แจ้งลบกระทู้ แจ้งเมื่อมีคนตอบกระทู้นี้ แนะนำกระทู้นี้ Print

 หัวข้อ 36867: ลาออกจากราชการไปอยู่full time เอกชนได้เท่าไรถึงจะคุ้ม  (จำนวนคนอ่าน 5663 ครั้ง)
« เมื่อ: 06/02/18 เวลา 13:41:00 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

เห็นมีกระทู้ล่างๆ  ถามเรื่องลาออกราชการเยอะ
 
จากการที่อ่านใน thaiclinic มานาน  
ตัวเลขที่หมอเอกชนควรได้คือ 3 แสนครับ  คนที่มาตอบว่าอยู่เอกชนแล้วมีความสุช ชีวิตสบาย  มักคือพวกที่ได้เกิน 3 แสนต่อเดือน  ยิ่งถ้าได้สักสี่ห้าแสน นี่กำลังดี
 
ถ้าได้แค่แสนเดียวแสนห้า  ไม่ค่อยมีคนมาตอบว่าชีวิตดีเท่าไร  แม้จะงานสบายอดนอนน้อยกว่ารัฐบาลก็เถอะ
 
ถ้าการันตีช่วงสัก สองแสน  อันนี้ก้ำกึ่ง   ต้องไปลุ้นเอาเองว่าชีวิตจะดีหรือไม่ดีในอนาคต    
 
 
ส่วนหมอที่ชีวิตดีที่สุดที่ผมรู้จักคือ  หมอที่รู้จักลงทุนหุ้นอย่างแท้จริง    คือไม่ใช่แบบลงทุนเล่นๆแบ่งเงินเก็บมาเล่นนะ  ลาออกจากเป็นหมอได้เลย  มาเล่นหุ้นเต็มตัว  อย่างนี้คือเขามั่นใจในฝีมือตัวเองจริง    อยากได้เงินเมื่อไรก็เข้าตลาด  อยากหยุดเมื่อไรก็ได้
ส่งโดย: samco
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 3943  
   
134.236.252.*


« ความเห็นที่ #1 เมื่อ: 06/02/18 เวลา 15:12:29 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ถ้ามีลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ หรือเรียนนอก สามแสนบาทก็ไม่พอ
 
หมอเอกชนบางคนเป็นเหมือนเครื่องผลิตเงินให้ลูกเมียใช้จ่าย. ตัวหมอทำงานจนไม่มีเวลาพัก.  น่าสงสารมาก
ส่งโดย: yui female
สถานะ: ThaiClinic Staff *****
จำนวนความเห็น: 3234   Email
   
49.48.242.*


« ความเห็นที่ #2 เมื่อ: 06/02/18 เวลา 15:37:37 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 06/02/18 เวลา 15:12:29, yui wrote:
ถ้ามีลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ หรือเรียนนอก สามแสนบาทก็ไม่พอ
 
หมอเอกชนบางคนเป็นเหมือนเครื่องผลิตเงินให้ลูกเมียใช้จ่าย. ตัวหมอทำงานจนไม่มีเวลาพัก.  น่าสงสารมาก

 
ส่วนตัวผมเห็นว่าการส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติที่ราคาเทอมละเป็นแสน เป็นกิจกรรมฟุ่มเฟือย
 
เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า
 
อนาคตเรื่องภาษาไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้นแล้ว เรื่อง technology disruption สำคัญกว่า
 
เครื่องแปลภาษา real time ก็ออกมาเรื่อย ๆ แล้ว ขนาดพูดแล้วแปลให้ทันทีก็มีหลายยี่ห้อ แปลได้หลายภาษาด้วย
 
ส่งลูกเรียนโรงเรียนไทยที่มี English program คุณภาพก็พอ ที่เหลือค่อยส่งเสริมลูกไปเรียน Python, Algorithm เพื่อรองรับอนาคตที่งานแทบทุกด้านจะต้อง operate ด้วย AI จะดีกว่า
 
อีกหน่อยพวก Python, Algorithm จะใช้กันเป็นเรื่องปกติไม่ต่างจาก Powerpoint, Word, Excel คนที่ปรับตัวไม่ทัน มองไม่เห็นว่าสิ่งนี้กำลังมาจะไม่อยู่รอด ตกงาน ต้องไปทำงานรายได้ต่ำใช้แรงงานแทน
ส่งโดย: megacure
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 2283  
   
