ข้อแม้"ของตัวเอง นี่คืออิสรภาพ  
 
ชาลี มังเกอร์ พูดไว้ว่า จุดประสงค์ของการร่ำรวยคือคุณจะได้ไม่ต้องทนทำงานกับคนที่คุณไม่ชอบ คุณไม่ต้องทำงานใน project ทั้งหลายที่คุณไม่ชอบ สามารถนั่งอยู่ที่บ้าน แต่ทำเงินมหาศาลได้
 
โดยส่วนตัว..ใช้การลงทุนในหุ้นเป็นเครื่องมือสร้าง passive income เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องร่างกาย อายุเท่าไหร่ก็ทำได้
 
โดย
-เลือกหุ้นที่ชอบ คัดมาแล้ว บริษัทที่เราอยากเป็นเจ้าของจริงๆ
-เน้นบริหารต้นทุน  
-เพิ่มจำนวนหุ้น  
-เพื่อให้ได้รับปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีๆ
..
ไม่ได้เล่นหุ้นในความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจคือต้องซื้อๆขายๆ นั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวัน แต่การลงทุนในที่นี้หมายถึงการวิเคราะห์บริษัท วิเคราะห์ธุรกิจ และเข้าถือหุ้น เพื่อเป็นเจ้าของจริงๆ ในราคาที่เหมาะสม ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ธุรกิจได้สร้างขึ้นและมูลค่าธุรกิจที่มากขึ้น  
..

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 973  
   
122.155.38.*


« ความเห็นที่ #4 เมื่อ: 03/11/25 เวลา 14:50:53 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ทำงานเพื่อ&#8252;&#65039;
..
ด้วยความที่เป็นหมอทางด้านสูตินรีเวช  
ซึ่งเลี่ยงไม่ได้..ที่ต้องอยู่เวรดูแลคนไข้  
ต้องโดนตาม..ตื่นมาทำคลอดตอนดึกๆดื่นๆอยู่เสมอ
 
และหมวกอีก 1 ใบ ก็คือเป็นหมอมะเร็งนรีเวช ซึ่งการผ่าตัดมะเร็งเป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดซับซ้อนใช้เวลานาน แต่ละเคสกินเวลาไม่ต่ำกว่า 3-5 ชั่วโมงต่อคนไข้ 1 ราย...เรียกว่าต้องใช้ร่างกายและสมาธิหนักพอสมควร...ตอนหนุ่มๆ ทำได้อย่างสบาย...หนักเหนื่อยแค่ไหน ได้นอนพักวันรุ่งขึ้นก็มีแรงฟื้นตัวกลับมาทำได้ใหม่...เนื่องด้วยเป็นสิ่งที ่เราชอบ
 
...แต่พออายุล่วงเลยเลข 4 ขึ้นไป...ร่างกายเริ่มถดถอยสร้าง growth hormone ได้น้อยลง...จึงไม่สามารถอดนอนได้เท่าเดิม...ยืนผ่าตัดนานๆก็ปวดเมื่อยทั่วต ัว ทั้งคอ หัวไหล่ บ่า เข่า ตึงไปหมด...ทำให้ตระหนักว่าถึงจะรักแค่ไหน แต่เวลาที่ทำงานได้ของเรามีจำกัด&#8252;&#65039;
 
ความคิดในตอนนั้น...จึงเปลี่ยนโฟกัส
จากการรีบใช้เงินที่หามาได้...  
เป็นการใช้เงินเพื่อสะสมสินทรัพย์
.
ความคิดนี้จึงทำให้มองหาทรัพย์สิน ที่สามารถสร้างรายได้ในระยะยาว เช่น ออมในสหกรณ์  หุ้น อสังหา เพื่อเอาไว้สร้างกระแสเงินสดให้ใช้  ในยามที่แรงกายของเราลดน้อยถอยลงไป...ให้เราได้มีทางเลือกมากขึ้น ใช้ชีวิตอย่างยืดหยุ่นขึ้น ในบั้นปลายของชีวิต
..

