ทำอย่างไร?
เมื่อลูกขาโก่ง
"
ลูกของผมขาโก่ง ต่อไปจะเดินได้หรือครับ "
"
ลูกของฉันขาผิดปกติไหม "
"
เสียดายที่ตอนเล็ก ๆไม่ได้ดัดขาให้ ตอนนี้ขาถึงได้โก่งแบบนี้ "
"
มีคนแนะนำให้มาตัดรองเท้า จะช่วยแก้ขาที่โก่งได้ไหม "
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่มีเสมอ
ๆจากคุณพ่อคุณแม่ ไม่แต่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น ในต่างประเทศก็พบได้พอ ๆกัน
ปัญหาขาโก่งและปัญหาของเด็กที่เท้าบิดเข้าในยังเป็นปัญหาที่แพทย์ได้รับการปรึกษาบ่อยที่สุดสำหรับโรคกระดูกในเด็ก
ความจริงแล้วเด็กเกิดใหม่ทุกคนขาโก่งทั้งนั้นแต่จะมากจะน้อยต่างกัน
เนื่องจากขณะที่เด็กอยู่ในครรภ์มารดา
ในระยะสุดท้ายของการคลอด
ตัวเด็กที่ใหญ่ขึ้นจะต้องเบียดตัวเองให้อยู่ในมดลูกที่มีเนื้อที่จำกัด เพื่อให้ประหยัดเนื้อที่
ทารกส่วนใหญ่มักจะอยู่ในท่าขัดสมาธิและงอสะโพกให้มากที่สุด
เมื่อคลอดออกมาสู่โลกภายนอกที่แสนสบาย
"ท่า" เหล่านี้จะยังคงเหลือให้เห็นอยู่บ้างในระยะแรก ๆ ซึ่งถ้าสังเกตให้ดี
จะเห็นว่าทารกหลังคลอดจะอยู่ในท่าแขนขางอ
และลำตัวโค้งเล็กน้อย โดยเฉพาะส่วนขาที่บริเวณหัวเข่า จะไม่อยู่ในแนวกลางลำตัว
แต่จะแบะออกจนเห็นกล้ามเนื้อขาด้านในที่อยู่ชิดกันได้ง่าย
ทำให้เห็นว่าขาเด็กโก่งออกมากยิ่งขึ้น ทั้ง ๆที่สิ่งเหล่านี้เป็นปกติ
ตามธรรมชาติ
และเมื่อเขาโตขึ้นแขน ขา ก็จะค่อย ๆเหยียดตรงออกมา
คุณจะสามารถเห็นว่า
เด็กเริ่มมีขาตรงตอนอายุประมาณขวบครึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องไปนวดหรือดัดขาแต่อย่างใด
ทั้งนี้เพราะการที่เด็กได้หัดเดินและใช้กล้ามเนื้อทำงาน
จะเป็นการแต่งปั้นการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อขาและกระดูก
ให้ตรงตามธรรมชาติอยู่แล้ว
จนกระทั่งเมื่อพ้นวัยนี้เข้าสู่อายุ 2 ขวบจะเห็นว่าขาของเด็กกลับกลายมาเดินคล้ายเป็ด
คือ
เข่าอยู่ชิดกัน ส่วนปลายเท้าแยกออกจากกัน ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า " Knock
Knee " คือเดินแล้วเข่ามาชนกันนั่นเอง
จนอายุ
3 ขวบขาจึงจะค่อย ๆกลับมาตรงตามปกติเมื่ออายุประมาณ 6 - 7 ขวบ
สิ่งที่กล่าวมาเป็นเรื่องตามธรรมชาติที่พบได้ในเด็กทั่ว
ๆไป แต่ก็มีบางรายที่ขาโก่งหรือเข่าชิดมากเกินกว่า
ค่าเฉลี่ยของเด็กทั่วไป
แต่ทุกรายก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากขาโก่งมาเป็นขาตรง แล้วโตมาเป็นเข่าชนกัน
จนกลับมาตรงใหม่ทุกราย
การเปลี่ยนแปลงในรูปร่างของกระดูกนี้จะมีอยู่จนอายุ
8 ปี คือถ้าเลยจากอายุนี้ไปแล้วก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นอีก