49.231.8.*


« ความเห็นที่ #3 เมื่อ: 06/02/18 เวลา 15:51:52 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 06/02/18 เวลา 15:12:29, yui wrote:

หมอเอกชนบางคนเป็นเหมือนเครื่องผลิตเงินให้ลูกเมียใช้จ่าย. ตัวหมอทำงานจนไม่มีเวลาพัก.  น่าสงสารมาก

 
 
ประโยคนี้ฮาเจ็บดีครับ  อ่านแล้วขำเลย  
แต่ไปถามหมอคนนั้น  เขาอาจบอกว่า ทำแล้วมีความสุขก็ได้นะครับ   เรื่องพักเขาอาจเทียบกับราชการแล้ว  คิดว่า ทำน้อยกว่าตอนอยู่ราชการแล้วก็ได้  
 
แต่อีกมุมนึงก็น่าคิดว่าไม่ถึงขั้นมีปัญญาส่งลูกเรียนอินเตอร์แบบสบายๆ  ก็ยังไม่ถึงขั้นยกระดับฐานะ และคุณภาพชีวิต ได้เหนือกว่าหมอรัฐบาล   ถ้าได้แค่ส่งลูกเรียนทั่วๆไปแบบหมอที่อยู่ที่ไหนก็ทำได้    
 
ปล.ลืมเขียนไปในหัวกระทู้  ที่ดูเหมือนคุยกันเรื่องเงินนี่ชีวิตมีแต่เรื่องเงินๆใช่ไหม   จริงๆไม่ใช่ครับ  แต่ที่คุยเรื่องเงินก่อน  เพราะมาทำเอกชน เรื่องแรกที่ควรคิดถึงคือเรื่องเงินไงครับ   ถ้าจะเอาแค่ชีวิต safe ๆ ชีวิตไม่โฟกัสเรื่องเงินเลย  ก็อยู่ราชการไปเรื่อยๆไปเลยดีกว่าครับ
ส่งโดย: samco
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 3943  
   
134.236.252.*


« ความเห็นที่ #4 เมื่อ: 06/02/18 เวลา 16:11:35 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ


 Smiley
 
 

 
วิชาเขียนโปรแกรม ถูกบรรจุในหลักสูตรแล้ว  
 
Quote:

เพื่อให้ตอบโจทย์เมกะเทรนด์ Artificial Intelligence นี้ เราต้องรู้จักการคิดวิเคราะห์ ตรรกกะ ที่จะเขียนคำสั่งให้หุ่นยนต์คิด และ ทำงาน
วิชาการเขียนโปรแกรมจึงได้ถูกบรรจุเข้าไปในหลักสูตรการเรียนในปัจจุบัน
 

 
http://longtunman.com/6854

 


“Victory Loves Preparation”

ส่งโดย: :: King of BANPU :: male
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 23200  
   
171.99.160.*


« ความเห็นที่ #5 เมื่อ: 06/02/18 เวลา 16:18:23 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

เครื่องจักรทำเงิน ที่ไหนก็มีค่ะ
มีพี่คนนึง อยู่ รพ.รัฐ แกเปิดคลินิกรุ่งมาก  
เพราะเป็นเฉพาะทางด้านนั้นคนแรกๆของจังหวัด
และตรวจคนไข้เร็วมาก
ถึงตอนนี้มีน้องๆมาใหม่ คลินิกแกก็ยังคนแน่นอยู่
เคยบอกเราว่า
"พี่เคยถามเมียว่า เราเปิดเฉพาะเช้าเย็นมั้ย ตอนเที่ยงไม่เปิด พักผ่อนบ้าง"
เมียแกบอกว่า อย่าเพิ่งพักเลย ช่วยลูกหาเงินก่อน
ลูกอยู่มหาวิทยาลัยใน กทม. ซื้อคอนโดหรูให้
ตัวแกยังอยู่บ้านพัก รพ.จนปัจจุบัน
ส่งโดย: Chimerism
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 1509  
   
183.89.121.*


« ความเห็นที่ #6 เมื่อ: 06/02/18 เวลา 18:10:43 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 06/02/18 เวลา 15:12:29, yui wrote:
ถ้ามีลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ หรือเรียนนอก สามแสนบาทก็ไม่พอ
 
หมอเอกชนบางคนเป็นเหมือนเครื่องผลิตเงินให้ลูกเมียใช้จ่าย. ตัวหมอทำงานจนไม่มีเวลาพัก.  น่าสงสารมาก