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 973  
   
122.155.38.*


« ความเห็นที่ #5 เมื่อ: 03/11/25 เวลา 14:53:45 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

สำหรับน้องๆจบใหม่  
=10 ปีแรกของการทำงาน=  
-อย่าสร้างหนี้จน  
-แต่ให้อดทนสร้างสินทรัพย์  
..
แพทย์จบใหม่รับราชการเงินเดือน 18,000 บาท ถ้ารวมเงินเพิ่มพิเศษและเงินเวร จะมีรายได้ประมาณ 7 หมื่นถึงแสน ขึ้นอยู่กับความขยันที่จะ "อดนอน" รับเวรดูแลคนไข้
(ส่วนน้องๆพยาบาลจบใหม่รายได้รวมๆ 3-4หมื่นบาท)
..
ถ้าอยากสบายเร็ว ไม่อยากต้องกลับไปทำงานเหนื่อยซ้ำๆอีก
 
ช่วงแรกๆของการทำงานให้ใช้ชีวิตแบบประหยัดไปซักระยะหนึ่งก่อน ใช้ให้มากกว่าตอนเป็นนักศึกษานิดนึงก็ได้ แต่ยังไม่ต้องรีบใช้จ่ายมากกับของสิ้นเปลือง
..
ถ้าเก็บเดือนละ 5 หมื่น ปีหนึ่งจะเก็บได้ 6 แสน ฝากหรือออมให้ได้ดอก 6% ทบต้นไปเรื่อยๆ พอครบ 10 ปี จะมีเงิน 8.3 ล้าน ซึ่งไม่น้อยเลย...เงินจำนวน 8.3 ล้านนี้ได้ดอกเบี้ย 6% ตกปีละ 5 แสน หารออกมาได้เดือนละ 41,600 บาท  เป็นเงินที่ไม่ทำงาน จะใช้จ่ายอะไรก็สะดวกขึ้น มีอิสระที่จะทำสิ่งที่ชอบได้มากขึ้น ผ่อนคลายมากขึ้น ลดภาระการทำงานหนักๆที่สุขภาพไม่อำนวยไปได้
 
แต่ถ้าอดทนเก็บเพิ่มเป็น 15 ปี เงินจะโตเป็น 15 ล้าน คิดดอกเบี้ย 6% ตกปีละ 9 แสน เดือนละ 75,000 บาท นี่ยิ่งสบายขึ้นไปใหญ่ ดอกเบี้ยก็เท่าทำงานทั้งเดือนทั้งปีแล้ว
..
จำได้จบใหม่ๆ..10 ปีแรกใช้รถมือสอง..อยู่บ้านหลวง..ประหยัดทุกอย่าง...เพื่อสร้างทุน...ไม่กิน หรู..ไม่เที่ยว..ไม่ฟุ้งเฟ้อ...
คนอื่นใครจะใช้จ่ายมากเท่าไหร่ ไม่เป็นไร ให้เขาใช้นำไปก่อน...ส่วนเราเล่นเกมระยะยาว ไม่อยากต้องกลับมาทุกข์เรื่องเงินอีก
..
ในทางกลับกันถ้าเราเลือกสร้างหนี้ก่อน...แทนที่จะมีคนจ่ายดอกเบี้ยให้เรา... กลายเป็นเราต้องเป็นคนจ่ายดอกเบี้ยให้คนอื่น....คนที่สบายก็คือเจ้าหนี้ที่ค อยรับดอกเบี้ยทุกๆเดือนจากเรา ส่วนเราต้องมาทำงานหนักเหนื่อยเพื่อใช้หนี้...วนไป
..
คน 2คนตั้งต้นคล้ายกัน...พอ 10 ปีผ่านไป....2 ชีวิตเดินสวนทางกันมากขึ้นเรื่อยๆ คนแรกกินปันผล-ได้พัก  อีกคนต้องทำงานทนใช้หนี้ ตามกฎแห่งกรรมที่ได้ทำไว้
..
ใช้ชีวิตที่คนทั่วไปไม่อยากใช้ช่วงหนึ่งก่อน
 
เพื่อที่จะได้ใช้ตลอดชีวิตที่เหลืออย่างที่คนทั่วไปอยากใช้กัน
 
มีอิสระที่จะทำสิ่งที่ชอบได้มากขึ้น
..

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 973  
   
122.155.38.*


« ความเห็นที่ #6 เมื่อ: 03/11/25 เวลา 14:55:04 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

หลังเรียนจบ
-ใช้รถมือสอง 10ปี
-อยู่บ้านหลวง 22ปี  
-เที่ยวฟรีจากงานอบรมสัมมนาทั้งในนอกประเทศ  
-เริ่มออกเงินเที่ยวเองหลังอายุ 40ปี
 
ไม่รีบใช้เงิน ของไม่จำเป็นยังไม่ซื้อ เพราะไม่อยากกลับมาหาเงินไม่อยากกลับไปเหนื่อยอีกซ้ำๆ
 
-อะไรที่เป็นหนี้ ไม่เอาเลย ไม่อยากทุกข์
-ซื้อบ้านเริ่มจากหลังเล็กๆ ไม่อยากติดบ่วงหนี้  
-เอาจริงๆที่อยู่ตอนนี้คือบ้านแฝด 44ตรว. บ้านหลังเล็กดูแลง่าย ไม่เปลือง ไว้มีมากขึ้นค่อยขยายถ้าได้ใช้จริงๆ
 
-หาทางให้เงินที่ได้จากการทำงาน ไปหาเงินให้เรา  
-รอจนกระทั่ง เงินที่เอาไปลงทุนนั้นผลิตเงินให้เราได้มากพอ แล้วค่อยซื้อ (โดยเฉพาะของฟุ่มเฟือย)
-retire ได้ตอนอายุ 45ปี เหลือทำแต่สิ่งที่ชอบ
..
ทำสิ่งที่ใช่สักระยะหนึ่งก่อนเพื่อให้ตั้งหลักได้ แล้วค่อยย้ายไปทำสิ่งที่ชอบ
..