ดังที่พบว่าในสังคมเรามีบางคนที่เดินเข่าชนกัน
หรือเดินขาโก่งจนส่งเข้าประกวดนางงามไม่ได้
แต่ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
เช่น พ่อแม่ที่ขาโก่งกว่าคนปกติ ลูกก็อาจมีขาโก่งกว่าปกติด้วย
แต่ทางการแพทย์จะไม่ถือว่าผิดปกติ
เพราะว่าลักษณะของกระดูกที่โก่งงอแบบนี้จะไม่มีผลในการใช้งานหรือการเล่นกีฬา
อย่างไรก็ตามถึงแม้จะทราบว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ขาโก่งมักจะอยู่ในภาวะปกติ
แต่คุณก็ควรจะพาไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจดูว่า
ขาที่โก่งนั้นเหมาะสมกับวัยหรือไม่
หรือมีภาวะผิดปกติอื่นรวมอยู่ด้วยหรือเปล่า หลายต่อหลายครั้งที่ตรวจพบว่า
เด็กมีลักษณะของขาที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากความผิดปกติของสมอง
ดังนั้นประวัติพัฒนาการของเด็กจึงเป็นสิ่งสำคัญ
โดยทั่วไปเด็กจะคว่ำได้เมื่ออายุประมาณ
4 เดือน นั่งได้เมื่ออายุ 6 เดือน เกาะยืนประมาณ 8-9 เดือน
ยืนได้ตอน
1 ขวบ เดินได้เมื่อ 1 ขวบ 3 เดือน และวิ่งได้คล่องอายุ 1 ขวบครึ่ง
ในรายที่มีความผิดปกติของสมองเด็กจะมี
พัฒนาการที่ช้ากว่าวัย
เด็กบางรายที่น้ำหนักตัวมาก แถมมีพัฒนาการเร็ว คือ ยืนได้เร็ว อาจจะทำให้ขาโก่งได้มากกว่าปกติ
หรือกว่าที่ขาจะหายโก่งก็ช้ากว่าเด็กปกติเป็นต้น
แพทย์จึงจำเป็นต้องตรวจระบบประสาทโดยละเอียด
และวัดความสูงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ โดยเฉพาะความยาว
ของลำตัวและแขนขา
เนื่องจากมีภาวะผิดปกติที่เกิดจากการขาดฮอร์โมนและวิตามินหลายตัว เช่น วิตามินดี
ไทรอยด์ฮอร์โมน
และฮอร์โมนในการเจริญเติบโต
เป็นต้น ที่จะทำให้เด็กตัวเตี้ยและมีรูปขาที่ผิดปกติได้
การรักษาจึงขึ้นอยู่กับสาเหตุว่าเป็นจากสาเหตุใดก็รักษาไปตามนั้น
แต่ก็มีเด็กกลุ่มใหญ่ที่พบว่า
มีปัญหาขาโก่งมากกว่าเด็กปกติก็จริง
แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นเด็กผิดปกติ กลุ่มนี้จะใช้การเฝ้าติดตามเป็นระยะ ๆ
ซึ่งส่วนใหญ่จะกลับมาเป็นปกติเมื่อถึงอายุอันควร
การดัดขาหรือไม่ดัดขาไม่มีผลต่อรูปกระดูก
มีบางครั้งที่แพทย์บางคนแนะนำให้ตัดรองเท้าพิเศษสำหรับเด็ก
แต่จากการศึกษาวิจัยพบว่าเด็กมักไม่ค่อยยอมใส่รองเท้า
และยังไม่เคยมีหลักฐานทางการแพทย์สนับสนุนเลยว่า
รองเท้าพิเศษนี้จะช่วยให้เด็กขาโก่งดีขึ้น
ดังนั้นในปัจจุบันความนิยมให้เด็กใส่รองเท้าพิเศษจึงน้อยลงมาก
โดย
นพ.ปิยชาติ
สุทธินาค ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์
This
Web Page Design & Created by Dr.OU
15
Aug 1998
Copyright
(c) 1998. ThaiClinic.com. All rights
reserved.