 
หนึ่งในนั้นคือผมเอง ก๊าก  Grin
มันต้องมีซักgeneration ที่เป็นผู้เสียสละครับ  บางครอบครัวกว่าจะตั้งตัวได้ก็หลายgeneration    
 
ตอนนี้เรื่องทำตามความฝันตัวเองตอนเด็กๆลืมไปได้เลย มีชีิวิตอยู่เพื่อคนอื่นมันก็เป็นความรู้สึกอีกแบบ
« แก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อ: 06/02/18 เวลา 18:11:27 by น้ำเน่าในเงาจันทร์ »

ส่งโดย: น้ำเน่าในเงาจันทร์ male
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 6054   Email
   
171.97.242.*


« ความเห็นที่ #7 เมื่อ: 06/02/18 เวลา 22:36:52 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ขอชี้แจงแานแพทย์ช่ายไทยเรื่องเป็นพ่อบ้านใจกล้า  ทำงานงกๆเครื่องจักรผลิตเงินเลี้ยงผู้หญิง เมียไม่ต้องทำงาน   อันนี้จะว่าแพทย์ชายไทยก็ไม่ถูกนะครับ   มันเป็นเรื่องที่พบได้ปกติ  
 ไม่ใช่เฉพาะอาชีพแพทย์   หลายๆคนเขาทำเขาก็มีความสุข
 อย่างศรีสะเกษนักมวยแชมป์โลก     ก็พ่อบ้านใจกล้า  
 หาเงินเก็บเงินในชื่อเมียเหมือนกัน    ตอนเสกเป็นนักร้องตอนดังๆ   เมียก็หน้าที่ช่วยออมช่วยเลี้ยงลูกอย่างเดียว   ผมเชื่อว่าตอนนั้นทั้งสองคนก็มีความสุขความภูมิใจ  แม้จะจบกันไม่สวย
 หรือพวกนักธุรกิจอื่นๆ     แต่งกับดารงดารา  ก็ให้ภรรยาออกจากวงการมาเลี้ยงลูกอย่างเดียวกันหมด
« แก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อ: 06/02/18 เวลา 22:37:23 by samco »
ส่งโดย: samco
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 3943  
   
124.122.5.*


« ความเห็นที่ #8 เมื่อ: 06/03/18 เวลา 10:55:30 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

คุณมีครอบครัวถึงต้องดิ้นรนขนาดนี้ไงคะ
ถ้าคุณตัวคนเดียว จะหมอรัฐหรือเอกชนก็ไม่ซีเรียส
ทำรัฐบาลอย่างเดียวจะผ่อนรถยุโรปยังทำได้เลย
ส่งโดย: 921684
สถานะ: Newbie *
จำนวนความเห็น: 41  
   
223.24.181.*


« ความเห็นที่ #9 เมื่อ: 06/03/18 เวลา 13:27:03 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ถ้าอยู่รัฐบาล แล้วไปทำเอกชนช่วงเย็น วันละ 2-3 ชม.
รวมแล้วได้เกิน 1.5 แสนต่อเดือน ก็น่าอยู่รัฐต่อครับ
ส่งโดย: brownie
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 661  
   
182.232.42.*


« ความเห็นที่ #10 เมื่อ: 06/03/18 เวลา 18:03:07 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ผมว่าแล้วแต่หน่วยนะครับ ถ้าหน่วยที่ไม่มีเวร เช่น ent eye ที่เวรไม่หนักมาก ควร add ซักแสน แต่ถ้าเป็น เมด ศัลย์ สูติ ต้องมาทุกเวร ผมว่าต้องถามว่ารัฐให้เกินเอกชนเท่าไหร่ถึงยอมกลับเข้าราชการ
ส่งโดย: bridge
สถานะ: Senior Member ****
จำนวนความเห็น: 357  
   
182.232.74.*


« ความเห็นที่ #11 เมื่อ: 06/04/18 เวลา 16:41:51 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

ผมรับราชการ รายได้จากการเป็นหมอรัฐ 1.3 แสน เอกชนให้ 1.5แสนผมว่าไม่คุ้ม  
 
และเอกชนคงไม่จ้าง GP เกิน 1.5 แสนแน่ๆ
ส่งโดย: Echo male
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 4667  
   
202.80.227.*


« ความเห็นที่ #12 เมื่อ: 06/05/18 เวลา 09:00:10 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