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 973  
   
122.155.38.*


« ความเห็นที่ #7 เมื่อ: 03/11/25 เวลา 19:35:44 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

Smiley Smiley Smiley
ส่งโดย: Dr.OU male
สถานะ: Administrator *****
จำนวนความเห็น: 5138 4329906 4329906   WWW Email
   
110.169.68.*


« ความเห็นที่ #8 เมื่อ: 03/12/25 เวลา 14:23:03 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

หลักการลงทุนส่วนตัวค่อนข้างเรียบง่าย  คือ ใช้วิธีฟังเสียงภายในของตัวเอง ไม่เปรียบเทียบผลตอบแทนกับใคร แต่ฟังหัวใจของตัวเองเป็นหลัก ต้องการให้การลงทุนในหุ้น มารับใช้ life style ของตัวเอง
..
ด้วยการ
 
-เลือกหุ้นที่ชอบ คัดมาแล้ว บริษัทที่เราอยากเป็นเจ้าของจริงๆ เน้นไปที่บริษัทที่ยั่งยืน ไม่จำเป็นต้องโตเร็ว  แต่มีความได้เปรียบบางอย่างที่คู่แข่งสู้ไม่ได้ ไม่โดนทำลายล้าง(dusrupt)โดยง่ายจนบริษัทต้องล้มละลายไป
 
พบว่าเกือบทุกบริษัทที่ลงทุนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันโดยบังเอิญคือแทบจะไม่ม ีหนี้เลย (interest bearing dept) กระแสเงินสดดีมาก ตรงกับนิสัยตัวเองที่ไม่ชอบมีหนี้
 
-เน้นบริหารต้นทุน ถ้าราคาสูงขึ้นมากเกินไป แบ่งขายบ้าง เพื่อรอเก็บใหม่ อาจจะตัวเดิมหรือตัวอื่นๆ ที่จังหวะราคาได้ หมุนเวียนไป
 
-เป้าหมายคือเพิ่มจำนวนหุ้น เพิ่มสัดส่วนเป็นเจ้าของมากขึ้น
 
-เพื่อให้ได้รับปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีๆ  
 
ไม่ค่อยได้สน Capital gain ซักเท่าไหร่ เพราะเราไม่คิดจะใช้เงินก้อนนี้อยู่แล้ว...แต่เน้นไปที่ปันผลแทน...ให้ความร ู้สึกว่าเป็น passive income จริงๆ เป็นชีวิตที่ไม่ร้อนรน แค่นี้พอแล้ว อิ่มใจ สุขใจ
..
 
ไม่ได้เล่นหุ้นในความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจคือต้องซื้อๆขายๆ นั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวัน แต่การลงทุนในที่นี้หมายถึงการวิเคราะห์บริษัท วิเคราะห์ธุรกิจ และเข้าถือหุ้น เพื่อเป็นเจ้าของจริงๆ ในราคาที่เหมาะสม ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ธุรกิจได้สร้างขึ้นส่วนมูลค่าธุรกิจที่มากขึ้ นถือว่าเป็นของแถม
..

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 973  
   
125.25.231.*


« ความเห็นที่ #9 เมื่อ: 03/19/25 เวลา 21:17:02 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 03/10/25 เวลา 04:48:17, 6699 wrote:
ซื้อหุ้นตามคนอื่น โดยไม่ดูปัจจัยพื้นฐาน  งบดุล แนวโน้ม ราคา มูลค่า เป็นวิธีการทำให้เสียเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก

 
ผมว่าการลงทุนก็ไม่ต่างจากอาชีพแพทย์
ต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย investigate diagโรค รักษา ประเมินซ้ำปรับเปลี่ยนแนวทางให้เหมาะสม
 
เพียงแต่การลงทุนยากกว่ามาก

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 973  
   
125.25.231.*


Page(s) : 1 


แจ้งลบกระทู้ แจ้งเมื่อมีคนตอบกระทู้นี้ แนะนำกระทู้นี้ Print



Reply this Topic reserved for registed member only. Register



  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by