การทำงาน รพ.เอกชน การันตีให้แค่ 1 ปีแรก
หลังจากนั้นคือรายได้จากค่า DF
ดังนั้นรายได้มากกรือน้อยขึ้นกับค่า DF และปริมาณคนไข้
หมอที่มีหัตถการมากๆ หรือคนไข้มากย่อมมีรายได้สูง
แต่ รพ.เอกชน ทุกวันนี้หมอเริ่มมากขึ้น
ดังนั้นคนไข้จึงถูกเฉลี่ยออกไปให้ทุกๆคน
ผู้บริหารเขาเห็นรายได้แพทย์มากๆ  เขาจะต้องรับแพทย์เพิ่ม
ดังนั้นการเพิ่มรายได้ที่ดีต้องมีรายได้หลายทาง
ทางที่ดีที่สุดคือต้องพัฒนาตัวเองให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน
ที่คนอื่นลอกเลียนแบบไม่ได้  
ถ้าหมอความรู้แค่ค่าเฉลี่ย รายได้ก็เพียงค่าเฉลี่ย ไม่เกิน 1.5 แสน
นี่คือความจริงในแวดวงเอกชน ที่การแข่งขันค่อนข้างสูง
เหมาะกับคนทำงานเก่ง (แต่เลียเจ้านายไม่เก่ง)
อย่างไรก็ตามรายได้เท่าไหร่ ไม่สำคัญเท่าเหลือเก็บเท่าไหร่
 
ปล. แค่อยากบอกคนที่จะเข้ามาทำเอกชนว่า ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ทุกอย่างต้องแลก  ถ้าเขาให้การันตี 3 แสน แสดงว่าคุณต้องสร้างรายได้ให้ รพ. มากกว่านั้น 10 เท่า
ส่งโดย: Omo
สถานะ: Junior Member **
จำนวนความเห็น: 79  
   
182.232.206.*


« ความเห็นที่ #13 เมื่อ: 06/06/18 เวลา 21:13:10 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

แต่หากเอาค่าเฉลี่ยก็ราวๆไม่ต่ำกว่า  2.5  แสน บาทต่อเดือน
 
จริงๆ  แล้วเทียบกันจริงๆ ยาก  เพราะ  
 
ทั้งหมอรัฐ และเอกชน  ก็จะมีหมอที่เป็นผู้ชนะ และผู้แพ้
 
หากจะเทียบกันจริงๆ  
 
จริงๆ แล้ว  ต้อง  Head to Head  หมายถึง  
 
หมอ แผนกไหน   ก็ต้องเทียบกันกับแผนกนั้น
winner เทียบกับ winner
loser  เทียบกับ  loser
 
 
 
 
 
 

คหสต
 
จริงๆ ใครจะชนะ  หรือแพ้  นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสาขาที่เรียน และ  จะอยู่รัฐหรือเอกชน
 
แต่อยู่   ที่ คน  และ
 
การใช้ leverage (พลังทวี หรือการได้เปรียบเชิงกล  ทำแต่น้อยแต่ได้มาก)  เป้นหรือเปล่า
 
และการรู้จัักใช้ ทรัพยากรของผู้อื่น  (Other people  ......)  มาใช้ก่อเกิดประโยชน์ให้ตัวเองโดยไม่ผิดกฎหมายหรือ จรรยาบรรณ ได้เป็นหรือเปล่า
 
เพราะคนเรามีเวลาเท่ากัน
 

 
 
ยกตัวอย่างเช่น แบบ basic สุดๆ  กรณีหมอรัฐบาล
 
หมอภาครัฐ  อยู่บ้านรัฐฟรี  ๆ  อันนี้  เราสามารถ มาหาประโยชน์ได้
 
เพราะคุณไม่จำเป็นต้องซื้อบ้านอยู่ตอนนี้
 
คุณก็หา  promotion ดอกเบี้ยที่ถุกสุด  ธนารคารชอบความมั่นคง ชอบแพทยอยู่แล้วครับ  ต้องเลือกดีๆ เช่น แต่อย่างไรแล้วดอกเบี้ยมักไม่เกิน 5 %    ให้ดีไม่เกิน 3 %
 
กู้มาซื้อบ้านหรือคอนโด ที่คิดว่ามีคนเช่าแน่  ๆ  
 
เช่นคุณกู้เงิน  2  ล้าน  ดอกเบี้ย 3 %  หากคุณสามารถปลอยเช่าได้มากกว่า  5800 บาท(3.5 %/ปี) ต่อเดือน คุณก็จะกำไรแล้ว เพราะมีคนจ่ายดอกเบี้ยให้คุณและส่วต้นให้บางส่วน  ยิ่งคุณเลือกทรัพย์สินได้ถูกต้อง   ต้นยิ่งหมดเร็ว
วิธีทำให้เงินกู้หมดเร็วมันมีวิธีของมันอยู่ครับ  ลองหาอ่านดูในอินเตอร์เน็ตมีเยอะครับ
 
หากคุณมีวินัยดีๆ เลือกทรัพย์สินถูกต้อง ไม่เกิน 10  ปีคุณจะมีทรัพย์สินทำเงินให้คุณโดยไม่ต้องทำงานราว 8000 บาทต่อเดือน
 
จริงๆ  มีคนทำได้ดีกว่านี้เยอะครับมากมาย  รู้จักหมอคนหนึ่งทำ passive income แบบเดียวกับข้างบน ได้ในเวลา 4 ปีแรกที่เข้าทำงาน  40000 บาทต่อเดือน
อันนี้ คือ basic หลักการลงทุนทั่วไปซึ่งหาความรู้ได้ทัา่วไปครับ
 
จริงๆมีอีกมากมาย  ครับ  
« แก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อ: 06/06/18 เวลา 21:14:16 by philosophy »
ส่งโดย: philosophy
สถานะ: Senior Member ****
จำนวนความเห็น: 424  
   
114.109.246.*


« ความเห็นที่ #14 เมื่อ: 06/08/18 เวลา 10:38:09 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

เดาว่า Phylosophy น่าจะเป็นหมอรับราชการ
อายุประมาณ Baby boomer
50 ปลายๆ หรือเกษียณแล้ว
ความคิดจะต่างจาก gen Y หรือ gen Z
ไม่แน่ใจว่าเดาถูกไหม Grin Grin
ส่งโดย: Omo
สถานะ: Junior Member **
จำนวนความเห็น: 79  
   
182.232.38.*


« ความเห็นที่ #15 เมื่อ: 06/08/18 เวลา 11:03:42 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

หมอที่อยู่ราชการจนเกษียณ  ไม่เคยเห็นใครรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเป็น loser สักคน    
 
ส่วนหมอเอกชนที่มาอวดชีวิตดี  และคาดว่าตัวเองจะดีถึงบั้นปลาย  มักเป็นหมอที่มีหรือเคยมีรายได้จากเอกชนเกินสามแสน
ส่งโดย: samco
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 3943  
   
180.180.116.*


« ความเห็นที่ #16 เมื่อ: 06/08/18 เวลา 16:52:52 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

on 06/08/18 เวลา 10:38:09, Omo wrote:
เดาว่า Phylosophy น่าจะเป็นหมอรับราชการ
อายุประมาณ Baby boomer
50 ปลายๆ หรือเกษียณแล้ว
ความคิดจะต่างจาก gen Y หรือ gen Z
ไม่แน่ใจว่าเดาถูกไหม Grin Grin

ผิดทั้งหมด Gen X ครับ
ส่งโดย: Echo male
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 4667  
   
202.80.227.*


« ความเห็นที่ #17 เมื่อ: 06/08/18 เวลา 16:53:59 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

รายได้ สัมพันธ์กับ "ทัศนคติ"  
 
ยิ่งเราสร้าง impact กับคนได้มากเท่าไหร่  
 
เงินจะยิ่งตามมา....มากเท่านั้น  
 
จริงๆเรื่องเงินไม่ต้องเสียเวลาคิด เอาเวลาไปคิด  
 
ว่าจะสร้างคุณค่าให้มากกว่านี้ 10 เท่า 100 เท่าได้อย่างไร  
 
เรื่องอยู่ที่ไหน สำคัญรองลงมาครับ
 
ที่สำคัญอีกเรื่องคือ ระหว่างทำงาน(ที่เอาแรงเวลาและสุขภาพเข้าแลก)
 
ต้องใช้อย่างรู้คุณค่า อดออม เก็บเงิน และหาทางเปลี่ยนเงินนั้นให้เป็นสินทรัพย์
 
ที่สามารถสร้างรายได้เข้ามา ที่เรียกกันว่า Passive income
 
ถึงวันนั้น เราจะใช้เท่าไหร่ก็ได้

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 973  
   
182.53.160.*


Page(s) : 1 


แจ้งลบกระทู้ แจ้งเมื่อมีคนตอบกระทู้นี้ แนะนำกระทู้นี้ Print



Reply this Topic reserved for registed member only. Register



  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by